|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
อยุธยายศยิ่งฟ้า (3): เกาะเมือง
ทุกท่านครับ นี่คือบล็อกท่องเที่ยวที่ยาวที่สุดตั้งแต่ผมเขียนบล็อกมาครับ ก่อนอ่านสูดลมหายใจเข้าลึก-ลึ๊ก แล้วเลื่อนข้ามไปที่กล่องคอมเม้นท์เลยครับ //เฮ้ย อ่านเถอะ!
จากหนก่อนเราเที่ยวอยุธยาในเกาะเมืองโซนพระราชวังและรอบบึงพระรามไปแล้ว คราวนี้จะพาเที่ยวส่วนที่เหลือของเกาะเมืองกันครับ แน่นอนว่าจำนวนโบราณสถานมากมายกว่าบล็อกก่อนๆแบบที่ไม่สามารถเทียบกันได้ ก่อนอื่นมาทบทวนเรื่องเกาะเมืองกันอีกรอบครับ ตัวเมืองของพระนครศรีอยุธยาใช้น้ำเป็นป้อมปราการที่สำคัญ โดยพระเจ้าอู่ทองเลือกทำเลพื้นที่ที่ถูกแม่น้ำเจ้าพระยา ป่าสัก และลพบุรีโอบล้อมสามด้าน จากนั้นขุดคูเมืองฝั่งตะวันออก ผันน้ำจากแม่น้ำป่าสักมาปิดล้อมเมืองทุกด้าน จนเมืองอยุธยามีลักษณะเป็นเกาะที่ล้อมด้วยแม่น้ำทุกด้าน เราจึงเรียกว่า "เกาะเมือง" และเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก จะเกิดน้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมท้องทุ่ง โดยเฉพาะตอนเหนือของเกาะเมือง นี่ก็เป็นปราการธรรมชาติที่ใช้ป้องกันข้าศึกมาหลายต่อหลายครั้ง ขอแค่ต้านข้าศึกไว้จนถึงหน้าน้ำ ข้าศึกก็ต้องหนีน้ำกลับไปกันเอง (บ้านบางระจันถูกตีแตกเดือน 8 คาราบาวเลยร้องว่า บ๊างหระจัน บ่างหระจัน บางระจัน มิอาจยืนอยู่ถึงวันเพ็ญเดือนสิบสอง~♫ นั่นคืออยู่ไม่ถึงช่วงน้ำหลากนั่นเอง)
ปัจจุบันมีสะพานเชื่อมเข้าเกาะเมืองหลายเส้น ที่สำคัญที่สุดคือ สะพานปรีดีธำรง ที่ต่อกับถนนโรจนะเข้าเกาะเมืองครับ สะพานปรีดีธำรง เปิดใช้เมื่อปี พ.ศ.2486 ในสมัยของจอมพล ป. และตั้งชื่อปรีดี-ธำรง เพื่อเป็นเกียรติให้แก่ชาวอยุธยาสองคนที่ขึ้นมามีบทบาทสำคัญในคณะราษฎร์ได้แก่ท่านปรีดี พนมยงค์ และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ยาว 168 เมตร เป็นสะพานคอนกรีตที่ยาวที่สุดในสมัยนั้น และนับทางขึ้นสะพานฝั่งนอกเกาะเป็นหลัก กม. ที่ 1 ของอยุธยาด้วย เป็นการเริ่มต้นยุคที่ผู้คนสัญจรบนบกแทนทางน้ำ ปัจจุบันมีการสร้างสะพานนเรศวรและสะพานเอกาทศรถขนาบสองข้างเพื่อลดโหลดของสะพานปรีดีธำรงที่เก่าแก่ไปมากแล้วครับ (คำเตือน: ไม่ควรถ่ายรูปขณะขับรถนะจ๊ะ)
นอกจากปราการน้ำแล้ว รอบเกาะเมืองยังมีกำแพงอิฐหนาหลายเมตรป้องกันเมืองอย่างแข็งแกร่ง กำแพงอิฐนี้ก่อขึ้นสมัยที่รบกับพม่าตั้งแต่ยุคพระมหาจักพรรดิจนถึงพระมหาธรรมราชา ตอนพม่าล้อมต้องตีเข้ามาประชิดกำแพงเมืองแล้วยิงปืนใหญ่ข้ามกำแพงมาถล่มเมืองเป็นหลัก ในครั้งที่เสียกรุงครั้งที่หนึ่งพม่าบุกเข้าเมืองไม่ได้นะครับ แต่อยุธยายอมแพ้เพราะทนห่าฝนปืนใหญ่ไม่ไหว แต่ตอนกรุงแตกครั้งที่สองเป็นครั้งที่พม่าบุกเข้าเกาะเมืองได้ ครั้งนั้นพม่าต้องเข้ามาขุดฐานกำแพงแล้วเผาจนมันถล่มลงมา (จุดที่โดนถล่มกำแพงคือตลาดหัวรอมุมขวาบนของเกาะเมือง) ต้องขอบคุณคุณกำแพงที่ทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยมมาตลอดนะครับ แต่กำแพงเมืองส่วนใหญ่ถูกรื้อออกไปช่วงสร้างกรุงเทพและถูกไถทำถนน ที่เห็นเหลืออยู่นี่คือฐานกำแพงที่กรมศิลป์ขุดพบใต้ดินใต้สะพานนเรศวรครับ
เชื่อรึยังว่าพลังป้องกันของอยุธยาสูงปรี๊ดดดดด ขนาดกำแพงเพชรหรือเชียงแสนเห็นกำแพงปึ้กๆยังมิอาจเทียบ รอบเมืองยังมีป้อมปราการที่แข็งแกร่งอีกมากมาย แต่ที่เหลือซากให้ดูมากที่สุดคือ ป้อมเพชร ทางตอนใต้ของเกาะเมืองครับ เป็นป้อมที่ใหญ่โตที่สุดของอยุธยา มีรูปหกเหลี่ยมและแข็งแกร่งเลยให้ชื่อว่าป้อมเพชร ตรงนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญเพราะเป็นจุดตัดของแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสัก เป็นจุดเข้าของเรือสินค้า และตอนใต้ของเกาะเมืองยังมีชุมชนชาวต่างชาติอาศัยกันอยู่อย่างคึกคัก สมัยก่อนบริเวณหน้าป้อมเพชรเป็นตลาดน้ำบางกะจะซึ่งเป็น 1 ใน 4 ตลาดสี่มุมเมืองของอยุธยา
