|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
เล็กๆ น้อยๆ เราก็ยอมกันไป?
15 ส.ค. 2550
วันนี้เอาเรื่องของนักศึกษามาเผาครับ ไม่ได้ทำไปเพื่อประจานแต่อย่างใด แต่มันมีประเด็นชวนให้คิด ชวนให้รู้สึกเป็นห่วง
วันก่อน ผมนัดสอนหนังสือในวันจันทร์ซึ่งเป็นวันหยุดชดเชย สาเหตุที่ต้องนัดสอนในวันหยุดนั้น เนื่องจากว่าวันจันทร์ที่เป็นวันสอนตามปกติในเทอมนี้ของผมตรงกับวันหยุดหลายวัน หากผมหยุดสอนอีก เห็นทีจะสอนไม่ทันเป็นแน่ จึงได้มีการนัดสอนในวันหยุดขึ้น
และเนื่องจากเป็นวันหยุด ห้องเรียนกลางของคณะซึ่งจุนักศึกษาได้ครบทั้งแปดสิบกว่าคนที่ใช้เรียนใช้สอนกันอยู่ทุกสัปดาห์จึงไม่มีเจ้าหน้าที่มาเปิดให้ ผมจึงต้องย้ายขึ้นมาสอนที่ห้องเรียนของภาควิชาซึ่งมีขนาดความจุประมาณหกสิบคนแทน
เมื่อห้องเรียนมีขนาดเล็กลง จึงต้องมีบางคนที่ไม่มีเก้าอี้นั่ง ผมก็เลยให้เขาไปย้ายเก้าอี้จากอีกห้องหนึ่งมาวางเสริม
ระหว่างที่รอนักศึกษากลุ่มนั้นไปยกเก้าอี้มา ผมก็บอกให้นักศึกษาที่นั่งอยู่แถวริมหน้าต่างลุกขึ้นไปเปิดม่านและเปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเท เพราะในวันนั้น มีการดับไฟเพื่อซ่อมบำรุงหม้อแปลงไฟฟ้าของคณะพอดี ทำให้เปิดแอร์หรือเปิดพัดลมไม่ได้
ต้องใช้เวลาถึงเกือบครึ่งนาทีครับ กว่าที่จะมีนักศึกษาคนหนึ่งลุกขึ้นไปเปิดผ้าม่านและเปิดหน้าต่าง ไม่รู้ว่าทำไมถึงใช้เวลานานนัก หรือบรรดานักศึกษาที่นั่งอยู่แถวริมหน้าต่างกำลังวัดใจกันอยู่ว่าใครจะลุกขึ้นไป รับภาระ นี้ดี
คนที่อาสา (หรือจำใจก็ไม่ทราบ) เลิกผ้าม่านขึ้น พลิกซ้าย แหวกขวา คาดว่าเขาคงมองหาเชือกที่ใช้ดึงเพื่อเปิดผ้าม่านไม่เจอ
สักพักหนึ่ง เขาก็กลับมานั่งที่เดิมโดยที่ยังไม่ได้เปิดผ้าม่าน!
