|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ก่อนไปลงประชามติ
8 ส.ค. 2550
ก่อนที่จะไปลงประชามติเพื่อรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2550 เราต้องมี ข้อมูล ไว้ประกอบการตัดสินใจที่มากพอ และต้องไม่ลืมที่จะ ตั้งสติ ก่อนที่จะพิจารณาข้อมูลต่างๆ ด้วย
ขอเริ่มต้นด้วยการนำ กาลามสูตร ของพระพุทธเจ้ามาลงไว้เพื่อช่วยในการตั้งสติก่อนรับข้อมูล ซึ่งข้อความที่นำมาลงไว้นี้ คัดลอกมาจาก วิกิพีเดีย โดยตรงครับ
กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล เรียกว่า เกสปุตตสูตร ก็มี
กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อ ไม่ให้เชื่องมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มี ๑๐ ประการ คือ
๑. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
๒. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
๓. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
๔. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
๕. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
๖. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
๗. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
๘. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
๙. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
๑๐. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่
เมื่อตั้งสติแล้ว ถัดมาก็เป็นแหล่งข้อมูลที่จะใช้ในการพิจารณา
แหล่งข้อมูลแรกก็คงจะหนีไม่พ้นหนังสือ ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช... ฉบับรับฟังความคิดเห็น เล่มเล็กสีเหลืองที่คงจะได้รับแจกกันทุกบ้านแล้ว อ่านรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ก็ว่ากันไป แต่ก็ควรจะต้องอ่านให้ผ่านหูผ่านตากันอย่างน้อยสักหนึ่งรอบ จะได้พอมีความรู้ที่จะนำไปพิจารณาร่วมกับแหล่งข้อมูลอื่นได้บ้าง
แหล่งข้อมูลถัดไปเป็นการเหมารวมบรรดาโฆษณาประชาสัมพันธ์ หนังสือ แผ่นพับ ใบปลิว ฟอร์เวิร์ดเมล คำอธิบาย และบทวิเคราะห์ในประเด็นสำคัญต่างๆ ซึ่งย่อยมาจากร่างรัฐธรรมนูญฯ ทั้งเล่มนั้นแล้ว ทั้งจากฝ่ายที่สนับสนุน ฝ่ายที่ต่อต้าน และฝ่ายที่พยายามจะเผยแพร่ข้อมูลอย่างเป็นกลางมากที่สุดอย่างสื่อมวลชนและองค์กรภาคประชาชนต่างๆ ถ้าได้อ่านร่างรัฐธรรมนูญฯ ทั้งเล่มสักรอบหนึ่งมาก่อนแล้ว การฟังคำอธิบายและคำวิเคราะห์ต่างๆ ก็จะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
แหล่งข้อมูลอีกแหล่งหนึ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากก็คือ การโต้วาทีประชันความคิด ระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนและฝ่ายที่คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญฯ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 3 ส.ค. 2550 ที่ผ่านมา ณ บ้านมนังคศิลา ผมเองก็ไม่ได้ดูการถ่ายทอดสดในวันนั้น แต่ก็ได้ลองเข้าไปค้นในอินเตอร์เน็ตดูว่ามีใครที่บันทึกหรือถอดความการโต้วาทีนั้นเอาไว้บ้างหรือไม่