เที่ยวชมปราการรอบเกาะเมืองไปแล้วมาดูในเกาะกันบ้าง ต่อจากคราวที่แล้วเที่ยวลงมาจนถึงวังช้าง ลงมาต่ออีกหน่อยถึงจะเป็นพื้นที่ ศาลากลางหลังเก่า ครับ แม่ผมชอบศาลากลางอันนี้มากกว่าอันใหม่จมหู มันมีเอกลักษณ์มาก อาคารหลังนี้สร้างในปี พ.ศ.2484 สมัยจอมพล ป. ครับ หน้าอาคารมีเสาหกต้น แสดงถึงหลัก 6 ประการของคณะราษฎร์คือ เอกราช ความปลอดภัย เศรษฐกิจ ความเสมอภาค เสรีภาพ และการศึกษา หัวเสามีปูนปั้นบูรพกษัตริย์และวีสตรีของอยุธยาเรียงตามยุคจากซ้ายไปขวาประกอบด้วย พระเจ้าอู่ทอง พระบรมไตรโลกนาถ พระสุริโยทัย พระนเรศวร พระนารายณ์ และพระเจ้าตากสิน รูปแบบอาคารเป็นแบบเหลี่ยมๆทื่อๆตามสไตล์อาคารสมัยจอมพล ป. ที่เน้นประโยชน์ใช้สอยมากกว่าความสวยงามและหรูหราที่แสดงถึงชนชั้น ปัจจุบันใช้เป็นศูนย์ท่องเที่ยวอยุธยา
ด้านหลังของศาลากลางหลังเก่าตอนนี้เปิดเป็นตลาดกรุงศรี ซึ่งย้ายร้านจากตลาดหลังวัดมงคลบพิตรมาเพื่อไม่ให้รถเข้าไปในเขตโบราณสถานมากนัก แต่ความไม่สะดวกเรื่องที่จอดรถเอย เส้นทางจราจรเอย ทำให้ตลาดช่วงแรกๆค่อนข้างแป้ก พ่อค้าแม่ขายก็บ่นว่าขายของไม่ออกให้เค้าย้ายมาทำม้ายยย แต่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็แก้ปัญหาโดยจัดให้มีถนนคนเดินกรุงศรีที่ทางเข้าตลาดในช่วงแรกๆ ให้คนคุ้นเคย แล้วสร้างตลาดน้ำเพิ่มเติมบริเวณคูน้ำด้านหลังตลาดกรุงศรี ตอนนี้เลยเริ่มคึกคักขึ้นมาครับ ผมไปเดินช่วงเดือน ก.ย. ที่กำลังสร้างตลาดน้ำอยู่เลย ของขายยังมีไม่เยอะครับ ตลาดเปิด 9.00 - 20.00 น.
ด้านหน้ามีพระรูปพระนเรศและค่ายจำลองสมัยอยุธยา
พอทำเสร็จแล้วไม่สวยแฮะ ชอบแบบรมดำมากกว่า
อันนี้โซนถนนคนเดิน จัด 3 เดือนเพื่อโปรโมทตลาดใหม่ ช่วงนี้ไม่แน่ใจว่ายังมีอยู่ไหมนะครับ ของที่ขายส่วนใหญ่เป็นของกินทั่วๆไป อาหารอิสลามก็เยอะตาม demography ชาวอยุธยา
ก่อนเที่ยววัด จะขอไล่ลำดับกษัตริย์ผู้ปกครองอยุธยาแบบรวบรัดก่อนครับ เผื่ออ้างถึงจะได้ไล่ถูกว่าใครอยู่ช่วงไหนยังไง เริ่มจากราชวงศ์ลพบุรี อันที่จริงไม่มีชื่อราชวงศ์อย่างเป็นทางการเลยเรียกราชวงศ์อู่ทองตามชื่อพระเจ้าอู่ทองบ้าง เรียกราชวงศ์เชียงรายตามตำนานเหนือบ้าง ผมขอเรียกราชวงศ์ลพบุรีตามตำราหลายเล่ม เพื่อสะท้อนการสานต่อสายเลือดมาจากกษัตริย์ที่ปกครองลพบุรี-อโยธยาแล้วกัน อยุธยามีกษัตริย์ปกครองทั้งหมด 33 องค์ (หากนับขุนวรวงศาธิราชด้วยจะเป็น 34 องค์) มี 5 ราชวงศ์ สำหรับชื่อกษัตริย์อย่างเป็นทางการจะเรียกยากจำยาก (เช่นพระนเรศวรคือสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 2 ....ซึ่งทุกคนก็เรียกพระนเรศวรอยู่ดี) เลยขอใช้ชื่อที่คุ้นเคยที่สุดนะครับ
ราชวงศ์ลพบุรี 1. พระเจ้าอู่ทอง (พ.ศ.1893-1912) ย้ายเมืองจากอโยธยามาที่อยุธยาด้วยการสนับสนุนของขุนหลวงพะงั่ว พี่ชายของมเหสี 2. พระราเมศวร (พ.ศ.1912-1913) สร้างวัดพระราม ยกสมบัติให้ขุนหลวงพะงั่ว
ราชวงศ์สุพรรณภูมิ 3. ขุนหลวงพะงั่ว (พ.ศ.1913-1931) สร้างวัดมหาธาตุ ยึดเมืองสุโขทัยเป็นประเทศราชแต่ยังคงมีกษัตริย์ปกครองเป็นของตัวเอง 4. พระเจ้าทองลัน (พ.ศ.1931) ครองราชย์ได้ 7 วัน ถูกพระราเมศวรกลับมายึดอำนาจและนำไปประหารที่วัดโคกพระยา
ราชวงศ์ลพบุรี (ครั้งที่ 2) 2. พระราเมศวร (ครั้งที่ 2) (พ.ศ.1931-1938) กลับมาครองราชย์อีกหน 5. พระรามราชาธิราช (พ.ศ.1938-1952) ถูกพระอินทราชาจากสุพรรณบุรียึดอำนาจ ราชวงศ์ลพบุรีหมดอำนาจไป
ราชวงศ์สุพรรณภูมิ (ครั้งที่ 2) 6. พระนครินทราธิราช (พ.ศ.1952-1967) ราชวงศ์สายสุพรรณบุรีครองอำนาจในอยุธยาอย่างสมบูรณ์ 7. เจ้าสามพระยา (พ.ศ.1967-1991) สร้างวัดราชบูรณะ พิชิตเมืองนครธม (ขอม) ควบรวมสุโขทัยยกเลิกกษัตริย์สุโขทัย 8. พระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.1991-2031) ขยายพระราชวัง สร้างวัดพระศรีสรรเพชญ์แทนที่พระราชวังเดิม ปฏฺิรูปการปกครอง กำหนดศักดินา ตั้งกฎมณเฑียรบาล ขึ้นไปประทับเมืองพิษณุโลก 25 ปีเพื่อต้านทานการขยายอำนาจของล้านนา ครองราชย์ 40 ปี ยาวนานที่สุดในบรรดากษัตริย์อยุธยา 9. พระบรมราชาธิราชที่ 2 (พ.ศ.2031-2034) 10. พระรามาธิบดีที่ 2 (พ.ศ.2034-2072) เจริญสัมพันธ์กับโปรตุเกส 11. พระบรมราชาธิราชที่ 4 (พ.ศ.2072-2076) 12. พระรัษฎาธิราช (พ.ศ.2077) ครองราชย์ตอน 5 ขวบ ครองได้ 5 เดือน ถูกพระไชยราชาน้าตัวเองยึดอำนาจและนำไปประหารที่วัดโคกพระยา 13. พระไชยราชาธิราช (พ.ศ.2077-2089) 14. พระแก้วฟ้า (พ.ศ.2089-2091) ถูกท้าวศรีสุดาจันทร์สนมเอกของพระไชยราชายึดอำนาจและนำไปประหารที่วัดโคกพระยา (ไม่นับ) ขุนวงวงศาธิราช (พ.