"The single best way to grow a better brain is through challenging problem solving." - Eric Jensen (1998), Teaching with the Brain in Mind
Group Blog
 
<<
กันยายน 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
14 กันยายน 2550
 
All Blogs
 
ยอมรับผิด ยากนักหรือ

14 ก.ย. 2550



เห็นข่าวทุกวันนี้ นับวันคนในสังคมจะดุขึ้นทุกวัน

เมียไม่พอใจผัวที่ไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย ก็เฉือนเจ้าโลกทิ้งเสีย

ตำรวจเห็นเด็กวัยรุ่นมาดูดนตรี พอดีในงานวันนั้นมีวัยรุ่นตีกัน ก็เลยนึกว่าวัยรุ่นที่มาดูดนตรีทุกคนอาจจะก่อเรื่องได้หมด ก็เลยอาจจะปรามเด็กแบบเลยเถิดไปหน่อยด้วยการตบหน้าเล่นบ้าง ดึงสร้อยคอมาดูพระบ้าง ดึงคอเสื้อบ้าง บังเอิญโชคร้ายไปหยอกเอาลูกชายคนใหญ่คนโตเข้า พ่อก็เลยพาลูกน้องมาขย่มถึงโรงพัก เตะกันจนถึงสลบ กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต

วัยรุ่นผู้หญิงสองคนมองหน้ากัน เกิดไม่ถูกชะตาและปะทะคารมกัน ฝ่ายหนึ่งถือถ้วยบะหมี่ใส่น้ำร้อนอยู่พอดีก็เลยสาดเข้าให้ ทะเลาะกันจนเป็นเรื่องราวใหญ่โตอีก

ไม่รู้ว่าอาหารที่วางขายกันทุกวันนี้เขาใส่น้ำตาลมากเกินไปหรือเปล่าถึงได้ดุกันจริง

ระวังพอแก่ตัวลงแล้วเบาหวานจะถามหากันทั้งประเทศ

การให้อภัยซึ่งกันและกันดูเหมือนจะหาไม่ได้เสียแล้วในสังคมไทย

ผมมานั่งคิดๆ ดู การให้อภัยที่ว่าทำยากจนไม่มีใครทำกันแล้ว ขั้นตอนก่อนหน้านั้นก็น่าจะยากไม่แพ้กัน หรือบางทีอาจจะยากยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำ

ขั้นตอนก่อนหน้าที่ว่านั้น คือ การยอมรับผิด



ทุกวันนี้ เราสั่งสอนต่อๆ กันมาว่า เวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้น ประการแรกที่ต้องจำใส่กบาลไว้ให้มั่นคือ อย่ายอมรับว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด

คงกลัวว่าหากยอมรับไปแล้ว จะโดนเอาเรื่องหนักขึ้น แทนที่จะได้รับการให้อภัย

หรือบางคนอาจกลัวว่าจะเสียศักดิ์ศรี

เวลาขับรถไปชนใครเข้า ถึงรู้ทั้งรู้ว่าเราเป็นฝ่ายผิด แต่เวลาลงไปคุยกับคู่กรณี อย่าเพิ่งไปยอมรับตั้งแต่แรกว่าเราผิด ให้รอจนกว่าประกันจะมาจัดการ

ผัวไปมีเมียน้อย ร้อยทั้งร้อยไม่มีใครยอมรับหรอกครับ ก็ขนาดจับได้คาหนังคาเขา เขายังสอนกันมาว่าให้ยอมรับแค่ครึ่งเดียวเลย

ตำรวจก็คงไม่ยอมรับหรอกว่าไปหยอกลูกชายผู้มีอิทธิพลแรงเกินไปหน่อย เล่นเอาคอเด็กเป็นรอยแดงเสียขนาดนั้น เด็กเองก็คงไม่ยอมรับหรอกว่าไปออกอาการกวนประสาทกับตำรวจเขาก่อนหรือเปล่า

วัยรุ่นผู้หญิงสองคนนั้นก็คงไม่มีใครออกมาบอกว่า ตัวเองเป็นคนหาเรื่องก่อนแน่ๆ



เมื่อต้นปี ผมขับรถชนท้ายรถตู้ที่หน้าประตู ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ฝั่งเชียงราก

ผมขับรถตามท้ายรถตู้คันนี้มาจากในธรรมศาสตร์ ก็ค่อยๆ ขับตามกันมา จนกระทั่งถึงประตูทางออก รถตู้ก็หยุดตรงปากทางเพื่อรอเลี้ยวซ้ายออกสู่ถนนใหญ่ ผมก็หยุดรถต่อท้ายเขาแล้วก็หันไปดูทางขวาว่าถนนว่างหรือไม่ ซึ่งก็พบว่าถนนก็ว่าง แต่ก็มองเห็นรถแท็กซี่คันหนึ่งวิ่งมาแต่ไกล ดูท่าว่าจะวิ่งมาด้วยความเร็วสูงพอสมควร

ผมหันกลับมาดูรถตู้ข้างหน้า ก็เห็นเขาเริ่มออกตัวไปแล้ว ผมก็เลยหันกลับไปมองทางขวาเพื่อดูรถอีกครั้ง เพราะถัดไปก็เป็นตาของผมแล้ว