ต้องขอขอบคุณ ประชาไท เป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำเอาไว้ทั้งสองอย่าง ทั้งการนำ เทปบันทึกการโต้วาที มาเผยแพร่ซ้ำ และ การถอดความการโต้วาทีแบบคำต่อคำ
ท่านใดที่สนใจก็เชิญเข้าไปเยี่ยมชมได้
ที่พิเศษก็คือ มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย ได้จัดทำ บันทึกการโต้วาที ออกเผยแพร่ในรูปของ วีซีดี จำนวน 3 แผ่น ราคา 100 บาท (แต่โฆษณาบนเว็บไซต์ประชาไทบอกว่าเป็น ดีวีดี จำนวน 2 แผ่น) ท่านที่สนใจสามารถติดต่อไปได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-280-5384 (-5) ถ้าท่านอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ท่านจะต้องไปรับของด้วยตนเองที่บ้านมนังคศิลา แต่ถ้าท่านอยู่ต่างจังหวัด เขาสามารถจัดส่งให้ท่านทางไปรษณีย์ได้โดยคิดค่าส่งเพิ่มอีก 50 บาท
การโต้วาทีครั้งนี้ ผมว่าทำกันได้ดีครับ ผู้จัดก็จัดได้ดี ผู้พูดก็พูดกันได้ดีทุกคน ใช้เหตุผลนำหน้าอารมณ์ มีอยู่เพียงคนเดียวที่ผมไม่ชอบ (คนที่ถูกโห่ไล่นั่นแหละครับ) แต่นั่นก็เป็นอคติส่วนตัวของผม อย่ามาถือสาเอาความกัน
จุดหนึ่งที่ผมประทับใจที่สุดก็คือ การสรุปตอนสุดท้ายของทั้งสองฝ่ายที่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน และที่สำคัญ ให้เกียรติประชาชนเป็นผู้พิจารณาตัดสินใจด้วยตนเอง
ถ้าหากบรรยากาศระหว่างคนที่มีความเห็นแตกต่างกันในประเทศ เป็นได้เหมือนผู้ร่วมอภิปรายบนเวทีในครั้งนี้ บ้านเราก็คงจะไม่ยุ่งวุ่นวายแบบทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม ระหว่างการรับฟังข้อมูลจากผู้อภิปรายท่านต่างๆ ก็อย่าลืมนึกถึง กาลามสูตร ด้วยนะครับ สุดท้าย ต้องอยู่ที่ตัวของเราเองว่าจะเห็นเป็นอย่างไร
ส่วนต่อจากนี้ไปเป็น บันทึกช่วยจำก่อนเลือกตั้ง (ฉบับมีอคติเต็มที่) ของผมเอง ขอชี้แจงก่อนที่ท่านจะอ่าน (ถ้าอยากอ่าน...) สักสามประการ
ประการแรก ถ้าท่านไม่อยากอ่านอะไรที่เกี่ยวกับการเมือง ก็ไม่ควรอ่านครับ และนอกจากนี้แล้ว บันทึกช่วยจำนี้ยังยาวอีกต่างหาก
ประการที่สอง ผมมีอคติต่อพรรค ปชป. และ คมช. เป็นอย่างมาก เพราะผมไม่ชอบ พวกที่ดีแต่พูดแต่ทำงานไม่เป็น และ พวกปากว่าตาขยิบ เพราะฉะนั้น ถ้าท่านคิดว่าอ่านแล้วอาจจะรับไม่ได้ ก็ไม่ควรอ่านครับ
และประการสุดท้าย ผมชอบฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย ไม่ว่าท่านจะคิดเหมือนกันหรือคิดต่างกัน ท่านสามารถแสดงความคิดเห็นที่นี่ได้เต็มที่ ขอเพียงแค่คุยกันด้วยเหตุผลเป็นหลัก ไม่ใช้อารมณ์นำหน้า ไม่ใช้คำหยาบคาย ไม่ด่าว่าพาดพิงไปถึงบุพการีและญาติผู้ใหญ่ของผมก็เอาแล้วครับ เชิญคุยกันได้เต็มที่
ถ้าอ่านคำชี้แจงสามประการข้างต้นนี้แล้ว ยังอยากจะอ่านบันทึกช่วยจำฉบับที่เต็มไปด้วยความมีอคตินี้อยู่ล่ะก็ เชิญอ่านได้ตามอัธยาศัยครับ
ผมจะทิ้งบล็อกนี้ไว้ยาวไปจนถึงหลังวันลงประชามติโน่นเลย เพราะฉะนั้น ท่านสามารถแวะเข้ามาคุยกันได้เรื่อยๆ ครับ
(เหตุผลที่แท้จริงในการทิ้งบล็อกเอาไว้ก็คือ ผมขี้เกียจเขียนต่างหาก...)