ศ.2091) ชู้ของท้าวศรีสุดาจันทร์ ถูกหนุนให้ขึ้นเป็นกษัตริย์แต่ไม่เป็นที่ยอมรับ และถูกลอบสังหารริมคลองสระบัวพร้อมท้าวศรีสุดาจันทร์และบุตร ทั้งหมดถูกตัดหัวเสียบประจานที่วัดแร้ง 15. พระมหาจักรพรรดิ (พ.ศ.2091-2111) มีช้างเผือกในครอบครองถึง 7 ช้าง เลยเรียกว่าพระเจ้าช้างเผือก ได้รับทูลเชิญให้ขึ้นครองราชย์หลังประหารขุนวรวงศา ในสงครามกับหงสาวดียุคพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ พระสุริโยทัย มเหสีออกรบและเสียชีวิตบนคอช้าง ต่อมาบุเรงนองเข้าตี อยุธยาสู้ไม่ได้ต้องยอมแพ้และถวายช้างเผือกให้ (พม่าบันทึกว่าเสียกรุงในรัชกาลนี้) 16. พระมหินทราธิราช (พ.ศ.2111-2112) ขัดใจบุเรงนอง อยุธยาเลยโดนถล่มอีกรอบ (ไทยบันทึกว่าเสียกรุงในรัชกาลนี้) แล้วก็สิ้นสุดราชวงศ์สุพรรณภูมิที่ครองอำนาจนานที่สุดในอยุธยา
ราชวงศ์สุโขทัย 17. พระมหาธรรมราชา (พ.ศ.2112-2133) ช่วยบุเรงนองตีอยุธยาเลยได้รางวัลให้ครองอยุธยาที่กลายเป็นเมืองขึ้น ทำให้ราชวงศ์สุโขทัยกลับมาเฉิดฉายบนแผ่นดินไทยอีกครั้ง 18. พระนเรศวร (พ.ศ.2133-2148) ปลกแอกอยุธยาจากการปกครองของหงสาวดียุคนันทบุเรง และขยายอาณาเขตอยุธยาจนกว้างใหญ่ไพศาล 19. พระเอกาทศรถ (พ.ศ.2148-2153) เป็นกษัตริย์องค์ที่ 2 คู่กับพระนเรศวร (เช่นเดียวกับพระปิ่นเกล้าและ ร.4) และรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตลอด หลังพระนเรศวรสวรรคตได้ครองราชย์ต่ออีก 5 ปี 20. พระศรีเสาวภาคย์ (พ.ศ.2153) ถูกพระเจ้าทรงธรรมยึดอำนาจ และนำไปประหารที่วัดโคกพระยา 21. พระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ.2154-2171) เคร่งในพุทธศาสนา (แต่จับลูกพี่ลูกน้องตัวเองไปประหาร) สร้างวัดพระพุทธบาทสระบุรี 22. พระเชษฐาธิราช (พ.ศ.2171-2173) ถูกพระเจ้าปราสาททองจับไปประหารที่วัดโคกพระยา 23. พระอาทิตยวงศ์ (พ.ศ.2173) ครองราชย์ตอน 9 ขวบ เด็กไป ไม่เวิร์คเลยถูกปลดและพระเจ้าปราสาททองครองราชย์แทน ต่อมาเติบใหญ่คิดก่อกบฏเลยถูกพระเจ้าปราสาททองจับไปประหารที่ตะแลงแกง ราชวงศ์สุโขทัยหมดอำนาจไปอีกรอบ
ราชวงศ์ปราสาททอง 24. พระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ.2173-2199) สร้างวัดไชยวัฒนาราม สร้างปราสาทนครหลวง เป็นที่เลื่องลือด้านความโหดเหี้ยม 25. เจ้าฟ้าไชย (พ.ศ.2199) ถูกพระศรีสุธรรมราชาร่วมกับพระนารายณ์ชิงบัลลังก์ และนำไปประหารที่วัดโคกพระยา 26. พระศรีสุธรรมราชา (พ.ศ.2199) ถูกพระนารายณ์ชิงบัลลังก์ และนำไปประหาร...แน่นอนว่าที่วัดโคกพระยา 27. พระนารายณ์ (พ.ศ.2199-2231) สร้างพระนารายณ์ราชนิเวศน์ ฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาทในการปกครองมาก เริ่มต้นด้วยการชิงบัลลังก์เขามาและจบด้วยการถูกเขาชิงบัลลังก์ การให้อำนาจต่างชาติเข้ามาวุ่นวายในอยุธยามากเกินไปทำให้ขุนนางไทยลุกฮือยึดอำนาจช่วงที่ป่วยและสวรรคตที่ลพบุรี
ราชวงศ์บ้านพลูหลวง 28. พระเพทราชา (พ.ศ.2231-2246) ยึดอำนาจจากพระนารายณ์กำจัดอิทธิพลฝรั่งเศสออกไป 29. พระเจ้าเสือ (พ.ศ.2246-2251) เลื่องลือด้านความดุร้าย เซ็กซ์จัด ชกมวยเก่ง มีตำนานเรื่องพันท้ายนรสิงห์ สร้างวัดโพธิ์ประทับช้างที่พิจิตร 30. พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ (พ.ศ.2251-2275) ชอบนั่งชมสระที่พระที่นั่งบรรยงรัตนาสน์ เลยได้ชื่อว่าพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ชอบกินปลาตะเพียนมากเลยออกกฎห้ามชาวบ้านกิน 31. พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ.2275-2301) รัชกาลสุดท้ายที่เรียกว่าเป็นช่วงแผ่นดินดี หลังจากนั้นมีแต่การชิงอำนาจของพี่น้องและพวกขุนนางและการบุกของพม่า 32. พระเจ้าอุทุมพร (พ.ศ.2301) ครองราชย์แซงหน้าพี่เพราะพ่อให้ แต่เกรงใจพี่เลยหนีบวช ได้อีกชื่อว่าขุนหลวงหาวัด กลับมาช่วยทำศึกกับพม่าช่วงหนึ่ง สุดท้ายช่วงเสียกรุงถูกนำตัวไปพม่า 33. พระเจ้าเอกทัศน์ (พ.ศ.2301-2310) พม่ากลับมารวมชาติได้อีกครั้งและต้องการทำลายหอกข้างแคร่อย่างอยุธยาให้สิ้นซาก รับศึกหนักตั้งแต่สมัยพระเจ้าอลองพญา จนมาเสียกรุงในสมัยพระเจ้ามังระ อยุธยาถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ เป็นการปิดฉากทั้งราชวงศ์บ้านพลูหลวงและพระนครศรีอยุธยา
....