สักครู่ รถแท็กซี่คันที่ว่าเห็นแต่ไกลก็วิ่งผ่านหน้าผมไป เขาขับมาเร็วจริงๆ ด้วย พอเขาขับพ้นไป ถนนทางขวาก็ว่าง ผมก็ออกรถพร้อมกับหันหน้ามามองทางด้านหน้ารถ

ภาพที่เห็นก็คือ รถตู้คันนั้นยังไม่ได้ไปไหนเลยครับ!! ยังอยู่ด้านหน้าผม แต่ขยับตำแหน่งเยื้องไปทางซ้ายจากตำแหน่งเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ผมก็กดเบรคเต็มที่สิครับ แต่ก็ยังไม่ทันการอยู่ดี แก้มซ้ายของรถผมก็สีเข้ากับกันชนหลังขวาของรถตู้พอดี

โชคยังดีที่เป็นจังหวะออกตัวที่ผมเพิ่งปล่อยให้รถไหลออกไป ไม่ได้เหยียบคันเร่งเต็มที่ ความเสียหายจึงไม่มาก

คนขับรถตู้ก็ลงมาดูพร้อมๆ กับผม เขาถามผมแบบที่ไม่ได้ใส่อารมณ์มากมายว่า

"รถจอดอยู่เนี่ย ไม่ได้มองเลยหรือไง"

"ก็ผมนึกว่าคุณออกไปแล้ว" ผมตอบ

"รถแท็กซี่มาเร็วขนาดนั้น จะออกไปได้ยังไง" เขาอธิบายกลับมา

ใจหนึ่งผมก็อยากจะสวนออกไปว่า คุณน่ะออกรถไปได้เป็นชาติแล้ว ทำไมไม่ออกไป จังหวะของรถตู้นั้น ถ้าออกไปก็ทันถมเถ ต่อให้ขับช้าแค่ไหนก็ไม่ไปขวางทางรถแท็กซี่คันนั้นหรอก เพราะจังหวะนั้นรถแท็กซี่ยังอยู่ไกลมาก

ที่ผมอยากจะสวนออกไปอย่างนั้นก็เพราะว่า ตอนที่ขับตามเขามาจากในธรรมศาสตร์ ผมสังเกตว่าจังหวะการขับรถของเขานั้นมันช้าผิดปกติจริงๆ คิดว่าท่านคงจะเคยเจอคนที่ขับรถช้ากว่าปกติ เบรคในจังหวะที่ไม่น่าเบรคกันมาบ้าง ลักษณะการขับของรถตู้คันนั้นก็เป็นอย่างนั้นแหละครับ

แต่สุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรออกไป เพราะอีกใจหนึ่งก็รู้ว่าตัวเองผิดเต็มๆ เพราะเป็นฝ่ายชนท้ายเขา คันที่ตามหลังมีหน้าที่ต้องคอยระวังด้านหน้าของตัวเองตลอดเวลาอยู่แล้ว ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น

ระหว่างที่กำลังเจรจากันอยู่ว่าจะเรียกประกันมา จะต้องพ่นสีสเปรย์ตำแหน่งล้อเอาไว้หรือไม่ ควรจะรอตำรวจมาหรือไม่ ฯลฯ รถข้างในธรรมศาสตร์ก็เริ่มติดเป็นแถวยาวขึ้นเรื่อยๆ ยามหน้าประตูก็มาเร่ง บรรดาคนขับแท็กซี่ที่จอดพักรถอยู่แถวนั้นก็เริ่มมามุงดูพร้อมทั้งเสนอความคิดเห็นต่างๆ นานา (ที่ส่วนใหญ่ไม่มีประโยชน์อะไร กลับจะยิ่งทำให้คู่กรณีทะเลาะกันเสียมากกว่า)

ผมก็เลยบอกคนขับรถตู้ไปว่า ผมเป็นฝ่ายผิดเอง (ทั้งที่ในใจก็ยังเชื่อว่าความผิดส่วนหนึ่งเป็นของเขาที่ขับรถเงอะๆ งะๆ) ให้เลื่อนรถไปคุยกันต่อตรงใต้สะพานลอยคนข้ามข้างหน้าดีกว่า เพราะมันมีที่ว่าง จอดรอประกันได้สะดวก ขืนจอดอยู่ตรงนี้ก็เกะกะขวางทางเขา ดีไม่ดีเกิดเจอตำรวจที่มาพร้อมกับเตารีด อาจโดนไถอีกคนละห้าร้อยข้อหากีดขวางการจราจร

เขาทำท่าไม่ค่อยไว้ใจ คงกลัวผมจะหนี ผมก็เลยยื่นกระเป๋าสตางค์เพื่อให้เขายึดไว้เป็นตัวประกัน เขาจึงยอมเลื่อนรถไปและก็ไม่ได้ยึดกระเป๋าสตางค์ผมเอาไว้แต่อย่างใด