ปากไวเท่าความคิด ผมก็เลยพูดออกไปว่า
"ผมเข้าใจแล้วล่ะว่า ทำไมตอนที่ผมให้พวกคุณเขียนวิจารณ์อาจารย์ผู้สอนและวิจารณ์ตัวเองหลังสอบกลางภาค บางคนถึงเขียนว่า 'ผม/หนู ก็ทำแบบฝึกหัดเยอะพอสมควรแล้วนะ แต่บางข้อมันทำไม่ได้ ถามเพื่อนแล้วเขาก็ทำไม่ได้เหมือนกัน ผม/หนู ก็เลยไม่รู้จะถามใคร (ผมคิด... แล้วมีผมเอาไว้ทำไม้ตีพริกอะไร) พอทำไม่ได้ก็เลยท้อ ก็เลยเลิกทำ' ก็เพราะทัศนคติในการแก้ปัญหาในชีวิตของพวกคุณเป็นอย่างนี้ไง ผลสอบออกมาถึงได้คะแนนน้อยอย่างที่เห็น"
(ขอออกตัวยืนยันว่าผมเป็นคนใจดี ใครมาถามแบบฝึกหัดหรือให้ผมอธิบายเพิ่มเติม ผมไม่เคยอารมณ์เสียหรือไล่กลับไป ผมอธิบายด้วยความยินดีทุกครั้ง ยินดีที่เขารู้จักขวนขวายเมื่อไม่รู้ เสียดายก็แต่ว่าคนที่รู้จักขวนขวายเมื่อไม่รู้นั้นมีน้อยเกินไป)
ยังไม่ทันที่ผมจะได้เทศน์กัณฑ์ต่อไป ก็มีเรื่องรบกวนสายตาและความรู้สึกเข้ามากระทบโสตประสาทของผมอีกเรื่องหนึ่ง
เจ้ากลุ่มที่ไปยกเก้าอี้เริ่มทยอยกลับมาครับ
คนแรกยกเก้าอี้เข้ามาในห้อง พอก้าวพ้นประตูปุ๊บ ก็วางเก้าอี้ปั๊บ แล้วก็ลงนั่ง
คนต่อมาก็ยกเก้าอี้เข้ามา พร้อมทั้งต้องเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อมองทางและหลบเจ้าคนแรกที่นั่งขวางอยู่ พอเดินพ้นคนแรกปุ๊บ เขาก็วางเก้าอี้ปั๊บ แล้วก็ลงนั่ง
คนที่สาม สี่ ห้า และคนต่อๆ มา ก็ทำพฤติกรรมซ้ำแบบเดียวกันอีก!
น่าแปลกที่พวกเขาไม่ยักหงุดหงิดกันเอง
แต่ผมสิครับ ปากไวเท่าความคิดอีกเช่นเคย
"ท่านทั้งหลายที่ยกเก้าอี้เข้ามาครับ ทำไมท่านถึงไม่เดินเข้าไปด้านในสุดก่อนล่ะครับ จะได้ไม่เกะกะเพื่อนคนต่อๆ ไป เพราะพวกคุณไม่คิดถึงคนอื่น เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ยังไงล่ะ กระเป๋ารถเมล์เขาถึงต้องคอยบอกให้พวกคุณ 'ชิดในหน่อยพี่ ชิดในหน่อยพี่' ปากเปียกปากแฉะอยู่อย่างนั้นมาหลายชั่วอายุคนแล้ว"
ระหว่างที่พูด สายตาผมก็กวาดไปรอบห้อง ผมเห็นสีหน้า แววตา และท่าทางของนักศึกษาหลายคน ซึ่งหากแปลออกมาเป็นคำพูดแล้ว คงจะเป็นทำนองนี้...
"อาจารย์แม่ม... บ่นอีกแล้ว ขี้บ่นฉิบหาย"
"ปากจัด ช่างประชด ช่างเหน็บแนมจริงโว้ย ไหนบอกว่าจะเลิกประชดแล้วไง"
"สงสัยอาจารย์แม่ม... จะเป็นโรคจิต ต้องด่าว่านักศึกษาก่อน ถึงจะสอนหนังสือได้"
"บ้าอำนาจ บ้าน้ำลาย"
"ลื้อมีหน้าที่สอนหนังสือก็สอนไปสิวะ อั๊วะมาเรียนวิศวะ ไม่ได้มาเรียนจริยธรรมหรือสังคมศึกษา"
"โธ่... เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ พูดได้เป็นวรรคเป็นเวร ประสาท"