ได้เวลาเที่ยววัดกันสักที! มาชมโซนด้านหลังพระราชวังมีสามวัดเด่นๆ คือ วัดโลกยสุธาราม วัดวรเชษฐาราม และวัดวรโพธิ์ครับ
วัดวรโพธิ์ เดิมชื่อวัดระฆัง เคยเป็นที่ผนวชของพระศรีศิลป์ก่อนขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าทรงธรรม แต่เปลี่ยนชื่อเป็นวัดวรโพธิ์เนื่องจากในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้มีการปลูกต้นศรีมหาโพธิ์ที่อัญเชิญมาจากลังกา แต่คงตายไปนานแล้วครับ ไม่เหลือโพธิ์ให้ดูสักต้น แถมเจดีย์ประธานที่เป็นเจดีย่อมุมขนาดใหญ่ก็มาพังทลายเอาในรัชกาลเดียวกันนี้อีก (สงสัยไม่ชอบชื่อใหม่)
วัดวรเชษฐาราม หรือวัดวรเชษฐ์ เป็นวัดที่พระเอกาทศรถสร้างถวายพี่ชายคือพระนเรศวร เดิมเชื่อว่าเป็นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระนเรศวร แต่นักวิชาการหลายท่านเชื่อว่าน่าจะเป็นวัดวรเชษฐ์ขนาดใหญ่ที่อยู่นอกเมืองฝั่งตะวันตกมากกว่า วัดมีเจดีย์ทรงกลมสมัยอยุธยาตอนกลาง อุโบสถ วิหาร เหลืออยู่ครบถ้วน ล้อมด้วยคูน้ำแบบที่ไม่ค่อยได้พบกับวัดอื่นในอยุธยา
ชื่อของพระนเรศวรตามที่นักวิชาการท้วงน่าจะเป็นพระนเรศตามที่พบในจารึกส่วนใหญ่มากกว่า ที่่คนไทยเรียกพระนเรศวรมาตลอดเป็นเพราะช่วงชำระประวัติศาสตร์ไทยไปอ่านชื่อ สมเด็จพระนเรศวรราชาธิราช "นะเรดวอระราชา" เป็น "นะเรสวนราชา" แต่บล็อกนี้ขอใช้ชื่อพระนเรศวรตามที่คุ้นเคยกันนะครับ
วัดโลกยสุธาราม มีจุดเด่นคือปรางค์และพระไสยาสน์ทรงเครื่อง ปรางค์ประธานเป็นแบบอยุธยาตอนต้น แต่พระนอนเป็นศิลปะอยุธยาตอนกลางสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ปัจจุบันวิหารครอบองค์พระพังทลายไปหมดแล้ว องค์พระได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยจอมพล ป.
ก่อนเที่ยวต่อเรามากางแผนที่เกาะเมืองกันอีกรอบ ใช้มาสามบล็อก ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วครับ (กดที่รูปเพื่อชมภาพขยาย)
เข้ามาที่ถนนอู่ทองเส้นรอบเกาะเมืองกันครับ สำหรับมือใหม่เที่ยวอยุธยาให้ยึดถนนสายนี้เป็นหลักก็เที่ยวได้รอบอยุธยาแล้ว มันวนรอบเกาะเมือง ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะเมืองเรียกว่าหัวแหลม โซนนี้เป็นบ้านเก่าของคุณยายผมที่ย้ายมาจากบางปะหันหลังแต่งงาน พวกแม่และน้าๆของผมก็เกิดที่นี่ด้วย วัดที่คุ้นเคยที่สุดคือ วัดตึก สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าเสือบนบริเวณที่เคยเป็นที่ประทับขณะเป็นอุปราช
รูปปั้นพระเจ้าเสือภายในวัด
|
พระเจ้าเสือมีตำนานเกี่ยวกับพันท้ายนรสิงห์ สถานที่สำคัญของพระเจ้าเสือเลยไม่พ้นต้องมีศาลพันท้ายนรสิงห์อยู่ด้วย
| วิ่งตามเส้นรอบเกาะเมืองมาอีกสักพักจะผ่านเขตพระราชวังโบราณ หน้าพระราชวังมีวัดเก่าแก่สมัยอโยธยาคือ วัดธรรมิกราช สร้างโดยพระเจ้าธรรมิกราช กษัตริย์องค์ที่ 4 ของอโยธยา โอรสของพระเจ้าสายน้ำผึ้ง (พระเจ้าอู่ทองคือกษัตริย์องค์ที่ 10 ของอโยธยา และองค์ที่ 1 ของอยุธยา) เดิมชื่อวัดมุขราช โบราณวัตถุชิ้นสำคัญคือเศียรพระวัดธรรมิกราชสูง 2 เมตร พระประธานของวัดนี้เป็นพระพุทธรูปสำริด เหลือเพียงส่วนศีรษะ ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา ในวัดเป็นของจำลองขนาดเท่าของจริง ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่าหลวงพ่อแก่ เพราะหน้าเคร่งขรึมจนดูแก่ตามลักษณะศิลปะแบบอู่ทอง | | ส่วนด้านล่างนี้คือวิหารหลวงหรือวิหารทรงธรรม ขนาดใหญ่สมฐานะวัดสำคัญครับ สังเกตว่าเสาเป็นทรงกลมแสดงว่าเป็นวัดที่สร้างโดยอุปราช นั่นเพราะพระเจ้าธรรมิกราชสร้างวัดนี้ในขณะยังเป็นอุปราชพร้อมกับตอนที่พระเจ้าสายน้ำผึ้งสร้างวัดพนัญเชิง
โบราณสถานที่โดดเด่นอีกแห่งของวัดนี้คือเจดีย์สิงห์ล้อม 52 ตัว ช้างล้อมเป็นรูปแบบศิลปะที่สืบเนื่องมาจากสุโขทัย พบในเจดีย์อโยธยารุ่นแรกๆ เช่นที่วัดมเหยงคณ์ แต่สิงห์ล้อมนี่ได้รับอิทธิพลจากขอมแบบบายนมาผสมครับ จากการตรวจสอบพบว่าเจดีย์มาก่อนและสิงห์ล้อมเพิ่มเข้ามาทีหลัง หน้าตาสิงห์แต่ละตัวจะแตกต่างกันไปด้วยนะครับ อีกแห่งหนึ่งที่มีเจดีย์สิงห์ล้อมคือวัดแม่นางปลื้ม
พระอุโบสถ บูรณะครั้งล่าสุดปี พ.ศ.2535 นี้เอง
|
ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปปูนปั้นสมัยรัตนโกสินทร์
|