ระหว่างรอประกัน เขาได้โทรแจ้งเจ้าของรถตู้ให้มาดูด้วย ปรากฏว่ารถตู้คันนั้นไม่ใช่ของคนที่ขับ แต่เป็นของบริษัทที่รับจ้าง ม.ธรรมศาสตร์ วิ่งรับส่งอาจารย์และพนักงานระหว่างศูนย์รังสิตและท่าพระจันทร์

เจ้าของรถตู้มาถึงก่อนประกัน เห็นสภาพรถแต่งซิ่งของเขาแล้ว ผมก็เริ่มหวั่นใจ กลัวว่าเขาจะต้องเอาเรื่องผมหนักแน่ๆ ดูท่าทางแล้วน่าจะนักเลงพอสมควร

ปรากฏว่าผมคิดผิด ประโยคแรกที่เขาคุยกับคนขับรถของเขาก็คือ

"เป็นยังไง คันนี้เนี่ย ขยันโดนจูบอยู่เรื่อยเลยเนี่ย"

ได้ยินอย่างนี้แล้วผมก็ใจชื้นขึ้นสิครับ ก็เลยกล้าคุยกับเขาตรงๆ ว่า ผมขับรถตามรถตู้มาแล้วก็ชนท้ายเขาจังหวะที่รอจะออกมาจากธรรมศาสตร์ แต่ก็ได้ยั้งใจไว้ ไม่ได้บอกต่อไปว่าคนของเขาก็ขับรถเงอะงะเองด้วย เดี๋ยวเรื่องมันจะเลวร้ายลงไป

เจ้าของรถตู้เขายังพาผมไปดูแผลเก่าตรงข้างประตูห้องโดยสารเลยว่า มีอีกแผลหนึ่งที่เพิ่งโดนมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

หลังจากยี่สิบนาทีของการสนทนาสัพเพเหระที่เป็นไปอย่างอารมณ์ดีระหว่างผมกับเจ้าของรถตู้ ประกันของทั้งฝ่ายก็มาถึง เขาก็ทำหน้าที่ของเขาไปจนกระทั่งเสร็จเรียบร้อย ต่างฝ่ายก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน



ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเสียยืดยาว ไม่ใช่เพื่อจะอวดว่าผมเป็นคนดี กล้าที่จะยอมรับผิด

เพราะผมยังเชื่อว่าผมผิดแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งเป็นของคนขับรถตู้ที่ขับรถเงอะงะงุ่มง่ามทำให้ผมเสียจังหวะ (ดูมัน... ยังไม่ยอมเลิกอีก...)

แต่ผมเล่าให้ฟังก็เพื่อที่จะยกตัวอย่างว่า การที่เรายอมรับผิดก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายหรือเสียศักดิ์ศรีอะไร แถมยังอาจจะช่วยผ่อนสถานการณ์จากหนักให้เป็นเบาได้อีกด้วย

ถ้าผมเถียงคนขับรถตู้ไปว่า เขาเป็นฝ่ายผิดที่ขับรถเงอะงะ เรื่องมันก็คงจะไม่จบง่ายๆ เจ้าของรถตู้ที่ตามมาทีหลังก็อาจจะไม่คุยดีกับผม เผลอๆ ผมอาจจะโดนแพ่นกบาลไปแล้วก็ได้

ผมได้ถามพนักงานประกันฝั่งผมด้วยว่า เวลาที่รถชนกันแบบนี้ ผมควรจะยื้อกับคู่กรณี ไม่ยอมรับผิดอย่างที่เขาแนะนำกันมาหรือไม่

"ใครบอกพี่ล่ะ"

เขาตอบผมมาอย่างนั้น

เขาอธิบายว่า ใครถูกใครผิด ดูจากสภาพเหตุการณ์ก็รู้อยู่แล้ว อย่างกรณีผมที่ไปชนท้ายเขา ถึงเขาจะขับรถช้างุ่มง่ามอย่างไร ผมก็ผิดวันยังค่ำ คันหลังมีหน้าที่ต้องรักษาระยะห่างจากคันหน้าให้มากพอที่จะหยุดรถได้ทันอยู่แล้ว



อย่าเพิ่งหมดหวังในการที่จะได้รับสิ่งดีกลับมาจากการทำดีครับ

ถ้าท่านทำผิด ก็ยอมรับผิดไปเถอะครับ จากที่คู่กรณีจะแรงมา ก็อาจจะเบาลง

แต่หากท่านโชคร้าย ไปเจอคู่กรณีที่ไม่ยอมลดราวาศอกแม้ท่านจะยอมรับผิดแล้ว ก็ให้นับหนึ่งถึงสิบครับ สะกดอารมณ์เอาไว้

แต่หากท่านนับหนึ่งถึงสิบเป็นรอบที่สิบแล้ว เขายังไม่มีทีท่าที่จะผ่อนลง ยังคงจะหาเรื่องท่านอยู่อย่างนั้น

ท่านจะนับหนึ่งถึงสิบเป็นรอบที่สิบเอ็ดต่อไป หรือท่านจะสวนกลับไปแรงๆ บ้าง

ผมก็จะอยู่ข้างท่านครับ





Create Date : 14 กันยายน 2550
Last Update : 14 กันยายน 2550 13:40:05 น. 27 comments
Counter : 1111 Pageviews.