เรื่องเล็กน้อย แบบนี้แหละครับ ผมว่าสำคัญนัก เพราะเรื่องที่เราเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เรามักจะกระทำหรือแสดงพฤติกรรมออกมาโดยสัญชาติญาณ ไม่ได้ผ่านการใช้สติกลั่นกรองให้รอบคอบเสียก่อน เรื่องเล็กน้อยหรือพฤติกรรมเล็กน้อยเหล่านี้ จึงเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นตัวตนของคนคนนั้นอย่างแท้จริง สามารถใช้เป็นเครื่องบอกถึง นิสัย สันดาน จริต ความคิด ความรู้สึก สภาพสังคมแวดล้อม และภูมิหลังของคนคนนั้นได้เป็นอย่างดี
ผมคิดว่านิสัยช่างติ ช่างวิจารณ์ ช่างสังเกตพฤติกรรมคนของผมนั้น ได้รับการปลูกฝังจากพ่อแม่มาตั้งแต่เด็กๆ พ่อแม่ผมมักคอยจะชี้ชวนให้ดูคนหรือสิ่งต่างๆ รอบตัว แล้วก็คอยบอกว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี เพราะอะไร
นิสัยนี้คงจะมาพัฒนาเอามากๆ ตอนที่ผมต้องโดยสารรถเมล์ไปเรียนหนังสือ การเดินทางด้วยรถเมล์ในกรุงเทพฯ นั้น ทำให้ผมมีเวลาอยู่กับตัวเองมากเหลือเกิน ทั้งในขณะที่ต้องรอรถเมล์และขณะที่อยู่บนรถเมล์ คิดคร่าวๆ แล้วก็ต้องมีสามชั่วโมงต่อวันเป็นอย่างน้อย ถ้าได้นั่งก็ดีไปเพราะสามารถอ่านหนังสือได้ แต่ถ้าต้องยืน ผมก็จะอ่านหนังสือไม่ได้ ก็เลยจำเป็นที่จะต้องหาอย่างอื่นทำ
สิ่งที่ผมชอบทำก็คือ การสังเกตพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ของผู้คนรอบข้าง แล้วก็คาดเดาลักษณะนิสัย สิ่งที่เขากำลังคิด (หรือไม่ได้คิด) พร้อมทั้งสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับคนเหล่านั้นไปต่างๆ นานา
ทุกวันนี้ผมก็ยังติดนิสัยนี้อยู่ และมีทีท่าว่ามันคงจะไม่หายไปไหน
ลองดูตัวอย่างสักเล็กน้อยไหมครับ
- ชายหนุ่มแต่งตัวดี ท่าทางน่าจะเป็นคนทำงานออฟฟิศ กำลังลุกขึ้นจากที่นั่งบนรถเมล์ ขณะที่กำลังเอื้อมมือขึ้นไปจับราวโหนด้านบน เขาก็แกล้งปล่อยให้ตั๋วรถเมล์หลุดร่วงลงมาจากมือ
(ผมคิด... คนนี้ ถ้าไม่ใช่กำลังพิจารณาเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลกว่าของเบากับของหนักจะตกถึงพื้นพร้อมกันหรือไม่เหมือนกับที่กาลิเลโอเคยทดลองที่หอเอนเมืองปิซ่า เขาก็คงจะเป็นคนที่มีนิสัยมักง่าย ที่บ้านเขาก็คงจะสกปรก ข้าวของคงจะวางระเกะระกะ ไม่เป็นระเบียบ หรือถ้าที่บ้านเป็นระเบียบ ที่ทำงานของเขาก็คงจะไม่เป็นระเบียบ เพราะเขาถือว่าไม่ใช่ของของเขา น่าจะเป็นพวกที่ชอบคิดว่า 'ธุระไม่ใช่' เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครเอาซองผ้าป่ามาเรี่ยไร หรือเพื่อนร่วมงานขอแรงให้ช่วยขนของเพื่อจัดห้องทำงานใหม่ เขาคนนี้ก็อาจจะหาเหตุผลมาปฏิเสธเพราะเห็นว่าไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา)