วัดนี้เคยถูกบูรณะในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ บูรณะตัววิหารหลวงขึ้นใหม่ และสร้างวิหารพระพุทธไสยาสน์ในบริเวณวัดด้วย วิหารพระนอนองค์นี้สร้างโดยมเหสีของพระบรมไตรโลกนาถที่อธิษฐานไว้ว่าหากพระธิดาหายจากโรคร้ายจะสร้างพระวิหารถวาย
|
พระวิหารน้อย ด้านหน้าตั้งรูปพระนเรศวรและมีคนนำรูปปั้นไก่มาถวายให้เพียบ ทั้งที่วัดนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพระนเรศวรนะครับ
|
ปัจจุบันวัดธรรมมิกราชเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษานะครับ เลยไม่เก็บค่าเข้า เข้าไปทำบุญกันได้นะ
ออกจากวัดธรรมมิกราชมาต่อเส้นอู่ทองครับ วนๆๆๆมาทางขวาอีกนิดจะถึง วัดญาณเสน มีเจดีย์ย่อมุมขนาดใหญ่เป็นประธาน หน้าวัดในอดีตมีรางน้ำผันน้ำจากแม่น้ำลพบุรีเข้าบึงพระราม
วัดชุมแสง อยู่ทางทิศเหนือของบึงพระราม มีเจดีย์ทรงกลมเป็นประธาน
วัดสุวรรณเจดีย์ ตั้งอยู่ในเขตสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตพระนครศรีอยุธยา แต่อยู่ติดรั้วเดินเข้าไปหน่อยเดียวครับ เหลือเจดีย์ทรงกลมขนาดใหญ่รูปทรงคล้ายเจดีย์วัดพระศรีสรรเพชญ์อยู่
เลาะเล็มวัดเล็กวัดน้อยมาสักพักแล้ว ต่อไปมาเที่ยววัดใหญ่ๆกันบ้าง วัดราชบูรณะ ครับ อยู่ทางเหนือติดกับวัดมหาธาตุที่บล็อกที่แล้วพามาชมไปแล้ว เป็นวัดที่เจ้าสามพระยาสร้างขึ้นบริเวณที่เป็นที่เผาพระศพของเจ้าอ้ายและเจ้ายี่ พี่ชายสองคนที่แบ่งสมบัติกันและชนช้างจนตายทั้งคู่ทำให้เจ้าสามพระยาได้ครองราชย์ในที่สุด ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางท่านตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นการระดมกำลังจัดการพี่ชายของเจ้าสามเพื่อให้ตัวเองขึ้นครองราชย์ เพราะไม่น่ามีใครอุตริมาชนช้างกันกลางเมืองติดลำคลองแบบนี้
ด้านหน้าปรางค์ประธานมีวิหารหลวงขนาดใหญ่
ปรางค์ประธานของวัดก็รูปทรงยอดฮิตของอยุธยาตอนต้นเขาล่ะครับ ภายในมีสมบัติมากมายที่เจ้าสามพระยาฝังไว้ และเคยถูกโจรกรรมในช่วงที่มีข่าวกรมศิลป์ขุดพบใหม่ๆ ปี พ.ศ.2499 ถึงเจ้าหน้าที่จะตามกลับมาได้ส่วนหนึ่ง แต่สมบัติก็มากมายพอที่จะตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ได้ (สมบัติกว่า 2,000 รายการ ทองคำหนักกว่า 100 กิโล) จึงตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา ตามชื่อผู้ฝังกรุนี้ไว้ ส่วนพระพิมพ์ที่พบเป็นแสนองค์ปล่อยเช่าระดมเงินสร้างพิพิธภัณฑ์หมดแล้วครับ
กรุวัดราชบูรณะแบ่งเป็นสามกรุฝังชั้นบน ชั้นกลาง ชั้นล่าง ของที่พบนอกจากพระบรมสารีริกธาตุและเครื่องราชกกุธภัณฑ์แล้วยังมีของจากต่างประเทศทั้งเปอร์เซียและจีน แสดงความสัมพันธ์ทางการค้ากับต่างประเทศช่วงต้นกรุงศรีอยุธยาด้วย พอเข้ามาภายในปรางค์แล้วจะมีสามชั้น ชั้นบนสุดมีแต่ป้ายให้อ่าน ไม่มีอะไรครับ |
| ชั้นกลาง หรือกรุชั้นที่ 1 มีจิตกรรมฝาผนังทั้ง 4 ด้าน แต่จางมากต้องสังเกตดีๆครับ มีทั้งรูปเทวดา เด็ก ทหารจีน คาดว่าวาดโดยช่างชาวจีน
ชั้นล่าง หรือกรุชั้นที่ 2 มีจิตรกรรมฝาผนังทั้งผนังและเพดาน เป็นรูปอดีตพระพุทธเจ้า และพุทธประวัติ จิตกรรมสมัยอยุธยาตอนต้นแบบนี้มีแค่ในวัดนี้ วัดมหาธาต และวัดพระรามเท่านั้นนะครับ (ซึ่งอีกสองวัดเขาปิดทางขึ้นปรางค์ไม่ได้ให้เข้าไปดู) ส่วนด้านล่างของห้องนี้คือกรุชั้นที่ 3 เป็นที่ฝังพระบรมสารีริกธาตุบรรจุในเจดีย์ทองคำครับ
ตามที่เราทราบกันแล้วว่าเจ้านครอินทร์หรือพระนครินทราชากษัตริย์จากราชวงศ์สุพรรณภูมิได้สร้างอยุธยาขึ้นเป็นศูนย์รวมคนไทยอย่างแท้จริงและมีลักษณะเป็นราชธานี พร้อมกับการหมดอำนาจของราชวงศ์ลพบุรีไปอย่างถาวร หลังเจ้านครอินทร์สวรรคตในปี พ.ศ.1967 ลูกๆได้เข้ามาชิงอำนาจกัน โดยเจ้าอ้ายพระยา ผู้ครองเมืองสุพรรณบุรี และเจ้ายี่พระยา ผู้ครองเมืองแพรกศรีราชา (ชัยนาท) ได้ทำการสู้รบชนช้างกันบริเวณเชิงสะพานป่าถ่าน (เดิมใช้ข้ามคลองประตูจีน แต่ปัจจุบันเหลือแค่ตอม่อ และคลองก็แห้งขอดไปแล้ว) ผลการสู้รบเป็น Double K.O. ครับ เสียชีวิตทั้งคู่ เจ้าสามพระยา ลูกคนที่ 3 เลยส้มหล่น ได้ครองราชย์ไป บริเวณที่สู้รบกันนี้ได้สร้างเป็นเจดีย์เจ้าอ้ายและเจดีย์เจ้ายี่เป็นที่ระลึก ส่วนด้านหลังนั่นคือตอม่อของสะพานป่าถ่านที่ยังเหลือครับ