 
เห็นด้วยครับ
ว่า ทุกวันนี้คนเราก็ หัวหมอ กันซะส่วนใหญ่
บางทีตนผิดอยู่เต็มๆ
ก็ไม่ยอมรับผิด
ไม่ว่าจะด้วยกลัวเสียศักดิ์ศรี หรือกลัวว่าจะโดนเล่นงานหนักขึ้นก็ไม่รู้นะ
แต่ที่แน่ๆ
ผมว่า การประณีประนอมในสังคม ดูมันลดน้อยลงไปจริงๆแหละ
โดยเฉพาะในสังคมเมือง
ก็ว่ากันไปแหละเนาะ

แต่ พูดก็พูดเถอะครับ
เรื่องบางเรื่องถ้าเราไม่ผิดจริงๆแล้วโดนหาเรื่องเนี่ย
หัวเด็ดตรีนขาดยังไงก็อย่าไปยอมนะครับ

ที่พูดแบบนี้ ก็เพราะผมกำลังอยู่ในระหว่างเป็นเรื่องเป็นราวกับกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งอยู่
ก็ไม่คิดว่าใครผิดใครถูกหรอกครับ
มันมองคนละมุม คนละสถานภาพ คนละประเด็น
ผมก็ defend ไปด้วยหลักการ เหตุผล และหลักฐาน อย่างตรงไปตรงมา
ก็หวังแต่ว่า ฝ่ายนั้นเค้าจะยอมรับในหลักการ เหตุผล และหลักฐานของผม

เหมือนอย่างที่ผมเองก็บอกเค้าไปว่า
ที่ผมโต้แย้งเนี่ย ไม่ใช่เพราะผมไม่ยอมรับในส่วนที่ตัวเองผิดหรือบกพร่องนะ
แต่ก็ขอให้ deal กันให้อยู่ในภาวะที่พอเหมาะพอควร
ไม่ใช่ทำอะไรเกินกว่าเหตุ

เรื่องศักดิ์ศรี ชื่อเสียง ทั้งของตัวเองและผู้ร่วมนามสกุลเดียวกันนี่
ผมคิดว่าผมต้องปกป้องและรักษาสิทธิตรงนี้ อย่างเต็มที่ครับ



โดย: กุมภีน วันที่: 14 กันยายน 2550 เวลา:14:21:03 น.  

 
การมองโลกในแง่ร้ายก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของอารมณ์รุนแรง และ การไม่ยอมรับผิด
ผมสังเกตุจากรายการที่เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นผ่าน SMS แล้วนำความคิดเห็นเหล่านั้นมาแสดงเป็นตัวอักษรวิ่งที่ด้านล่างของจอโทรทัศน์
ความคิดเห็นต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่อง โน่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ได้... สงสัยเรามองแต่มุมร้ายๆ จนเคยตัวแล้วกระมัง


โดย: กายแก้ว วันที่: 14 กันยายน 2550 เวลา:17:24:41 น.  

 
คิดและรู้สึกเช่นเดียวกับคุณจริงๆ
เรื่องยอมรับผิด มักจะปฏิบัติได้ง่ายๆเลย
ชอบขอโทษทันที ถ้ารู้สึกว่าเราผิด พร้อมทั้งน้ำตาซึมๆ
รับรองร้อยทั้งร้อย ยอมเราหมดเนอะ..แหะๆ

ปล.ตัวอะไรน้า กินน้ำตาลแล้วดุ..หว่า


โดย: ยิปซีสีน้ำเงิน วันที่: 14 กันยายน 2550 เวลา:17:54:29 น.  

 
แต่หากสวนกลับ จะกลับมาเสียใจทุกทีครับ

นึกถึงคำ ดร.วรภัทร์ ว่า "ไอ้อ่อน" ทุกทีที่สวนกลับ

แต่จริงๆ แล้ว ยังนับไม่ถึงห้ารอบเลยครับ สวนกลับเสียแล้ว

หลังๆ ใช้หูทวนลม มองไปด้านอื่น คิดเรื่องอื่น อารมณ์เย็นแล้วก็กลับมาคุย คิดเสียว่ามันเสียหายไปแล้ว โกรธกลับไปก็ไม่ม่อะไรดีขึ้น สงบๆ หาทางแก้ไขดีกว่า

ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง คละกันไป

มีคำฝรั่งคำหนึ่งผมชอบ "จงเชื่อในสิ่งที่ฉันพูด แต่อย่าเชื่อในสิ่งที่ฉันทำ"

ทำดีไม่ต้องเดี๋ยวครับ ผมเลยชอบรัฐบาลชุดนี้ กับโครงการ ทำดีให้เด็กดูครับ

ทำดีไว้ อย่างน้อยเราก็รู้ เทวดาประจำตัวก็รู้ครับ


โดย: คนขับช้า วันที่: 15 กันยายน 2550 เวลา:8:23:00 น.  

 
สงสัยเหมือนกันค่ะว่า ทำไมคนเราไม่ค่อยยอมรับผิด

ทั้งที่จริงแล้ว ถ้ายอมรับผิด+รู้จักขอโทษ
ชีวิตคงเรียบง่ายและเป็นสุขกว่านี้
สังคมน่าจะดีกว่านี้
โลกเรามันอาจจะน่าอยู่กว่านี้


โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 15 กันยายน 2550 เวลา:8:25:07 น.  

