"The single best way to grow a better brain is through challenging problem solving." - Eric Jensen (1998), Teaching with the Brain in Mind
Group Blog
 
<<
กันยายน 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
11 กันยายน 2550
 
All Blogs
 
เรียนไปทำอะไร

11 ก.ย. 2550



ผมได้อ่านบทความนี้จากวารสาร Engineering Today ฉบับเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2546 เขียนโดย ศ.ดร. พีรศักดิ์ วรสุนทโรสถ ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็น ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) อาจารย์ท่านได้นำเอา เหตุผล 4 ประการที่มนุษย์จำเป็นต้องเรียนหนังสือ ที่สรุปไว้โดย องค์การสหประชาชาติ มาอธิบายขยายความ

เมื่อผมได้อ่านแล้วก็รู้สึกว่า เหตุผลทั้ง 4 ประการนั้นเป็นจริงดังว่า และก็ได้ทำสำเนาแจกให้นักศึกษาที่ผมมีโอกาสได้สอนหนังสือเรื่อยมา เพราะเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่คนที่กำลังอยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน เขาจะได้รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ และสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้น เป็นประโยชน์ต่อตัวเขาอย่างไร ไม่ใช่ว่าเรียนไปเพื่อให้ได้กระดาษเพียงแผ่นเดียวเท่านั้น

ถึงแม้ว่าคนที่เป็นผู้ใหญ่ ผ่านชีวิตและประสบการณ์มาแล้วช่วงหนึ่ง จะอ่านแล้วเข้าใจและเห็นจริงตามนั้นได้มากกว่าคนที่กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น แต่ผมก็หวังว่าบางคนน่าจะพอเข้าใจได้ และทำให้เขาขยันตั้งใจศึกษาหาความรู้ ทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียนต่อไป

ส่วนบางคนที่อาจจะยังอ่านแล้วไม่เข้าใจ หรือยังไม่เห็นจริงตามนั้น ผมก็ได้แต่หวังว่าพวกเขาจะเก็บบทความนี้เอาไว้ในสมุดบันทึกส่วนตัว และหยิบมันออกมาอ่านอยู่เรื่อยๆ ตามที่ผมได้แนะนำเขาไปว่า สักวันหนึ่ง พวกเขาจะเข้าใจสิ่งที่บทความนี้พยายามจะอธิบาย

ลองอ่านกันดูนะครับ หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์



หมายเหตุ:

ขอขอบคุณที่มาของบทความ คือ วารสาร Engineering Today มา ณ ที่นี้ด้วยครับ









เรียนไปทำอะไร...
ศ.ดร. พีรศักดิ์ วรสุนทโรสถ
Engineering Today ปีที่ 1 ฉบับที่ 12 เดือน ธ.ค. 2546



แมรี่ เกตท์ รู้สึกเดือดร้อนและเป็นทุกข์ใจมาก เมื่อรู้ว่าลูกชายไม่เอาถ่านของนางตัดสินใจเลิกเรียนที่ฮาร์วาร์ด ขณะที่ยังไม่จบปริญญาตรี และคิดว่าลูกชายตัดสินใจผิดพลาด เป็นความล้มเหลวของชีวิต ต่อเมื่อ บิลล์ เกตท์ ประสบความสำเร็จได้มาตั้งบริษัทไมโครซอฟท์รุ่งเรือง และบิลล์ เกตท์ เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จขึ้นหน้าหนึ่งวารสารชั้นนำของโลกแล้ว แมรี่ เกตท์ จึงเปลี่ยนความคิดเสียใจดังกล่าว

ไอสไตน์ เองนั้น เมื่อจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ ด้วยคะแนนเฉลี่ยไม่ดีนัก ทำให้พ่อแม่เดือดเนื้อร้อนใจมากจนต้องเขียนจดหมายไปถึงอาจารย์ของเขาในมหาวิทยาลัย ขอร้องให้รับไอสไตน์เป็นอาจารย์ผู้ช่วยสอน แต่ถูกปฏิเสธ และระหกระเหินไปเป็นผู้ตรวจสอบสิทธิบัตรที่เบอร์นถึง 6 ปี เมื่อกลับมาส่งวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกก็ถูกตีกลับด้วยด้านคุณภาพไม่ถึง ถึงสองครั้งสองหน กว่าที่จะจบปริญญาเอกได้ แต่งานของเขากลับกลายเป็นอภิมหาอมตนิรันดร์กาลยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงโลกในปัจจุบัน

ปริญญาเอกอาจเป็นความใฝ่ฝันอันสูงสุดของนักเรียนหลายๆ คน แต่บุคคลสำคัญๆ ที่สร้างความยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็มิได้จบปริญญาเอกไปเสียทุกคน เอดิสันเองก็ออกจากโรงเรียนกลางคัน ไม่จบแม้แต่มัธยมศึกษาตอนปลายในระบบ นิโคลา เทสลา ซึ่งชื่อสกุลถูกนำมาเป็นหน่วยทางแม่เหล็กไฟฟ้านั้นก็ไม่จบปริญญาเอก และเมื่อเข้าไปในอเมริกาครั้งแรกเพื่อขายสิทธิบัตรมอเตอร์ไฟฟ้าก็ถูกปฏิเสธ ต้องไปเป็นกรรมกรในนิวยอร์กอยู่หลายเดือน

คนที่เก่งจริงอาจได้จากพื้นฐานการศึกษา จากสภาวะแวดล้อม จากประสบการณ์ และการหล่อหลอมของจริยธรรมได้ในที่สุด ถึงแม้ไม่ได้ปริญญาเอกจากการเรียนก็จะได้รับการยอมรับ และได้ปริญญาเอกอีกหลายใบในตำแหน่งกิตติมศักดิ์ เทสลาเองขณะมีชีวิตและเป็นที่ยอมรับก่อนตายจาก ได้ปริญญาเอกกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลกหลายสิบแห่ง เอดิสันก็เช่นกัน

อย่างนั้นไม่ต้องเรียนหนังสือหรือ? หรือจะเรียนหนังสือไปทำอะไร? เรียนแล้วได้เพียงใบปริญญาเท่านั้นหรือ? การปฏิรูปการศึกษาใหม่ของไทยเน้นการให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง แปลว่าไม่ต้องสอนหรือ? แปลว่าการเรียนการสอนแบบเก่าล้าสมัยใช้ไม่ได้หรือ? การท่องอาขยาน การท่องสูตรคูณเป็นการทำให้เด็กเป็นนกแก้วนกขุนทองที่ไร้ประโยชน์จริงหรือ? ความสำเร็จและความล้มเหลวต่างกันเหมือนฟ้ากับดินอยู่คนละขั้ว หรือเป็นเหรียญสองหน้าในเหรียญอันเดียวกัน? ความสำเร็จคืออะไร ความล้มเหลวคืออะไร ในความสำเร็จมีความล้มเหลว และในความล้มเหลวมีความสำเร็จ สำหรับผู้ที่ฉลาดจริงหรือเปล่า?

สหประชาชาติ องค์กรเสือกระดาษที่ถูกสหรัฐฯ ตบหน้าเมื่อเข้ารุกรานอิรักในอดีต และที่เพิ่งถูกผู้ก่อการร้ายอิรักวางระเบิดที่ทำการในอิรักเมื่อเร็วๆ นี้ ได้กล่าวถึงการเรียนไว้อย่างดีมากๆ เมื่อถูกถามว่าจะเรียนหนังสือไปทำอะไรว่า การเรียนหนังสือของมนุษยชาตินั้น เรียนไปเพื่อเป็นประโยชน์ 4 อย่างคือ

ประการแรก เรียนเพื่อเป็นพื้นฐานขององค์ความรู้ ถ้าไม่เริ่มเรียนเพื่อให้มีพื้นฐานเบื้องต้นในองค์ความรู้แล้ว จะคิดต่อเนื่องได้อย่างไร จะเอาอะไรมาคิด จะเอาอะไรมาตัดสินใจเล่า การท่องอาขยานและสูตรคูณเป็นการพัฒนาสมองทางหนึ่ง ความจำก็มีความจำเป็นเท่าๆ กับความคิด องค์ความรู้ต่างๆ มีประโยชน์ใช้ในประสบการณ์ในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในช่วงการทำงานในชีวิต เพื่อการตัดสินใจ เพื่อการเข้าใจในการหาความรู้เพิ่มเติม โดยการฟัง การอ่าน การเขียน การดู และการสัมผัส เป็นการเรียนเพื่อรู้เป็นอันดับแรก