บันทึกช่วยจำก่อนเลือกตั้ง (ฉบับมีอคติเต็มที่)
- คนที่อาสาเป็นนายกฯ โดยชูวาระประชาชนนำหน้า "ประชาชนต้องมาก่อน เดี๋ยวนี้!" เคยประกาศกลางวงเวียนใหญ่ สนับสนุนให้นำ มาตรา 7 มาใช้ ในการแก้วิกฤติความขัดแย้งระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯ และอดีตนายกฯ แต่ปัจจุบันนี้ เขากำลังพยายามบอกว่า เขาไม่เคยพูด!
- นโยบายบางประการที่ ปชป. ใช้ในการหาเสียงในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการให้เรียนฟรี 12 ปี หรือการจัดสวัสดิการสังคมให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง ไม่น่าจะเป็นนโยบายที่นำมาใช้ในการหาเสียงได้อย่างเต็มปาก เพราะถือว่าเป็น หน้าที่ของรัฐที่ต้องกระทำอยู่แล้วตามรัฐธรรมนูญ
- ปฏิบัติการ "คนล้มอย่าข้าม แต่ต้องกระทืบซ้ำและเผาทิ้งให้สิ้นซาก" นั้นยังคงดำเนินต่อไป (ไม่เชื่อคำโบราณ ระวังผลที่จะตามมาในอนาคต) การเลือกปฏิบัติ ยังคงมีให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ใครที่ได้ชื่อว่าเคยพัวพันกับอดีตนายกฯ จะถือว่าเป็นผู้ร้ายทั้งหมด เช่น กรณีที่คุณชายอุ๋ย (ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเคยเอื้อประโยชน์ให้กับอดีตนายกฯ) ฟ้องกลุ่มพันธมิตรฯ ฐานหมิ่นประมาท แต่กลุ่มพันธมิตรฯ ได้เลี่ยงไม่มารายงานตัวที่ศาลตามหมายเรียก โดยอ้างเหตุผลเรื่องสุขภาพ กรณีนี้ไม่มีใครออกมาว่าอะไร แต่กับอีกกรณีหนึ่งที่ศาลมีหมายเรียกตัวภรรยาอดีตนายกฯ แต่เขาไม่มาตามที่ศาลเรียก โดยอ้างเหตุผลเรื่องสุขภาพเช่นเดียวกัน กรณีหลังนี้กลับมีปัญหา ต้องขอเอกสารยืนยันและตรวจสอบซ้ำสองซ้ำสามว่าป่วยจริงหรือไม่
- แอบต่ออายุ คตส. ไปถึงกลางเดือน มิ.ย. 2551 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หมายความว่า ถึงแม้ว่าจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว แต่ปฏิบัติการกวาดล้างให้สิ้นซากก็จะยังคงดำเนินต่อไปได้
- โวยวายกันทันทีหลังจากที่พรรค ทรท. ถูกยุบว่า ถ้าจะจดทะเบียนตั้งพรรคใหม่ ห้ามใช้ชื่อเดิมและสัญลักษณ์เดิม ห้ามแม้กระทั่งใกล้เคียงกับของเดิม โดยอ้างว่าขัดกับกฎหมายเลือกตั้ง โดยมีคุณผู้หญิงที่เป็นทั้ง กกต. และ สนช. เป็นหัวหอก ปรากฏว่าเมื่อเดือน ก.ค. 2550 ที่ผ่านมา เพิ่งจะมีการเร่งออกพระราชบัญญัติมาบังคับใช้เกี่ยวกับเรื่องนี้!
ตกลงว่าก่อนหน้านี้ที่โวยวายว่าผิดกฎหมายเลือกตั้ง มันผิดหรือไม่ผิดกันแน่ ถ้าผิด แล้วทำไมต้องออก พรบ. ซ้ำซ้อนกับกฎหมายที่มีอยู่แล้ว?