 




สวัสดีตอนเช้าๆของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า


หากอยู่ห่างห่างจะห่วงใย
จะเข้าใจเธอเมื่อยามสับสน
หากเธอทุกข์ก็พร้อมจะทุกข์ทน
จากใครบางคนซึ่งเป็นเพื่อนเธอ



** ขอให้มีความสุขในช่วงวันหยุดพักผ่อนนะจ้า **


อยู่เนเธอร์แลนด์ แต่ดู ทีวีช่อง 3 อะจ้าเลยทันตามเมืองไทยอะ..


โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 15 กันยายน 2550 เวลา:12:28:59 น.  

 
สวัสดีค่ะ

เราว่าคนสมัยนี้ที่เป็นกันอย่างนี้เพราะความอดทนต่ำลง ศีลธรรมแย่ลง ความหวาดกลัวต่อบาปน้อยลง แคร์คนอื่นน้อยลงน่ะค่ะ

มันก็เลยเป็นอย่างที่เห็นน่ะ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 15 กันยายน 2550 เวลา:20:27:22 น.  

 
จริงครับ ขับรถต้องใจเย็น ถ้าคนอื่นขับรถไม่ดีก็ด่ามันดังในรถนั้นแหละ ไม่ต้องยื่นหน้าออกไปด่าหรอกเดี๋ยวจะมีเรื่อง ยิ่งมีอุบัติเหตุต้องพูดคุยกันให้ดี เคยอ่านหนังสือพิมพ์เห็นมาเยอะแล้วครับ อีกฝ่ายใช้ปืนยิงตายเลย ไม่คุ้ม คุณทำถูกแล้วครับ ตามกฏหมายฝ่ายที่ขับตามหลังชนท้ายผิดทุกกรณีก็จริง แต่ตามหลักตรรกะ คนขับรถข้างหน้าในหลายๆ ครั้งก็ผิดด้วย เช่นขับรถห่วย จู่ๆ ก็เบรค


โดย: Johann sebastian Bach วันที่: 16 กันยายน 2550 เวลา:10:38:20 น.  

 
คนสมัยนี้ดุนะคะ ดุแต่ข้างในกลวง ...


ปล. นัดที่แล้วไม่น่าเสมอเลยนะคะ เสียดายจัง


โดย: rebel วันที่: 16 กันยายน 2550 เวลา:19:04:59 น.  

 
อะไร ๆ มันก็รวดเร็วปรู๊ดปร๊าด จนคนก็ ใจเร็วด่วนฆ่า ตาม ๆ กันไป


โดย: เจ้าชายไร้เงา วันที่: 17 กันยายน 2550 เวลา:10:51:26 น.  

 




สวัสดีตอนเช้าๆของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า


ฝากความคิดถึงผ่านลมหนาว
ฝากดวงดาวส่งความห่วงหา
ฝากฟ้าช่วยรักษาความห่วงใย
ให้ความผูกพันคงมั่นนิรันดร




** ขอให้มีความสุขกับวันแรกของการทำงานนะจ้า **



คนสมัยนี้ใจร้อน ขาดสติกันเยอะมากๆๆเลยอะ..


โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 17 กันยายน 2550 เวลา:13:35:28 น.  

 
อาจารย์ขา สวัสดีค่ะ

ปอกลับจากอังกฤษเมื่อวานนี้ค่ะ สะบักสะบอมมาก เดินทางตะลอน ตะลอน ไม่ได้นอนเลยค่ะ หน้าผีมากๆ แวะมาเยี่ยมเยียน และอ่านเรื่องบล็อกเช่นเคยค่ะ


เรื่องยอมรับผิดนี่ ปอยอมรับอยู่เรื่อยแหละค่ะ เพราะเป็นคน เป๊อะๆ ป๊ะๆ บางทีก็เงอะงะ ซุ่มซ่าม คำติดปากจะเป็นคำว่า ขอโทษเป็นประจำ บางทีเรื่องมันก็ไม่ถึงขั้นว่าใครผิดใครถูก เราจะเอาตัวรอดไปแบบเนียนๆ ก็ไม่น่าเกลียด แต่ปอก็จะรู้สึกผิดอยู่ดี แหละค่ะ ถ้ามันเป็นเรื่องที่เรามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แล้วลงเอยไม่สวยเท่าไหร่


อย่างหนึ่งที่ได้ยิน ได้เห็นมา คือ เรื่อง ตำแหน่งที่นั่งหลังพวงมาลัย ทำให้คนนิสัยเปลียน บางคนปกติใจดี แต่พอขับรถแล้วกลายเป็นคนใจร้อน หงุดหงิด อย่างนี้ก็มีเป็นต้น (ปอว่าเป็นส่วนมากนะ) พออะไรเกิดขึ้นก็ไม่ค่อยจะยอมคุยกันดีๆ อย่างที่อาจารย์ว่า เลยลงเอยที่การทะเลาะกัน