ประการที่ 2 เรียนหนังสือเพื่อไปทำงานประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว ความสมบูรณ์ทางความคิดนั้น นอกจากการเรียนเพื่อองค์ความรู้แล้ว ต้องเรียนการประยุกต์เพื่อไปทำงานประกอบอาชีพได้เริ่มต้นด้วย และจากประสบการณ์ในการทำงาน จึงสามารถมีการเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิตในการใช้งานจริง ปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงไปในอัตราที่เร็วมาก สิ่งที่เราเรียนในโรงเรียนมาราวครึ่งหนึ่งจะล้าสมัยภายในเวลาไม่กี่ปี พื้นฐานความรู้ที่ได้ต้องใช้ในการเรียนรู้ต่อเนื่องพัฒนาตนเองไป หลักสูตรจึงต้องถูกปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา เมื่อออกจากโรงเรียนจึงจะเริ่มทำงานได้ทันที แต่ต้องอาศัยการเรียนรู้ตลอดชีวิตในการทำงาน เพราะถ้าคนเราจะก้าวหน้าขึ้นไปในหน้าที่การงาน ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอในการทำงาน การเรียนรู้ในข้อที่ 2 ที่จำเป็น คือ การเรียนรู้เพื่อการทำงาน

ประการที่ 3 คือ เรียนหนังสือไปเพื่อให้มีชีวิตอยู่ในสังคมร่วมกับคนอื่นๆ ในสังคมโลกได้โดยสันติ เข้าใจสภาวะแวดล้อมของธรรมชาติ ของสังคมในแต่ละกาลเวลา แต่ละสถานที่ รู้จักคุณค่าของศิลปะวัฒนธรรม ดนตรี ธรรมชาติ กีฬา อารมณ์ขัน กิริยามารยาทในการเข้าสังคม เพื่อให้อยู่ในสังคมกับคนอื่นๆ ทั่วโลกได้อย่างมีความสุขสันติ

ประการสุดท้าย คือ การเรียนหนังสือไปเพื่อความเป็นมนุษย์ ซึ่งต่างออกจากสัตว์โดยมีวิวัฒนาการทางสมอง ทางความคิดต่อเนื่อง มีคุณภาพ อันเป็นธรรมะชั้นสูงของทุกศาสนาในโลก บางอย่างอาจต้องฝืนกระแสฝืนสภาพตามธรรมชาติ เช่น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่พัฒนาขนาดใหญ่ นอกจากมนุษย์ จะมีภรรยาหลายตัว เช่น สิงโต หรือแม้พญาฉัททันต์ หรือแม้แต่นกเงือกที่เคยเชื่อว่าจะมีคู่ผัวเดียวเมียเดียว แต่เมื่อความเจริญในการพิสูจน์ DNA ได้ นักวิทยาศาสตร์พบว่าสายพันธุ์ของสัตว์บางชนิดที่เคยเชื่อว่าผัวเดียวเมียเดียวนั้น 20-30% ของลูกนกไม่ใช่ DNA ของตัวพ่อ

เรียนหนังสือไปเพื่อความเป็นมนุษย์นั้น มีคุณธรรมจำนวนมากหลายที่พุทธศาสนาสอนไว้ เช่น สัจจะ ความกตัญญูกตเวที และในลักษณะคุณธรรมสำคัญคือ พรหมวิหาร 4 เพื่อให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ อันได้แก่ ความเมตตา มีจิตใจอยากให้ทุกผู้คนในสังคมมีความสุข ความกรุณา อันมีการช่วยเหลือ เพื่อให้เพื่อนมนุษย์ที่สามารถช่วยได้พ้นจากความทุกข์ มุทิตา คือมีจิตใจบริสุทธิ์ มีความยินดีให้กับผู้ที่ประสบความสำเร็จ ไม่อิจฉาริษยา และอุเบกขา อันเป็นธรรมสูงสุดใน 4 ข้อ คือสามารถอยู่เหนือความดีใจ เสียใจ ความอิจฉาริษยา มีจิตใจวางเฉยในสภาพที่เกิดขึ้นเมื่อไม่สามารถที่จะทำอะไรในสามข้อแรกได้แล้ว โดยมิได้ยินดียินร้ายหรือเสียใจคร่ำครวญ เพราะมันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้นเอง

เรียนหนังสือไปทำอะไร ก็คงจะตอบว่า เรียนไปเพื่อความรู้ เพื่อการทำงาน เพื่ออยู่ร่วมในสังคม และเพื่อความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ อย่างที่ในการขานนาคว่า มนุษโสสิ ถามว่าเป็นมนุษย์หรือเปล่า ซึ่งคนที่ตั้งใจจะบวชเรียนเป็นพระจะตอบเป็นมาตรฐานว่า อามะภันเต หรือขอรับกระผม



Create Date : 11 กันยายน 2550
Last Update : 11 กันยายน 2550 20:16:11 น. 18 comments
Counter : 1164 Pageviews.