นอกจากการสร้างวัดราชบูรณะแล้วภารกิจสำคัญอีกอย่างของเจ้าสามพระยาคือการตีเขมรถึงนครธม ทำให้อาณาจักรขอมอดีตพี่ใหญ่ของแถบนี้ล่มสลายลงไปนั่นเอง และในรัชกาลเดียวกันนี้ยังรวมสุโขทัยเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยาด้วย ทำให้ราชวงศ์สุโขทัยยุติบทบาทในการปกครองสุโขทัยไป ช่วงชำระประวัติศาสตร์ไทยไปตีเอาว่าสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกแล้วบรรจุลงแบบเรียนเป็นประวัติศาสตร์สายหลัก ทั้งที่อันที่จริงสุโขทัยเป็นแคว้นหนึ่งที่ถูกอยุธยารวมเข้ามา ประวัติศาสตร์สุโขทัยไม่ได้มีความต่อเนื่องกับอยุธยานะครับ
ถัดจากวัดราชบูรณะคือ วัดพลับพลาไชย เป็นวัดขนาดเล็กสร้างสมัยอยุธยาตอนต้น เป็นที่ตั้งทัพของเจ้าอ้ายก่อนชนช้างกับเจ้ายี่
ขึ้นไปอีกคือ วัดสุวรรณาวาส สมัยอยุธยาบริเวณนี้เป็นป่าตะกั่วและป่ามะพร้าว และเป็นที่ตั้งของโรงช้างหลวง คาดว่าวัดนี้เป็นวัดประจำตระกูลสมุหคชบาล
ฝั่งตรงข้ามวัดสุวรรณาวาสคือ วัดราชประดิษฐาน เป็นวัดที่พระเฑียรราชาเคยบวชหนีอำนาจท้าวศรีสุดาจันทร์ ก่อนจะร่วมกับเพื่อนๆโค่นอำนาจนางพร้อมขุนวรวงศาและขึ้นครองราชย์เป็นพระมหาจักพรรดิ และวัดนี้ยังเคยเป็นที่จำพรรษาของพระเจ้าอยู่หัวอุทุมพรซึ่งเดิมบวชอยู่วัดประดู่ แต่ช่วงที่พม่าเข้าตี พระเจ้าเอกทัศน์ให้นิมนต์พระผู้ใหญ่นอกเมืองเข้ามาหลบภัยในเมืองชั่วคราว วัดนี้ร้างหลังเสียกรุงครั้งที่ 2 แต่เริ่มมีพระสงฆ์กลับมาจำพรรษาในสมัย ร.6 และบูรณะวัดจนใหม่เอี่ยมครับ
ด้านหลังวัดราชประดิษฐานข้ามคลองประตูข้าวเปลือกมาคือวัดท่าทราย ปัจจุบันถูกควบรวมเป็นส่วนหนึ่งของวัดราชประดิษฐาน หลังปลดพระอาทิตยวงศ์ออกจากราชสมบัติแล้วพระเจ้าปราสาททองขึ้นครองราชย์ และให้พระอาทิตยวงศ์มาปลูกบ้านอยู่แถวนี้ แต่พอเติบใหญ่พระอาทิตยวงศ์ก็รวบรวมสมัครพรรคพวกเข้าโจมตีวังหลวง แต่ก่อกบฏไม่สำเร็จเลยโดนจับขึ้นตะแลงแกงไปทั้งหมู่
| ระหว่างวัดราชประดิษฐานและวัดท่าทรายมีป้อมคั่นคลองประตูข้าวเปลือก เรียกว่าป้อมประตูข้าวเปลือก ปัจจุบันเป็นที่ทิ้งขยะ (เวงกำ) ส่วนตัวคลองตื้นเขินลงเหลือกลายเป็นสระน้ำเล็กๆในเขตวัดราชประดิษฐาน |
ขับมาตามถนนอู่ทองต่อครับ วัดถัดไปอยู่ติดถนนเช่นกันคือ วัดเขียน ปัจจุบันกลายเป็นเขตโรงเรียนเทศบาลวัดเขียน เหลือแค่เจดีย์สององค์ด้านหน้าโรงเรียน
วัดขุนแสน อยู่ริมถนนอู่ทองมองเห็นได้ชัดเจนเลย พระยาเกียรติ พระยาราม ชาวมอญได้ตามพระนเรศวรจากหงสาวดีมาพำนักอยู่ที่วัดนี้ ร.4 ได้บูรณะวัดนี้ขึ้นมาใหม่ด้วยเชื่อว่าพระยาเกียรติพระยารามคือบรรพบุรุษของราชวงศ์จักรี กลางวัดมีเจดีย์ขนาดใหญ่ ที่เห็นเป็นร่องนั่นไม่ใช่รอยแตกนะครับ เป็นการสร้างเจดีย์ใหม่ครอบทับองค์เดิม แต่ทำยังไม่เสร็จผู้รับเหมาก็ทิ้งงานไปซะก่อน
เลยจากวัดขุนแสนเข้าเขตหัวรอ ฝั่งซ้ายจะเป็นตลาดหัวรอ ฝั่งขวาคือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจันทรเกษม ซึ่งในอดีตคือวังหน้าสร้างสมัยพระมหาธรรมราชาให้เป็นที่ประทับของพระนเรศวร เดี๋ยวบล็อกต่อๆไปจะพาไปชมนะครับ วันนี้ขอแวะมาดูวัดในเขตวังหน้ากันก่อน จะมีวัดขมิ้นกับวัดเสนาสนารามครับ
วัดขมิ้น อยู่ในเขตเรือนจำเก่าสมัย ร.5 ตอนนี้เลิกใช้งานไปแล้วเดินเข้ามาได้เลยครับ ไม่ต้องไปก่อคดีก่อน มีเจดีย์ประธานและฐานของวิหาร เจดีย์ที่เห็นใหม่ๆนี่บูรณะสมัย ร.4 ครับ ตัววัดจริงๆสร้างตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้นและแทบไม่เหลืออะไรให้ดูแล้ว
วัดเสนาสนาราม เป็นวัดใหญ่แต่อยู่ในซอยที่แคบมากๆ ข้างพระราชวังจันทร์ครับ เดิมชื่อวัดเสื่อเป็นวัดประจำวังหน้า ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่สมัย ร.4 พร้อมๆกับพระราชวังจันทรเกษมและวัดขมิ้น แล้วก็เปลี่ยนชื่อจากวัดเสื่อเป็นวัดเสนาสนาราม หลังบูรณะเสร็จก็เริ่มมีพระสงฆ์จำพรรษาตั้งแต่ปี พ.ศ.2406 เป็นต้นมา
พระอุโบสถเป็นสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา มีภาพเขียนสมัย ร.5 เขียนรูปเทวดาและพระราชพิธีต่างๆ
|
พระพุทธไสยาสน์วัดเสนาสนาราม
| วนลงมาเกาะเมืองทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ต่อครับ ฝั่งขวาของถนนอู่ทองมีทางเข้า วัดสุวรรณดาราราม นายทองดีพ่อของ ร.1 เป็นผู้สร้างและให้ชื่อว่าวัดทอง เมื่อ ร.1 ขึ้นครองราชย์จึงเปลี่ยนชื่อเป็นวัดสุวรรณดาราราม แผนผังวัดมีเอกลักษณ์ที่โบสถ์และวิหารตั้งคู่กันแล้วมีเจดีย์ประธานอยู่ด้านหลังวิหาร
ในวิหารมีภาพวาดสมัย ร.7 ตอนบูรณะวัดเนื่องในโอกาสกรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 150 ปี เป็นพระราชประวัติพระนเรศวร