- นักเรียนคนนั้นกินข้าวไม่เกลี้ยงจาน ข้าวและกับข้าวที่เหลืออยู่ในจานก็กระจัดกระจายเต็มจานไปหมด
(ผมคิด... พ่อแม่ของนักเรียนคนนั้นอาจจะรวย ก็เลยไม่เคยสอนให้รู้จักคุณค่าของอาหาร เพราะอยากกินอะไรก็ได้กิน อยากกินเมื่อไรก็ได้กิน ไม่อยากกินหรือไม่อร่อยก็ทิ้งไป หรือนักเรียนคนนั้นอาจจะอิ่มแล้วก็เลยกินต่อไม่ไหวจริงๆ แต่การที่ข้าวในจานกระจัดกระจายเต็มจานก็แปลว่า นักเรียนคนนั้นไม่น่าจะเป็นคนที่มีระเบียบเรียบร้อยหรือมีวินัยสักเท่าไร ความคิดก็คงจะไม่ค่อยเป็นระเบียบหรือเป็นเหตุเป็นผล ถ้าไปเรียนสายวิทยาศาสตร์หรือไปเป็นตำรวจ-ทหารคงจะไม่รุ่ง ไปเรียนทางศิลปะน่าจะดีกว่า)
- หลังกินข้าวเสร็จ หญิงสาวคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ ก็สาวกระดาษทิชชูออกมาจากกล่องสี่ท่อนเพื่อเอามาเช็ดปาก
(ผมคิด... ทำไมต้องดึงออกมาตั้งสี่ท่อน แค่ท่อนเดียวก็น่าจะพอแล้ว เพราะขนาดเราใช้กระดาษท่อนเดียวพับสองทบ พื้นที่ยังใหญ่กว่าปากเลย สามารถเช็ดปากให้สะอาดได้อย่างสบายๆ สงสัยเขาจะเป็นคนมีสตางค์พอสมควร เลยไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ เขาลืมนึกถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างพอเพียงไปหรือเปล่า ลืมนึกถึงบรรดาต้นไม้ที่ต้องสละชีวิตเพื่อกลายมาเป็นกระดาษทิชชูให้ทิ้งไปเฉยๆ โดยเปล่าประโยชน์หรือเปล่า ช่างไม่รู้จักใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมเสียบ้างเลย แล้วนี่เราจะไปเสือกอะไรกับชีวิตเขาล่ะนี่)
- สาวคนนั้นหันไปมองด้านหลัง ก่อนที่จะเลื่อนเก้าอี้ถอยหลังเพื่อลุกขึ้น เสร็จแล้วก็เลื่อนเก้าอี้สอดเข้าไปใต้โต๊ะหลังจากลุกขึ้นแล้ว
(ผมคิด... พ่อแม่ครูบาอาจารย์เขาคงจะสอนกันมาดีนะ รู้จักหันไปมองก่อนด้วยว่า เลื่อนเก้าอี้แล้วจะไปชนเก้าอี้ของคนอื่นหรือไม่ เสร็จแล้วก็ยังอุตส่าห์สอดเก้าอี้กลับเข้าไปใต้โต๊ะอีกต่างหาก น่าจะเป็นคนเรียบร้อย นิสัยดี โอบอ้อมอารีย์ มีน้ำใจ คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่นในสังคม น่าจะไปประกอบอาชีพเป็นครู จะได้สอนให้คนเป็นคนดีได้อีกหลายๆ คน หรือจะไปเป็นเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ก็น่าจะดี หรือไปลงสมัครเป็นผู้แทนราษฎรเสียเลย เพราะคงจะเป็นผู้แทนประเภทที่ใส่ใจทุกข์สุขของประชาชนอย่างแท้จริง)
เห็นไหมครับว่า พฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามักไม่ได้ใส่ใจ สามารถทำให้คนที่พบเห็น คิดหรือรู้สึกไปได้ถึงไหนต่อไหน