ส่วนโมโหเรื่องอื่นๆ นี่ปอว่า คนเราต้องหัดควบคุมอารมณ์น่ะค่ะ จะชอบ ไม่ชอบ พอใจ ไม่พอใจ ก็ต้องควบคุมอารมณ์หน่อย อย่าเพิ่งไปโต้ตอบทันที เพราะตอนนั้นมันไม่มีสติ และความคิดรอบคอบ อารมณ์มันเหนือเหตุผล ก็นึกอยากจะทำให้มันสะใจเข้าว่า ลงท้ายก็ทำร้ายคนอื่น และตัวเองด้วย

เมื่อก่อนปอเป็นพวก ชอบดับเครื่องชน (ระเบิดตัวตายมาหลายรอบ) แต่พอมาอยู่ต่างประเทศ กลับกลายเป็น.........คนถอยตั้งหลักแทน โกรธน่ะ โกรธ โกรธมากด้วย แต่จะหลบไปไกลๆ ให้หายโมโหก่อน ไม่พูดด้วย เพราะขืนพูดออกไป พังกับพังเท่านั้น.......เก็บไปกระอักโลหิตในอกสักพัก ทำใจได้ก็ค่อยปล่อยมันไป ถ้าทำใจไม่ได้จริงๆ ถึงจะบอกอีกครั้ง ดีๆ ตอนใจเย็นแล้ว เลยกลายเป็นพวก reponse ช้าไปเลย(แต่ว่าก็ยังโกรธไวอยู่ดี)


ไปทำงานแล้วนะคะ ขอให้อาจารย์มีความสุขกับการทำงานค่ะ


โดย: O_Sole_mio วันที่: 17 กันยายน 2550 เวลา:19:34:34 น.  

 
จุว่า มันเป็นเรื่องของวุฒิภาวะ นะคะ สมัยสาวๆ นี่ ถ้าไม่ผิดนี่ อย่าหวังเลยว่า จะยอม สมัยสาวปัจจุบัน 5555 ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ว่าควรยอมได้มากน้อยแค่ไหน และใช้หลักของกฏหมายมากขึ้น โดยใช้ทั้งหลักนิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ร่วมกัน


มีเรื่องฮาๆ ในวงสุราจะเล่าให้ฟัง ก็ไม่ค่อยเกี่ยวกับบล็อกสักเท่าไหร่หรอกคะ


ในวงเหล้าวันหนึ่ง

หนุ่มๆ เขาร่ำสุราตาฉ่ำ มองรถราที่วิ่งอยู่นอกร้าน แล้วก็จุดประเด็นสนทนา เรื่องการขับรถ

" นี่ๆๆๆ ถ้าขับอย่างนี้ ไม่ต้องมองหรอก รู้เลย ผู้หญิงขับ"
"เงอะๆ งะๆ ผู้หญิงชัวร์"
" ทำไมมันไม่ตัดสินใจสักทีวะ ผู้หญิงนี่ไม่ควรขับรถหรอก กีดขวางเขา"

สารพัดที่หนุ่มๆ เขาจะพูดกัน แปลกเน๊อะ ผู้ชายเวลามันนินทานี่ ปากจัดกันทั้งนั้น

" แก ว่าจริงหรือเปล่าวะ เรื่องขับรถกับผู้หญิงนี่ " หลังจากมันบ่นรำคาญเรื่องการขับรถของผู้หญิง แล้วจึงหันมาถามจุ ซึ่งเป็นคอสุราคนเดียวที่อยู่ร่วมวงด้วย จริงๆ จุก็เห็นด้วยกับมันนะ ก็ฮากับมันตลอดที่มันนินทาแหละ พอมันถามมาก็ตอบไปแบบ เรียบๆ ละว่า

" ไม่รู้ว่ะ....แต่ที่ฉันทำข่าวมานี่...ที่ตายๆ ก็เห็นมีแต่ผู้ชายขับรถแทบทั้งนั้นละวะ "


โดย: ju IP: 222.123.239.189 วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:14:39:47 น.  

 
ถ้าทุกคนมีน้ำใจ และมีจริยธรรมอยู่ในใจ ประเทศเราคงสงบสุขมากกว่านี้นะครับ


โดย: DAN_KRAB วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:15:02:16 น.  

 

ขับรถ หากมีประกันชั้นหนึ่ง ...ถ้าผิดจริงผมก็บอกว่าผมผิด


โดย: yyswim วันที่: 19 กันยายน 2550 เวลา:0:53:34 น.  

 
ถ้าผมทำอะไรผิดก็จะยอมรับว่าผิดจริง แต่ถ้าผมไม่ผิดแล้วโดนเล่นไม่ซื่อก่อน เรื่องอะไรจะยอม


โดย: ปืนแก๊ป วันที่: 19 กันยายน 2550 เวลา:10:38:18 น.  

 
เมื่อเช้า ผมสลึมสลือฟังข่าว ไม่รู้ว่าฟังถูกหรือเปล่า

เขาจะให้รถจอดบนถนนเวลาเคารพธงชาติตอนแปดโมงเช้าและหกโมงเย็นหรือครับ ถนนไหนก็ต้องจอด แต่ยกเว้นบนทางด่วน

ใครเป็นคนคิดข้อเสนอนี้เนี่ย คิดได้ยังไง...