ทีก่อนหน้านี้ ก่อนที่ศาลจะมีคำตัดสินยุบหรือไม่ยุบพรรค พรรค ปชป. เคยประกาศเสียงดังฟังชัดว่า ถ้าพรรคตนถูกยุบ ก็จะจดทะเบียนตั้งพรรคใหม่โดยใช้ชื่อเดิม ตอนนั้นกลับไม่เห็นมีใครออกมาว่าอะไร
- ฝ่ายรัฐขณะนี้กำลังรณรงค์ให้ออกไปลงประชามติ แต่หมิ่นเหม่กับ การชี้นำให้รับร่างรัฐธรรมนูญฯ เสียเหลือเกิน มีทีท่าคล้ายกับขู่กลายๆ ว่า ถ้าไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนี้ อาจจะทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดบ้างล่ะ อาจจะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับที่ คมช. จะเลือกมาใช้แทนเลวร้ายกว่าฉบับร่างหรือฉบับปี 2540 บ้างล่ะ
และยังมีทีท่าว่าจะตีความกฎหมายให้กิจกรรมการรณรงค์ไม่ให้รับร่างรัฐธรรมนูญฯ ออกทางสื่อของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอีกด้วย หมายความว่า จะให้มีแต่มนุษย์ไฟเขียว และห้ามมีคนใส่เสื้อสีแดงในประเทศนี้? แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นการทำประชามติที่ชอบธรรมได้อย่างไร หากประชาชนไม่มีสิทธิรับข้อมูลจากทุกฝ่าย
ยังไม่ต้องพูดถึง การละเลงงบประมาณ ลงไปทั่วประเทศเพื่อชักชวนให้คนออกไปลงประชามติกันมากๆ ทั้งที่เทไปที่งานประชาสัมพันธ์ในแต่ละจังหวัด การกระหน่ำออกสปอตทางโทรทัศน์และวิทยุ การจ้างดารา-นักร้องไปช่วยรณรงค์ตามสถานที่ต่างๆ การจัดงานมหกรรมประชาธิปไตยที่เมืองทองธานี (ซึ่งจัดไปเพื่อ...??) การเตรียมรางวัลให้กับจังหวัดที่มีจำนวนผู้ออกไปใช้สิทธิสูงสุด ฯลฯ
มีเงินให้ละเลงกันขนาดนี้ แต่เงิน แค่ 7,000 บาท (แค่ 7,000 บาทเท่านั้น! ตามคำกล่าวของผู้ใหญ่ใน กยศ.) กลับไม่มีให้นักเรียนยืม จนนักศึกษาราชภัฏนครศรีธรรมราชต้องผูกคอตาย รู้สึกอะไรกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้
นอกจากนี้ ยังมีการสั่งให้วันจันทร์ที่ 20 ส.ค. 2550 เป็นวันหยุดราชการพิเศษ (ถึงกับต้องสั่งให้หยุดประเทศเพื่อการนี้...??) ขยายเวลาสิ้นสุดการลงคะแนนจากปกติที่เคยหยุดตอนบ่ายสามโมงไปเป็นสี่โมงเย็น รวมทั้งมีการโยนหินถามทางในเรื่องการจัดรถรับส่งประชาชนในการออกไปใช้สิทธิก่อนหน้านี้อีก เป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้ว ยังไม่รู้ว่าอะไรเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกันอีกหรือ
(10 ส.ค. 2550 การจัดรถรับส่งประชาชนในวันลงประชามติยังคงไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน แต่วันนี้ได้มีการออกข่าวว่าจะลดราคาค่าโดยสารขนส่งมวลชนทุกรูปแบบในวันนั้นแล้ว ทั้งลดราคารถเมล์ ขสมก. ลงครึ่งราคา รถไฟฟ้าใต้ดินนั่งฟรี ลดค่าโดยสารรถ บขส. จำกัดค่าเรือข้ามฟากไม่ให้เกิน 2 บาท จำกัดค่าเรือด่วนเจ้าพระยาและเรือหางยาวในคลองแสนแสบไม่ให้เกิน 10 บาท ฯลฯ ไม่รู้ว่ามันจะช่วยให้คนไปลงประชามติมากขึ้นตรงไหน เพราะหน่วยเลือกตั้งส่วนใหญ่ก็อยู่ในละแวกบ้านอยู่แล้ว ไม่ต้องถึงกับขึ้นรถ-ลงเรือกันเอิกเกริกเหมือนตอนไปทำงานทุกวันเสียหน่อย)
- นสพ. หัวเขียวเคยวิเคราะห์เอาไว้ว่า การไล่ที่ร้านค้าปลอดภาษีในสนามบินหนองงูเห่า เป็นยุทธการหาทุนตั้งพรรคการเมืองทหาร ต้องจับตาดูต่อไปเพราะเริ่มเข้าเค้า
- หนึ่งในสี่เหตุผลของการทำรัฐประหาร คือ อดีตรัฐบาล ครอบงำและแทรกแซงสื่อ ดูแล้วสภาพปัจจุบันนี้ แย่ยิ่งกว่าเสียอีก ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ช่อง 5 ซึ่งดูไม่ได้แล้ว เพราะเอียงไปทางปฏิบัติการกวาดล้างอำนาจเก่าให้สิ้นซากอย่างชัดเจนจนน่าเกลียด (ส่วนช่อง 9 และ 11 นั้นเป็นธรรมดาที่ไม่ว่ายุคใดสมัยใดก็ต้องเป็นกระบอกเสียงให้รัฐบาลอยู่แล้ว)
เตือนตัวเอง...
ต้องเข้าใจธรรมชาติของตัวเองว่า เป็นคนชอบขวางโลก ขวางกระแส เห็นใครเฮไปทางไหนมาก ก็มักจะยืนขวางกระแส หรือไม่ก็เดินอ้อมไปอีกทางหนึ่ง แล้วก็ลองมองในมุมอื่น
ในขณะที่มีอคติต่อฝ่ายหนึ่ง ต้องระลึกไว้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็ใช่ว่าจะดี
- โกงกินกันในระดับนโยบาย ในแบบที่ไม่เคยมีใครกล้าทำมาก่อน เมื่อก่อน การโกงกินอาจเป็นในลักษณะของการกินหัวคิวจากงบประมาณโครงการต่างๆ แต่การโกงกินในระดับนโยบาย เป็นการสร้างหรือแก้ไขกฎหมายให้รองรับขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้การโกงกินนั้นเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติ
- ปากบอกว่า เลิกแล้ว พอแล้ว วางมือแล้ว แต่การกระทำต่างๆ กลับชี้ไปในทิศทางตรงกันข้าม ทั้งม็อบทำลายทรัพย์สิน ทั้งการออกหนังสือสัมภาษณ์ส่วนตัวโดยยืมมือนักข่าวทหารหญิง ทั้งการพยายามปรากฏตัวตามสื่อต่างๆ เป็นระยะไม่เคยขาด (และต่อจากนี้ไปจะได้เห็นหน้าทางการถ่ายทอดฟุตบอลอังกฤษทุกสัปดาห์) ทำให้บ้านเมืองอยู่กันอย่างไม่สงบสุข
คิดกับตัวเอง...