 
เอาบทความนี้มาให้อ่าน ไม่รู้ว่าจะเครียดเกินไปหรือเปล่าแฮะ


โดย: คนทับแก้ว วันที่: 11 กันยายน 2550 เวลา:20:21:35 น.  

 
ไม่เครียดหรอกค่ะ ได้ประโยชน์ดีค่ะ อย่างคุณย่าเนี่ยเรียนไปได้อะไรดีน๊า คิดไม่ค่อยจะออก ได้เพื่อนดี ๆ กลับมาก็แระกันเนอะ ^^


โดย: คุณย่า วันที่: 11 กันยายน 2550 เวลา:20:55:03 น.  

 
มีประโยชน์มากคะ ขอบคุณที่เอาบทความดีดีมาให้อ่าน


โดย: ninukka วันที่: 11 กันยายน 2550 เวลา:21:46:29 น.  

 
สมัยที่เรียน
อาจารย์บอกว่า เรียนเพื่อให้คิดเป็น
แล้วจะได้มีปัญญาไปขวนขวายหาความรู้ ในสิ่งที่อยากรู้ต่อไปในอนาคต


โดย: rebel วันที่: 11 กันยายน 2550 เวลา:22:17:52 น.  

 
เป็นบทความที่ดีนะครับ สำหรับคนหาคำตอบให้ตัวเองไม่เจอสักที


โดย: ตงเหลงฉ่า วันที่: 11 กันยายน 2550 เวลา:22:55:58 น.  

 
น่าสนใจและน่าขบคิดมากๆ ค่ะ โดยเฉพาะข้อ 4


โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 11 กันยายน 2550 เวลา:23:44:31 น.  

 




สวัสดีตอนเช้าๆของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า


บนเส้นทางของความเป็นเพื่อน
ความจริงใจไม่ลางเลือนในความรู้สึก
เป็นเพื่อนคนเดียวที่อยู่ในส่วนลึก
เป็นมิตรภาพที่มีอยู่ในความรู้สึกเสมอมา


** ขอให้มีความสุขกับคนที่คุณรักนะจ้า **



เป็นบทความที่ดีมากๆๆเลยอะจ้า


โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 12 กันยายน 2550 เวลา:13:11:25 น.  

 
ชอบครับ ไม่เครียดเลยนะผมว่า ได้ข้อคิดครับ โดยเฉพาะข้อสุดท้าย เห็นคนเก่งๆหลายๆคนที่เรียนมาไม่ค่อยทีข้อนี้กันเลย ยิ่งจากที่ผมเห็นในมหาวิทยาลัยใกล้ๆบ้านผมเนี่ย แม่มาเล่าให้ฟังแล้วก็น่าเป็นห่วงครับ ถ้าคนระดับมันสมองกลับไม่มีสมองซะเอง คงแย่แน่ๆ


พอดีคอมผมเสียครับ โดนไวรัสเล่นงานซะอ่วมเลย เอาไปซ่อมที่ร้าน ร้านก็ดองไว้เกือบสองอาทิตย์ แอบเซ็งเลยครับ เพราะต้องใช้ทำงาน เลยเสียเวลาไปนานมากๆ ตอนนี้ก็ต้องมานั่งเซ็ตอัพอะไรใหม่อีกมากมายเลยครับ


โดย: พ่อน้องโจ วันที่: 12 กันยายน 2550 เวลา:17:44:20 น.  

 
สำหรับนิดคิดว่าการเรียนสอนให้เรารู้จักคิดเป็นระบบค่ะ ...
เพราะเมื่อรู้จักคิดแล้วเราก็ค่อยๆ กระดึ๊บๆ ไปทำอย่างอื่นได้อย่างมี
ระบบเช่นกันคะ ...


แต่ว่าอาจจะไม่แน่เรื่องระบบ เพราะตอนนี้ตัวเองยังหาระบบสมดุลย์
ให้ตัวเองยังไม่ค่อยเจอเลยค่ะ


โดย: JewNid วันที่: 12 กันยายน 2550 เวลา:20:18:06 น.  

