การท่องเที่ยวบาหลี...ความสัมพันธ์ทีมีดุลยภาพระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติทีเมืองไทยไม่มี ?
2557 บาหลีกลายเป็นกลุ่มคนที่อนุรักษนิยมมากที่สุด แต่ผลลัพธ์กับตรงกันข้าม เพราะมันกลายเป็น จุดขาย ทางการตลาดของธุรกิจท่องเที่ยวที่ทำรายได้เข้าเกาะที่สุดปีละประมาณ 6 แสนล้านบาท จากนักท่องเที่ยวเฉลี่ยปีละ 3.1 ล้านคน....ภาพยนตร์ที่แสดงโดยจูเลีย โรเบิร์ต เรื่อง Eat, Pray, Love ทำให้ภาพลักษณ์ของบาหลีที่เคยซบเซาจากกรณีกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในเมืองคูต้า กลับมามีเสน่ห์น่าค้นหาอีกครั้ง และเมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางมาถึงบาหลี พวกเขาก็พบว่านอกเหนือจากธรรมชาติอันสวยงาม และสถาปัตยกรรมที่น่าตื่นใจ โดยเฉพาะระบบเพาะปลูกนาขั้นบันไดที่เป็นรากฐานหลักของวัฒนธรรมบาหลี ปัจจุบัน ระบบบริหารการทำนาขั้นบันไดที่เรียกว่า ซูบะก์ (Subak) ได้ถูกองค์การยูเนสโก้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ เดือนมิถุนายน 2555 เพื่อชาวโลกได้ศึกษาในฐานะอารยธรรมของโลก ซูบะก์ เป็นชื่อของระบบการจัดการน้ำ ชลประทานสำหรับนาข้าวบนเกาะบาหลี ที่เกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่นผสมกับปรัชญา ไตรหิตครณะ (Tri Hita Karana) ซึ่งเป็นปรัชญาชีวิตที่แบ่งปริมณฑลแห่งจักรวาลวิทยาที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ออกเป็น 3 ส่วนคือ นรก โลกมนุษย์ และพระเจ้า เพื่อที่จะทำให้สัมพันธ์ที่มีดุลยภาพระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ มนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ถูกนำมาวางรากฐานให้กับระบบการผลิตทำนาแบบขั้นบันใด เพื่อจัดการปัญหาการจัดหาและแบ่งปันน้ำ กลายเป็นระบบนิเวศเทียมเหนือวิถีชีวิต เริ่มตั้งแต่นาข้าวที่มีวัดเป็นแกนกลาง แล้วกระจายไปจากบนเขา ถึงลำธารในหุบเหว กลายเป็นระบบชลประทานที่ยั่งยืนตามธรรมชาติซึ่งผูกสังคมเกษตรกรรมบาหลีเข้าด้วยกันและซูบะก์คือแกนกลางของความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม ความสำเร็จของระบบชลประทานในฐานะระบบนิเวศเทียมเป็นเพียงหนึ่งในรูปธรรมของ วัฒนธรรมฮินดู (วิษณุ โชลิตกุล) ....ในขณะที่บ้านเรากำลังสร้างอารยธรรมไร้รากแก้วโดยพากันไล่รื้อทุบรีสอร์ทธรรมชาติกันวุ่นวายทั่วทุกภาคของประเทศ จนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศพากันแตกตื่นนำไปสู่ความซบเซาในหลายๆด้าน ถ้าอยากพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนนั้นน่าเหลี่ยวดูบาหลีและมาเลเซียบ้าง ตอนนี้พวกเขากำลังวุ่นวายกับการต้อนรับนักท่องเที่ยว