ทำไมบนทางด่วนไม่ให้จอดด้วย อย่างนี้ไม่ยุติธรรมนี่หว่า





ล้อเล่นน่ะครับ

จริงๆ แล้ว การที่โทรทัศน์จะต้องหยุดทุกแปดโมงเช้าและหกโมงเย็นเพื่อเคารพธงชาติเนี่ย ผมก็ไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว เพราะมันไม่ได้ช่วยให้ความรักชาติหรือความเป็นชาตินิยมมันเกิดขึ้นตรงไหนเลย จะว่าทำให้ชาติเจริญขึ้นก็ไม่ใช่

(คล้ายๆ นโยบาย "มาลานำไทย" ในอดีตเลย คิดได้ยังไงว่าใส่หมวกแล้วบ้านเมืองจะเจริญขึ้น)

มันไม่ได้อยู่ตรงที่ได้ร้องเพลงชาติตรงเวลาวันละสองครั้งสักหน่อย

ในตลาดกลางเมืองตามต่างจังหวัด บริเวณที่มีระบบกระจายเสียง เวลาเขาเปิดเพลงชาติแล้วรถบนถนนทั้งหมดต้องหยุด ผมยังว่ามันสร้างความหงุดหงิดโดยใช่เหตุเลย นี่ถ้ามาทำในกรุงเทพฯ เมืองขนาดใหญ่โตมโหฬารนี่ล่ะก็... คงจะดูไม่จืด



คนเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเขาคิดกันได้แค่นี้จริงๆ หรือนี่

ต้องภาวนาให้รีบเกษียณและไม่มีบทบาทในบ้านเมืองไวๆ


โดย: คนทับแก้ว วันที่: 19 กันยายน 2550 เวลา:11:13:24 น.  

 
แวะมาเยี่ยมท่านอาจารย์ครับ

ผมอ่านไม่ทันครับ เพราะว่าผมอยู่ร้านเน็ตครับ

ผมอัพบล็อคใหม่แล้วนะครับ

ผมต้องลงทุนมานั่งอยู่ท่ามกลางเด็ก ๆ ที่นั่งเล่นเกมส์อยู่ในร้านเน็ต ครับ

ช่วงนี้เน็ตที่ทำงานของผมเสียครับ

อิอิ


โดย: อาคุงกล่อง (อาคุงกล่อง ) วันที่: 19 กันยายน 2550 เวลา:19:31:29 น.  

 

>>เขาจะให้รถจอดบนถนนเวลาเคารพธงชาติตอนแปดโมงเช้าและหกโมงเย็นหรือครับ ถนนไหนก็ต้องจอด แต่ยกเว้นบนทางด่วน<<

5555 สุดเดช เหตุไฉน หมีแพนด้า เธอบ้าไปแล้ววว


ส่วนรู้สึก ยอมรับผิด เนี่ย บางทีมันต้องแยกดีๆ ระหว่าง การยอมรับผิด กับ ความรู้สึกผิด เนาะ

นึกถึงเพลงของ New Order ที่เราชอบอ่ะ ชื่อเพลง Guilt is the useless emotion


โดย: merveillesxx วันที่: 19 กันยายน 2550 เวลา:23:44:15 น.  

 




สวัสดีตอนเช้าของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า


ฝากบอกดาวกระพริบที่ปลายฟ้า
ฝากผืนนภาอันกว้างใหญ่
ฝากข้อความไปถึงเธอที่อยู่ไกล
ฝากบอกว่า คิดถึง ห่วงใย เธอ



** ขอให้มีความสุขและสุขภาพแข็งแรงนะจ้า **



มารายงานตัวกับคุณครู จ้า ..


โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 20 กันยายน 2550 เวลา:13:31:49 น.  

 
หุหุ ตอนที่ดูยอดตุลาการราชวงศ์ซ่ง มีฉากที่ขุนนางพยายามขอร้องให้ซ่งฉือไม่รื้อคดี (เพราะนั่นหมายความว่า ตัวขุนนางจะโดนเด้งเพราะทำงานพลาด) ก็คิดถึงบล็อกคุณค่ะ ซ่งฉือตอบไปแค่ว่า "ชีวิตคนบริสุทธิ์ก็รักตัวกลัวตายเหมือนขุนนาง" ถ้ารู้ว่าตัวเองทำงานพลาดทำไมไม่ยอมรับผิด และทำไมไม่ตั้งใจทำให้ดีตั้งแต่แรก โหยยย โดน !


โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 20 กันยายน 2550 เวลา:15:19:55 น.  

 
ตอนนี้อยู่ไทยแล้วค้า ฝนตกทุกวันเลยเนอะ อยู่ทางนี้ก็ได้ติดตามข่าวสารเหมือนกันค่ะ เพราะว่าหาดูได้ อ่านได้สะดวกกว่าทางโน้นน่ะ ก็เห็นอะไรที่แปลกๆ เยอะเหมือนกันนะคะเนี่ยสังคมสมัยนี้เนี่ย



โดย: Malee30 วันที่: 20 กันยายน 2550 เวลา:22:54:34 น.  