ในโบสถ์มีภาพวาดสมัย ร.1 เป็นภาพเทพชุมนุม ชาดก และพุทธประวัติ
หน้าร้านมีร้านก๋วยเตี๋ยวผักหวานชื่อดัง มีเมนูอาหารจากผักหวานหลากหลายตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยวผักหวาน ส้มตำผักหวาน ผักหวานผัดน้ำมันหอย ฯลฯ ผมว่าอร่อยแต่พี่ที่มากินด้วยบอกไม่อร่อย เคยพาที่บ้านมากินบอกเฉยๆ ไม่กล้ารีวิวเลย
ฝั่งตรงข้ามวัดสุวรรณดาราราราราราม (เรียกไปนานๆแล้วลิ้นพันกันเป็นแรปเปอร์) คือ วัดรัตนชัย หรือวัดจีน สร้างในปี พ.ศ.2325 สมัย ร.1 พร้อมกับที่บูรณะวัดทองนั่นละ
ต่อไปกลับมาที่ศาลากลาง เดินไปฝั่งตรงข้ามแล้วเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา (เปิดทั้งวันทั้งคืนครับ) ในนี้มีโบราณสถานสำคัญอยู่สามวัด คือวัดบรมพุทธาราม วัดสิงหาราม และวัดสวนหลวงค้างคาว อยู่ติดกับรั้วฝั่งตะวันตกทั้งหมดครับ ไม่ต้องเข้าไปลึกมาก เดิมทีบริเวณนี้เรียกว่าย่านป่าตอง เป็นบ้านเก่าของพระเพทราชาก่อนขึ้นครองราชย์
วัดบรมพุทธาราม ตั้งอยู่ทางตะวันตกของคลองฉะไกรน้อย สร้างโดยพระเพทราชาในปี พ.ศ.2231 และอาราธนาพระญาณสม พระเถระชั้นผู้ใหญ่มาเป็นเจ้าอาวาส วัดนี้มีอีกชื่อคือวัดกระเบื้องเคลือบเนื่องจากเดิมตกแต่งหลังคาพระอุโบสถด้วยกระเบื้องเคลือบแบบพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญมหาปราสาทในพระนารายณ์ราชนิเวศน์ที่ลพบุรี ในอุโบสถมีพระประธานปางมารวิชัย เดิมเคยมีประตูมุกสร้างในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แต่ปัจจุบันนำไปเก็บที่วัดพระแก้วคู่หนึ่ง และวัดเบญจมบพิตรอีกคู่หนึ่ง
คลองฉะไกรน้อย ปัจจุบันตื้นเขินไปหมดแล้ว
วัดสิงหาราม อยู่ทางตะวันออกของคลองฉะไกรน้อย มีเจดีย์ประธานทรงกลมสององค์เรียงกันบนฐานเดียวกับวิหาร
วัดสวนหลวงค้างคาว อยู่ทางตะวันออกของคลองฉะไกรน้อย มีอุโบสถขนาดใหญ่ จากลักษณะศิลปะคาดว่าสร้างก่อนราชวงศ์บ้านพลูหลวงยึดอำนาจ เดิมทีแถวนี้เรียกว่าสวนหลวงค้างคาว เป็น 1 ใน 2 พระราชอุทยานในเขตพระนครศรีอยุธยา (อีกแห่งคือสวนหลวงสบสวรรค์ที่วังหลัง) และคาดว่าสมัยก่อนบริเวณนี้คงมีค้างคาวมากเลยได้ชื่อนี้มา
ทางใต้ของเกาะเมืองมีอะไรครับ? มีโรงพยาบาลและโรตีหน้าโรงบาล! ถูกต้องนะคร้าบ!!! (ก็จำกันแค่เรื่องกินอะเนอะ) โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาเป็นโรงพยาบาลใหญ่ที่สุดในเกาะเมือง ภายในโรงพยาบาลมีโบราณสถาน วัดปราสาท ตั้งอยู่ มีเจดีย์ทรงกลมขนาดใหญ่เป็นประธาน
ฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลค่อนข้างจอดกันเกะกะซ้อนสองซ้อนสามเลยนะครับ จะลงไปซื้อโรตีก็เกรงใจชาวบ้านจอดเลนในแล้วเดินเอาหน่อยเซ่ ไม่ขอแนะนำว่าเจ้าไหนอร่อยนะครับ ผมกินไม่ต่างกันเท่าไหร่ (ลิ้นจระเข้) แต่ที่ซื้อบ่อยคืออาบีดีน ซึ่งแทนที่จะแย่งกันจอดรถหน้าโรงบาล ไปซื้อหน้าบ้านเขาเลยก็มี ขับเลยจากโรงบาลไปก่อนถึงแยกเลี้ยวไปวัดไชยวัฒนารามหน่อยนึงครับ
ขับต่อมาอีกจะเป็นโซนสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ด้านในมีโบราณสถานอีกเยอะพอดู ขอยกยอดไปบล็อกต่อไปแล้วกันครับ แค่นี้ก็จะอัพบล็อกไม่ทันเที่ยวช่วงปีใหม่อยู่แล้วเนี่ย
เลยขึ้นมาโลด! ผ่านสะพานที่เลี้ยวไปวัดไชยวัฒนารามไปก่อน ทางฝั่งตะวันตกของเกาะเมืองเป็นพื้นที่วังหลัง เดิมเป็นพระราชอุทยานที่เรียกว่าสวนหลวงสบสวรรค์ ก่อนพระมหาจักพรรดิจะสร้างวัดสบสวรรค์ขึ้น และต่อมาพระมหาธรรมราชาได้สร้างวังหลังขึ้นบริเวณนี้เป็นที่ประทับของพระเอกาทศรถ ในขณะที่วังหน้าเป็นที่ประทับของพระนเรศวร
สมัยก่อนแถวนี้เป็นโรงงาน เหม็นกลิ่นกากน้ำตาลมากๆ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วครับ บ้านผมจะคุ้นเคยกับแถวนี้น่าดู เพราะมันใกล้กับหัวแหลมบ้านเก่าคุณยาย (อาห์....เราวนรอบเกาะเมืองครบรอบจนได้) ตัววังหลังไม่เหลือซากอะไรให้ดูแล้วครับ ในเขตวังหลังมีวัดสำคัญคือ วัดสบสวรรค์ ที่ตั้งของเจดีย์ศรีสุริโยทัย เมื่อครั้งพระสุริโยทัยและพระธิดาสิ้นชีพในศึกพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้นั้น พระมหาจักพรรดิได้ถวายพระเพลิงพระศพของทั้งสองที่วัดนี้และสร้างเจดีย์เป็นที่บรรจุอัฐิ แต่ปัจจุบันวัดนี้เหลือแค่เจดีย์องค์เดียวเพราะได้มีการตั้งหน่วยทหารสรรพาวุธขึ้นในบริเวณวัดนี้ในสมัย ร.5 และรื้อโบราณสถานออกไปเป็นจำนวนมาก เจดีย์ที่บรรจุพระอัฐิของพระสุริโยไทจริงๆคงถูกรื้อไปในครั้งนั้นละครับ แต่ ร.6 ให้เรียกเจดีย์ที่เหลืออยู่องค์เดียวว่าเจดีย์ศรีสุริโยทัย (ทั้งที่ไม่ได้บรรจุอัฐิพระสุริโยทัย) กรมศิลป์ได้ขุดค้นเจดีย์พบเจดีย์ศิลาแก้วบรรจุพระบรมธาตุครับ