เป็นเพราะความมีอคติต่อ ปชป. และ คมช. อาจทำให้เวลาคิด เวลาพูด ดูเหมือนว่าจะไปอยู่กับอีกฝ่ายหนึ่งโดยปริยาย
เป็นไปได้หรือไม่ว่า เพราะความมีอคติอันเดียวกันนี้ จึงทำให้ พี่อ๋อย ซึ่งคงเส้นคงวามาตลอดในแนวทางประชาธิปไตย (ที่เป็นประชาธิปไตยในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่ประชาธิปไตยในอุดมคติ) สามารถมาอยู่รวมกับกลุ่มพ่อค้า-นายทุนได้
เป็นไปได้หรือไม่ว่า เพราะความมีอคติอันเดียวกันนี้ จึงทำให้ ผู้ว่าฯ สมัคร ซึ่งเป็นขวาจัด สามารถมาอยู่รวมกับกลุ่มพ่อค้า-นายทุนและนักการเมืองที่เป็นซ้ายจัดได้
ทั้งนี้ เป็นการคิดบนสมมติฐานที่ว่า เงินไม่ใช่ปัจจัยหลัก
ขณะที่คิดแบบนี้ ก็ต้องเข้าใจว่า ตัวเองคิดเข้าข้างเขาเพราะนิยมชมชอบในตัวเขา
ความตั้งใจ ณ ขณะที่เขียนบันทึกช่วยจำนี้...
ไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2550
ไม่เลือก พรรคการเมืองใดทั้งสิ้นในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
Create Date : 09 สิงหาคม 2550 |
|
36 comments |
Last Update : 13 สิงหาคม 2550 9:09:32 น. |
Counter : 1038 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: yyswim 13 สิงหาคม 2550 17:07:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: dinkun (กริชครับผม ) 13 สิงหาคม 2550 21:24:39 น. |
|
|
|
| |
โดย: ซออู้ 14 สิงหาคม 2550 11:23:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: ELiiCA 14 สิงหาคม 2550 12:12:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: ju IP: 58.147.125.121 14 สิงหาคม 2550 17:31:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: rebel 14 สิงหาคม 2550 22:23:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: Malee30 15 สิงหาคม 2550 1:17:04 น. |
|
|
|
| |
โดย: ELiiCA 15 สิงหาคม 2550 5:19:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณย่า 15 สิงหาคม 2550 6:15:38 น. |
|
|
|
| |
โดย: JewNid 15 สิงหาคม 2550 14:58:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: yyswim 15 สิงหาคม 2550 20:06:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: rebel IP: 125.24.70.150 16 สิงหาคม 2550 21:21:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: ฟ้าดิน 19 สิงหาคม 2550 4:40:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: ju IP: 124.157.133.48 19 สิงหาคม 2550 23:26:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้ามด 20 สิงหาคม 2550 10:34:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: ซออู้ 20 สิงหาคม 2550 12:35:18 น. |
|
|
|
| |
|
|
ศิลปิน: เฉลียง เพลง: หวาน ชุด: ปรากฏการณ์ฝน ปี: 2525
|
|
|
|
|
|
|
|
แต่ตัดคำว่า"อย่าเพิ่ง"ออกก่อนนะคะ ฮ่าๆๆ
แหม..ทำไมเราชอบค่อนว่าคนไทย
ไม่ได้บอกว่าตัวเองไม่เป็นนะคะ
เป็นแบบนั้นหลายข้อเลยค่ะ..หลายครั้งด้วย
ก็ต้องยับยั้งชั่งใจให้ทันก่อนที่จะใช้หนึ่งในสิบข้อนั้นกับเหตุการณ์อะไรซักอย่าง
โดยเฉพาะข้อสุดท้าย"อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน" กับข้อแปด"อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน" อันนี้ค่อนข้างน่ากลัวและเป็นปัญหาค่ะ เพราะเป็นฉันทาคติ(เรียกถูกหรือเปล่าคะ)
การยึดติดที่เกิดจาก"ความเชื่อมั่น"เกิดจาก"ความศรัทธา"ทำให้ลบเลือนยากซักหน่อย เพราะเชื่อมั่นใน"ตัวบุคคลที่นับถือ" และเชื่อมั่น"ความคิดที่มั่นใจว่าถูกของตัวเอง"
สังคมไทยวุ่นวายมากๆ(ตอนนี้)ก็เพราะสองอย่างนี้ล่ะค่ะ
ต้องลด ละ เลิก ซึ่งก็อาจจะยากละมังคะ
ป.ล. เราเป็นครูบาอาจารย์ก็คงต้องระมัดระวังตัวเหมือนกันนะคะ