มนุษย์ได้สร้างความมั่งคั่งมาแล้ว2ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์และในแต่ละครั้งก็ได้สถาปนาระบบการเมืองการปกครองแบบใหม่ขึ้นมาด้วย อาทิเช่นเมื่อเข้าสู่ยุคการขยายตัวเศรษฐกิจเกษตรกรรมก็เกิดการปกครองรัฐ-เมือง อาณาจักรราชวงค์และศักดินา เข้ามาแทนที่การปกครองแบบชนเผ่าเร่ร่อนและชุมชนอิสระ แต่เมื่อเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้เกิดการผลิตแบบมวลชนและการบริโภค การตลาดแบบมวลชน เกิดระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ภาพบน-การประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ครั้งที่ 9 เมื่อวานนี้ (15 ธ.ค.57) ประเด็นที่น่าสนใจประการหนึ่งคือ กรณีที่คุณประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานคณะกรรมาธิการ ปฏิรูปการปกครองและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาปฏิรูปแห่งชาติ ได้นำเสนอข้อเสนอแนะ 30 ประเด็น ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยหนึ่งในนั้นคือการให้องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทุจริต มีอำนาจสอบสวนและสั่งฟ้องคดีได้เอง โดยความหมายคือไม่ต้องผ่านขั้นตอนอัยการ ซึ่งประชาชนรับรู้มาตลอดว่าพฤติกรรมและการกระทำที่ผ่านมาเป็นอย่างไรกับคดีทุจริตขนาดใหญ่
ในหนังสือ power shift เล่าว่าสังคมหนึ่งๆ วิถีในการสร้างความมังคั่ง จะต้องสอดคล้องไปกันได้กับระบบการเมือง ถ้าระบบเศรษฐกิจและระบบการเมืองมีความแตกต่างกันอย่างมากมายแล้ว การเมืองจะถูกทำลายจากระบบเศรษฐกิจหรือไม่เศรษฐกิจก็จักย่อยยับเพราะการเมือง ความขัดแย้งทางสังคมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและเกิดมีคู่ขัดแย้งคู่ใหม่ขึ้นมาคือ การต่อสู้ระหว่างระบบเศรษฐกิจของสังคมระบบเศรษฐกิจใหม่บนฐานความรู้แห่งยุคคลื่นลูกที่สามฝ่ายหนึ่งกับเศรษฐกิจเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมปล่องควันไฟ...............สิ่งที่จะตามมาก็คือการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบสถาบันการเมืองให้สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจใหม่นี้
ผู้ติดตามบล็อก : 50 คน [