เอาล่ะ ถ้าไม่นับผมซึ่งมีอาการทางจิตประสาทอ่อนๆ คิดอะไรเพ้อเจ้ออย่างที่ได้อ่านกันไปด้านบน สำหรับคนปกติทั่วไป พฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ จะทะลุผ่านจักษุประสาทเข้าไปยังจิตใต้สำนึกภายใน แล้วก็สร้างเป็นภาพหรือความรู้สึกต่อคนคนนั้นขึ้นมาโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว
เคยมีความรู้สึกชอบหรือเกลียดขี้หน้าใครแบบหาเหตุผลไม่ได้ใช่ไหมครับ
ผมว่าส่วนหนึ่งเกิดจากการประมวลผลภายในจิตใต้สำนึกโดยไม่รู้ตัวจากการมองเห็นพฤติกรรมหรืออากัปกิริยาเล็กๆ น้อยๆ ของคนที่เราพบเจอนี่แหละครับ
วันหนึ่ง ผมกับเพื่อนอาจารย์อีกสามคนเดินมารอลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังภาควิชา ขณะที่มาถึงหน้าลิฟต์ ก็เห็นว่ามีนักศึกษากลุ่มหนึ่งจำนวนประมาณสิบกว่าคนยืนรออยู่ก่อนแล้ว
เมื่อลิฟต์มาถึง นักศึกษากลุ่มนั้นก็เดินเข้าลิฟต์ไปก่อนจนลิฟต์เกือบเต็ม ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะคิดไว้ก่อนแล้วว่าพวกเขาคงจะไม่ให้อาจารย์เข้าไปก่อนเป็นแน่ นักเรียนสมัยนี้ก็เป็นกันอย่างนี้ คิดว่าทุกคนเป็นคนหนึ่งคนเหมือนกัน มีสิทธิเสมอภาคกัน ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือนักเรียน
พวกผมสี่คนเห็นว่ายังพอมีที่ว่างให้เข้าไปได้ ก็เลยเดินเข้าไป พอเข้าไปครบสี่คน ปรากฏว่าลิฟต์มันร้องว่าน้ำหนักเกิน พวกผมสี่คนก็มองหน้ากัน สุดท้ายเพื่อนอาจารย์สองคนที่ก้าวเข้ามาทีหลังก็ต้องเดินกลับออกไป
ผมไม่รู้ว่านักศึกษากลุ่มนั้นคิดอะไรกันอยู่
คิดว่า อาจารย์หรือนักเรียนก็เป็นคนเท่ากัน (ก็ไม่ผิด...)
คิดว่า พวกเขามารออยู่ก่อนก็ควรจะมีสิทธิเข้าลิฟต์ก่อน (ก็ไม่ผิดอีก...)
คิดว่า ถึงพวกคุณเป็นอาจารย์ แต่คุณมาทีหลัง ลิฟต์มันเต็มแล้ว คุณก็ต้องรอเที่ยวต่อไป (ก็ไม่ผิดอีก...)
คิดว่า พวกคุณไม่ใช่อาจารย์ภาควิชาผม ผมไม่รู้จักพวกคุณ (ก็ไม่ผิดอีกเช่นกัน...)
หรือว่า ไม่ได้คิดอะไรเลย!
อาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่น่าจะเก็บมาคิดให้เป็นอารมณ์
แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ ผมรู้สึกเป็นห่วงสังคมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจริงๆ เป็นห่วงว่าสังคมไทยที่สวยงามที่เคยทันเห็น ทันอยู่ เมื่อสักยี่สิบสามสิบปีที่แล้ว จะหายไปอย่างไม่มีวันหวนคืน...
ท่านทั้งหลายล่ะครับ คิดเห็นเป็นอย่างไรกันบ้าง
เล็กๆ น้อยๆ เราก็ยอมกันไป?
