ทฤษฏีตัวทวีจากเงินออม:วอร์เรน บัฟเฟตต์ จะพิจารณาการลงทุนในหุ้นจากภาพรวมของกิจการหรือบริษัทนั้นๆ ตัวอย่างเช่น บริษัทหรือกิจการที่มี Brand ที่แข็งแกร่ง โดยเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมและมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง / ต้นทุนที่ลูกค้าจะเปลี่ยนไปใช้สินค้าอื่นสูง ทำให้ลูกค้าเปลี่ยนใจไปซื้อสินค้าอื่นหรือบริการอื่นของคู่แข่งได้ยาก / มีต้นทุนการผลิตที่ได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ทำให้ความสามารถในการทำกำไรสูงกว่าโดยเปรียบเทียบ / สินค้าที่ขายมีคู่แข่งน้อยรายและยากต่อการเข้ามาแข่งขันของผู้ผลิตรายใหม่ / มีเทคโนโลยีที่ยากต่อการเลียนแบบหรือคู่แข่งเลียนแบบได้ยาก / มีเครือข่ายในการดำเนินธุรกิจทั้งในแง่ของลูกค้า Supplier ซึ่งโดยรวมน่าจะทำให้บริษัทเหล่านี้มีแนวโน้มการเติบโตทั้งทางด้านกิจการและกำไรได้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ...บัฟฟเฟตต์เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินเพียง 100 เหรียญหรือไม่กี่พันบาทไทย แต่ถ้ามีเงินเพียงแค่นี้และไม่มี “รายได้อื่น” เพิ่มเติมเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ ทำอย่างไรผมก็คิดว่าบัฟเฟตต์ไม่มีทางรวยได้ขนาดนี้ บางทีเขาอาจจะมีเงินในวันนี้สัก50-60 ล้านเหรียญ และเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ในช่วงต้น ๆ ของชีวิตการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้น รายได้จากการลงทุนด้วยเงินของตนเองนั้นน่าจะเป็น “รายได้ส่วนน้อย” รายได้สำคัญนั้นน่าจะเป็น “รายได้อื่น” ที่เกิดจากการทำงานด้วยน้ำพักน้ำแรง นั่นก็คือ เป็นรายได้จากการ “รับจ้างลงทุน” ซึ่งก็คือ ส่วนแบ่ง 25 เปอร์เซ็นต์ของกำไรที่เกินกว่า 6% ที่บัฟเฟตต์คิดจากคนที่เอาเงินมาให้เขาบริหาร รายได้ส่วนนี้ บัฟเฟตต์จะนำมาลงทุนทบต้นเข้าไปเรื่อย ๆ และทำให้เงินในส่วนของตนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เพราะเขาทำกำไรให้กับพอร์ตที่เขารับบริหารสูงมาก ผลตอบแทนของพอร์ตโตปีละ 40-50% ทำให้เงินของบัฟเฟตต์เพิ่มขึ้นมาเป็นเงินถึง 25 ล้านเหรียญเมื่อเขาอายุ 38 ปี.........ตลอดช่วง 40 ปีของการลงทุนเพียงอย่างเดียวนั้น ผลตอบแทนต่อปีโดยเฉลี่ยแบบทบต้นของบัฟเฟตต์สูงถึง 21.43%( เงินหนึ่งเหรียญจะกลายเป็น 2,362 เหรียญในระยะเวลา40ปี) ในขณะที่ผลตอบแทนของตลาดอยู่ที่ประมาณ 7.24% ต่อปี เงินหนึ่งเหรียญกลายเป็น 16.4 เหรียญ ผลต่าง 14.19% ต่อปีนั้น เป็นสถิติที่แทบจะหาคนเทียบไม่ได้โดยเฉพาะสำหรับเม็ดเงินมหาศาลอย่างของบัฟเฟตต์...วันนี้คุณมองหามันแล้วหรือยัง ?

อ่านเพิมเติม://www.longstayatthailand.com/upload2/files/longstayatthailand2551.pdf