 
เห็นด้วยกับคุณจิ๋วนิดครับผม


โชคดีที่ผมเก็บงานไว้ในdrive Dครับ ตอนเอาไปซ่อมเลยยังอยู่ครบ และที่ร้านก็ช่วยกู้ในdrive Dกลับมาได้หมดเลย และโชคดีที่ผมแบ็คอัพไว้เสมอๆ โดยจะอัพเดทสิ่งที่ผมทำใหม่ๆไว้ตลอดครับ จึงไม่มีอะไรสำคัญๆหายไปไหนเลย แต่เสียดายในdrive Cนิดนึง ที่ลืมบอกเค้าไปว่าให้ช่วยกู้ให้ด้วย เพราะมีรูปหมาๆที่เพิ่งถ่ายและเอามาลงในเครื่องไว้ ยังไม่ทันได้เเบ็คอัพไว้เลยครับ เสียดายๆๆ


โดย: พ่อน้องโจ วันที่: 12 กันยายน 2550 เวลา:20:35:44 น.  

 
ลืมบอกไปว่า ใช่ครับ ใช้เวลาลงโปรแกรมและเซ็ทโน่นเซ็ทนี่ วันนึงพอดีอย่างที่คุณคนทับแก้วบอกเลยครับ


โดย: พ่อน้องโจ วันที่: 12 กันยายน 2550 เวลา:20:37:45 น.  

 

ไม่เครียดหรอก อ่านเพลินๆ ...การเรียนเป็นการรับความรู้ทางอ้อม คือคนอื่นเจอแล้วนำมาเขียน แต่การทดลอง ทำด้วยมือ เป็นความรู้โดยตรง

ก็ดีคนละแบบ แบบเร็ว-ช้า ลืมง่าย-จำแม่น เป็นต้น

ลุ้น ..ให้นักศึกษาเก็บบทความนี้ไว้ทบทวน


โดย: yyswim วันที่: 12 กันยายน 2550 เวลา:23:49:22 น.  

 
ดีใจจังมีเพื่อนไฟดับเหมือนเรา
ระบบโซล่าร์เซลล์สำหรับที่อยู่อาศัยในเมืองไทยจะแพงรึเปล่าน๊อ? แล้วไฟจะพอเปิดพัดลม เปิดทีวีรึเปล่าน๊อ?
เรียนน้อยก็แบบเนี๊ยะ ไม่ค่อยจะรู้อะไรซักอย่าง


โดย: คุณย่า วันที่: 12 กันยายน 2550 เวลา:23:54:59 น.  

 
อ่อ ลืมบอกไปว่าเพลงในบล็อกอาจารย์วันนี้ ฟังแล้วรู้สึกอยากเอาไปเปิดนอนฟังริมทะเลจังเลยค่ะ


โดย: คุณย่า วันที่: 12 กันยายน 2550 เวลา:23:58:50 น.  

 
อ่านบทความของคุณจบปุ๊บ คำแรกที่แวบเข้ามาในหัวเลยคือ

"เรียนไปปวดหัว มีผัวดีกว่า"

ผมไร้สาระไปไหมครับเนี่ย


โดย: ฟ้าดิน วันที่: 13 กันยายน 2550 เวลา:1:33:35 น.  

 
^
^
คุณฟ้าดิน... พอบอกว่า "เรียนไปปวดหัว มีผัวดีกว่า" ผมก็นึกต่อไปถึงละครไทยๆ เลยครับ

ลักษณะแบบที่ว่านี้ ตรงกับคุณสมบัติของนางอิจฉาและแม่ของนางอิจฉาเป๊ะเลยครับ วันๆ ไม่ต้องคิดทำมาหากิน คิดแต่จะจับผู้ชายรวยๆ


โดย: คนทับแก้ว วันที่: 13 กันยายน 2550 เวลา:10:04:55 น.  

 
แวะเข้ามาทักทายค่ะ สบายดีไม๊ค่ะ


โดย: opleee วันที่: 13 กันยายน 2550 เวลา:16:12:35 น.  

 
กร๊ากกกก "เรียนไปปวดหัว มีผัวดีกว่า"


เพื่อนนักศึกษาเราคนนึงก็เคยแซวครูด้วยคำนี้
ครู : "อย่างเธอ เอาดีด้านตั้งใจเรียนดีกว่านะ ปั๋วน่ะ-คงอยู่ไกลเกินเอื้อม ครูพูดตรงๆ ว่า ยากว่ะ"
คนอื่นๆ : กร๊ากกกกกก
เพื่อน : แง้


โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 13 กันยายน 2550 เวลา:18:46:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนทับแก้ว
Location :
นครปฐม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






ศิลปิน: เฉลียง
เพลง: หวาน
ชุด: ปรากฏการณ์ฝน
ปี: 2525



Friends' blogs
[Add คนทับแก้ว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.