Create Date : 16 สิงหาคม 2550 |
|
39 comments |
Last Update : 20 สิงหาคม 2550 13:04:26 น. |
Counter : 1174 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ju IP: 124.157.128.118 20 สิงหาคม 2550 23:26:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: ฟ้าดิน 21 สิงหาคม 2550 4:36:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: Malee30 21 สิงหาคม 2550 13:48:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: เด็กผู้ชายที่ไม่เตะบอลตอนกลางวัน (kanapo ) 21 สิงหาคม 2550 17:33:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: JewNid 21 สิงหาคม 2550 19:04:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: ELiiCA 21 สิงหาคม 2550 19:47:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณย่า 22 สิงหาคม 2550 6:05:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: ซออู้ 25 สิงหาคม 2550 19:03:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: ELiiCA 25 สิงหาคม 2550 22:45:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: rebel 27 สิงหาคม 2550 6:31:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: rebel 27 สิงหาคม 2550 6:32:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: กุมภีน 28 สิงหาคม 2550 12:53:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: เด็กผู้ชายที่ไม่เตะบอลตอนกลางวัน (kanapo ) 28 สิงหาคม 2550 13:21:38 น. |
|
|
|
| |
โดย: marlboro_me4 IP: 203.150.119.241 28 สิงหาคม 2550 18:18:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: yyswim 28 สิงหาคม 2550 20:48:30 น. |
|
|
|
| |
|
|
ศิลปิน: เฉลียง เพลง: หวาน ชุด: ปรากฏการณ์ฝน ปี: 2525
|
|
|
|
|
|
|
|
พอดีป่วยไปสามสี่วันเพราะอาหารเป็นพิษน่ะครับ เลยไม่ค่อยได้เข้ามา ตอนนี้หายดีแล้วแต่แอบขี้เกียจ เลยนอนพักต่อ
ตอนนี้ก็เก็บของเตรียมย้ายบ้านครับ เดือนหน้าถ้าไม่มีอะไรขัดข้องก็คงได้เริ่มย้ายซะที
อืมมม อ่านแล้วเข้าใจเลยครับ อ่านแล้วก็หงุดหงิดแทน เจอบ่อยเหมือนกัน ผมเองเป็นคนชอบสังเกตพฤติกรรมของคน เพราะผมเชื่อว่าการกระทำเล็กๆน้อยแบบนี้แหละมันสะท้อนให้เห็นภาพรวมของคนๆนนั้นได้ ว่าใส่ใจต่อรายละเอียด หรือ"คิดเยอะ"ก่อนที่จะทำอะไร หรือพูดออะไรหรือไม่
ผมมักจะถูกคนประเภทที่ไม่คิดอะไรว่าเสมอๆว่าทำไมคิดอะไรเยอะนักหนา เรื่องเล็กน้อย แค่นี้ไม่ตายหรอก..ก็จริงครับ เรื่องแค่นี้ไม่ตายหรอก แต่เรื่องแค่นี้นี่แหละที่ทำให้คนฆ่ากันตายมาเยอะเเล้ว
ผมจะเป็นโรคไม่ยอมเลยครับเรื่องเล็กๆน้อยๆ อ่างแค่ทิ้งตั๋วรถเมล์ ผมบอกตรงๆว่าผมไม่เคยทิ้งเลย ผมจะเก็ใส่กระเป๋า แล้วค่อยทิ้งลงถังขยะเสมอ ใครจะว่าผมเว่อร์ก็ว่าไปเลย ไม่สนใจ แค่เศษขยะเล็กจิ๋วแค่นี้ ลองคิดดูว่าถ้ามารวมกันเยอะๆล้านๆชิ้น มันก็สกปรกรกบ้านนรกเมืองได้
ถ้าคนเรารู้จักแค่คิดถึงส่วนรวมแค่สักเศษเสี้ยวนึง ผมว่าสังคมมันก็น่าอยู่ขึ้น เพราะทุกคนรู้จักและรู้ว่าตัวเองยืนตรงไหนและรู้หน้าที่ของตัวเองในสังคมดี...ก็จะไม่มีการทับซ้อนหรือเอาเปรียบกันหรอกครับ แต่นี่ เฮ้อ นะ จริงๆ ผมเห็นด้วยมากๆกับคุณคนทับเเก้วเลยครับ อ่านแล้วก็โดนใจมาก สมัยที่สอนนักศึกษา ผมก็แทบจะกลายเป็นตาแก่ขี้บ่นที่ต้องมาคอยสอนเด็กแทบทุกเรื่องจนแทบจะเป็นเรื่องยกเก้าอี้ จนไปถึงเรื่องการพูดจา แม้กระทั่งเรื่องการทิ้งขยะเลยครับ
น่าเป็นห่วงจริงๆ...