 
เมื่อก่อนก็เป็นเหมือนกันค่ะ
รู้ว่าตัวเองผิด แต่ไม่ค่อยจะยอมรับผิด กลัวเสียฟอร์ม แหะแหะ...
แต่มักจะเป็นเฉพาะกับคนใกล้ตัวค่ะ
นิสัยเสีย..คงจะถือว่าเขายอมมั้งคะ
แต่ตอนนี้(นิสัย)ดีขึ้นเยอะเลยค่ะ
เพราะสามีสอนดี ฮิฮิ เขาทำให้เห็นเป็นตัวอย่างที่ดีค่ะ เพราะทั้งยอมรับผิดและพูดคำว่าขอโทษได้อย่างจริงใจทุกครั้งที่(คิดว่า)ทำผิดกับเรา
ก็เลยทำให้เราสำนึก...และเริ่มซึมซับจากเขามากขึ้นเรื่อยๆ

กับลูก..ก็จะพยายามสอนให้ยอมรับผิดและยอมรับความจริงตั้งแต่เล็ก
เช่น..วิ่งหกล้มแล้วร้องไห้มา ก็จะบอกว่า..ทีหลังลูกอย่ารีบวิ่ง แต่จะไม่ตีพื้นแล้บอกว่า "เพราะพื้นมันผิด" หรือ"โต๊ะมันผิดที่ทำให้ลูกเจ็บ"(เห็นคนอื่นเขาชอบทำกัน)ก็พื้นกับโต๊ะมันอยู่ของมันดีๆนี่หว่า
หรือไม่ก็ตีคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆแทน เด็กก็จะกลายเป็นโยนความผิดให้คนอื่นตั้งแต่เล็กๆเลย
เพราะเคยเจอลูกเพื่อน(อยู่ป.1 )มาเล่นกับลูกเรา(ขวบแปดเดือน) พอทำของพัง ก็บอกว่า"น้องทำ..."ซะอย่างนั้น เฮ้อ...
แล้วอีตาพ่อก็คุยกับลูก(ให้คนอื่นได้ยิน)ว่า
"ลูกไม่ต้องตัดผมหรอก ถ้าครูดุ ก็บอกว่าเดี๋ยวพ่ไปคุยที่รร.เอง"
"ก็ครู..แมร่ง...อยากไม่แจ้งเองนี่หว่าว่าลูกผมยาวแล้ว"
อ้าว..ผมยาวนี่ต้องแจ้งให้ทราบด้วยเหรอฟะเนี่ย! ดูไม่รู้เหรอไงว่าลูกผมยาวไม่ยาว
ที่แท้ก็ได้รับเชื้อ"ตูไม่ผิด"มาจากพ่อนี่เอง.....

ส่วนเรื่องยืนตรงเคารพธงชาติเนี่ย ได้ฟังข่าวเหมือนกันค่ะ
พอข่าวว่าจะบังคับเป็นกฏหมายเลย
ก็รีบสอนให้ลูกยืนตรง...เพราะเวลาลูกได้ยินเพลงชาติทีไร..มันเต้นทุกที! กลัวลูกโดนจับอ่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า
แล้วก็คงต้องสอนให้หยุดรถเคารพธงชาติไปด้วยเลย
เพราะตอนนี้ลูกกำลังหัดขี่จักรยานสามล้ออยู่ เกิดพลาดพลั้งโดนตำรวจจับล่ะก็ แย่แน่ๆเลย 555


โดย: mrs.postman วันที่: 21 กันยายน 2550 เวลา:11:15:27 น.  

 
แวะมาเยี่ยมครับ

หน้าฝนนี้รักษาสุขภาพนะครับ


โดย: คนขับช้า วันที่: 21 กันยายน 2550 เวลา:15:26:31 น.  

 
เหอะๆคนทับแก้วคะ
แค่ยืนตรงน่า เผื่อประเทศจะเจริญขึ้น
รึว่า...เอาพวกคิดได้(แค่นี้)ไปผ่าสมองใหม่ดี เฮ้อ


โดย: ยิปซีสีน้ำเงิน วันที่: 21 กันยายน 2550 เวลา:20:33:02 น.  

 
เมือแก่ตัวลง ป้ามดก็ว่าตัวเองใจเย็นลงมากแล้ว
ถ้าเจอแบบอาจารย์ ก็ไม่รู้ว่าป้ามดจะเย็นได้เท่านี้หรือเปล่า


โดย: ป้ามด วันที่: 22 กันยายน 2550 เวลา:9:42:40 น.  

 
คิดถึงคำพูดที่ว่า
คนที่เป็นผู้นำตัวจริงนั้น ไม่ได้อยู่ที่ไม่เคยทำความผิดเลย แต่อยู่ที่ทำผิดแล้วกล้าที่จะยอมรับผิดแล้วแก้ไขต่อไปหรือไม่


โดย: ฟ้าดิน วันที่: 26 กันยายน 2550 เวลา:4:07:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนทับแก้ว
Location :
นครปฐม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






ศิลปิน: เฉลียง
เพลง: หวาน
ชุด: ปรากฏการณ์ฝน
ปี: 2525



Friends' blogs
[Add คนทับแก้ว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.