ขับเลยจากเจดีย์มาหน่อยจะมีอนุสาวรีย์เล็กๆริมถนนครับ ร.6 ได้สร้างอนุสาวรีย์พระสุริโยไทไว้เป็นที่ระลึกตรงนี้แทน
หมดจากเส้นรอบเกาะเมืองไปแล้ว ขอมาเที่ยวกลางๆเมืองกันบ้างครับ วัดแรกขอพากลับไปที่เชิงสะพานป่าถ่าน จะมี วัดชัยภูมิ ตั้งอยู่ใกล้ถนนหอรัตนชัย แต่ก่อนมีบ้านเรือนขึ้นปิดล้อมทางเข้าวัดทุกด้าน ต้องขออนุญาตชาวบ้านเดินเข้าไป แต่ไม่กี่ปีมานี้กรมศิลป์ได้เวนคืนพื้นที่ทางเข้าวัดเรียบร้อยแล้วครับ วัดชัยภูมิหรือวัดสะพานถ่าน สร้างในสมัยอยุธยาตอนต้น และเป็นที่ตั้งทัพของเจ้ายี่พระยา ก่อนทำสงครามกับเจ้าอ้ายพระยาด้วย มีเจดีย์ทรงกลมเป็นประธาน มีเศียรพระตกอยู่เป็นเอกลักษณ์
ใกล้กันมี วัดโคกม่วง อยู่ริมถนนฝั่งตรงข้าม มีมณฑปย่อมุมไม้สิบสองเป็นประธาน
วัดหอระฆัง อยู่ริมคลองมะขามเรียง ซึ่งได้ชื่อนี้ตอนจอมพล ป. ปลูกต้นมะขามเรียงรายริมคลอง ซากที่เหลืออยู่และโดดเด่นที่สุดคือหอระฆังจึงได้ชื่อนี้มา
วัดลังกา อยู่ริมคลองมะขามเรียง อีกฝั่งหนึ่งกับวัดหอระฆัง ปัจจุบันเหลือแค่เจดีย์ประธานรูปแบบสมัยอยุธยาตอนต้น
วัดกระชี อยู่ในเขตสถานีตำรวจภูธรพระนครศรีอยุธยา เหลือเจดีย์ยืนต้นตายอยู่อันนึง ซากนี้ถ่ายลอดรั้วเข้าไปครับ
ขับตามเส้นถนนป่าโทนไปเจอป้าย วัดป่าโทน เลยลุยดงเข้าไปหน่อยนึง เจอวัดเหลือแค่เนี้ยครับ
โบราณสถานบางแห่งอยู่ในเขตสถานที่ราชการยังพอเข้ามาได้ แต่ถ้าอยู่ในที่ส่วนบุคคลนี่ต้องขอเจ้าของเอานะครับ เข้ามาในเขตโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัยก็มีโบราณสถานน่าสนใจอีกสองแห่งคือวัดป่าสักและวัดนางมุข ที่นี่เป็นโรงเรียนเก่าของน้าผมครับ
วัดนางมุข เหลือแค่ปรางค์โผล่มาโด่เด่ ตั้งอยู่ข้างสมาคมศิษย์เก่าติดถนนซีกุน ภาพนี้ถ่ายลอดจากรั้วข้างนอกเข้าไปครับ
วัดป่าสัก อยู่ด้านหลังอาคารเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษามหาราชินี ขุดแต่งได้เพียงส่วนเดียวเพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกล้อมรอบด้วยอาคารอื่นๆของโรงเรียน จะไปรื้อเขาก็ไม่ดีนะครับ ตอนนี้ที่โผล่พ้นดินมาให้เห็นก็มีเจดีย์ทรงปรางค์ และโบราณสถานทรงสี่เหลี่ยมซึ่งคาดว่าเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป คาดว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้นครับ
เกือบหมดแล้วครับ ได้เวลาออกจากเกาะเมืองอยุธยากันเสียที...
วัดขุนเมืองใจ อยู่ริมถนนโรจนะขาออกจากเกาะเมือง เป็นวัดที่ต้องเห็นส่งท้ายการท่องเที่ยวอยุธยาเกือบทุกครั้ง เป็นวัดใหญ่นะครับ แต่พอตัดถนนแล้วเบียดเอาพื้นที่วัดไปกองข้างถนนเหมือนวัดเล็กๆเลย คาดว่าสร้างก่อนอยุธยา เจดีย์ประธานองค์ใหญ่มีกลิ่นอายศิลปะทวารวดี (แต่ไม่เก่าขนาดทวารวดีนะ ตอนนั้นอยุธยายังเป็นทะเลอยู่) วัดแห่งนี้ใช้เป็นที่ประกอบพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา
หมดจากรายการโบราณสถานที่แสนย้าวยาว ต่อไปได้เวลาหม่ำๆครับ ร้านในเกาะเมืองอยุธยาผมได้กินมาหลายร้านก็จริง แต่ร้านที่กินบ่อยและกินเมนูหลากหลายพอจะเอามาแนะนำได้ก็มีรายนามดังต่อไปนี้...
ริมถนนป่ามะพร้าว มีร้านอร่อยเรียงรายอยู่มากมาย วิธีเข้าถนนง่ายสุดก็เข้าเส้นอู่ทองวนรอบเกาะเมืองนั่นละครับ ระหว่างตลาดหัวรอกับตลาดเจ้าพรหมมีดับเพลิงอยู่ ถนนป่ามะพร้าวจะตรงกับดับเพลิงพอดีก็เลี้ยวเข้ามาเลย ร้านแรกที่จะแนะนำคือหมูสะเต๊ะเฮียแกละ เจ้าดังของอยุธยาที่บ้านผมซื้อกินเกือบทุกครั้งที่มาเชงเม้งตั้งแต่เด็กจนถึงทุกวันนี้ มีหมูสะเต๊ะ ไส้สะเต๊ะ และตับสะเต๊ะ จุดขายคือไส้กับตับที่ร้านอื่นไม่ค่อยมีนี่แหละ น้ำสะเต๊ะก็อร่อยครับ ขายไม้ละ 6 บาท พระเทพเคยมาชิมและเชิญไปจัดอาหารที่โรงแรมแคนทารีตรงทางเข้าเกาะเมืองด้วยนะครับ (ไม่รีวิวให้ดาวนะครับ ไม่ใช่ร้านนั่งกิน .....ถึงเขาจะมีโต๊ะให้นั่งคอยหมูสะเต๊ะก็เถอะ)
ถัดมาคือร้านอาจิวอาหารทะเล เป็นร้านอาหารตามสั่ง มีเมนูผัดไทย ผัดซีอิ๊ว ราดหน้า สุกี้แห้ง และอาหารตามสั่งอื่นๆ ที่โด่งดังคือเมนูเนื้อผัดใบมะกรูด เอาเนื้อผัดกับพริกขี้หนูดำ ใส่กระเทียม น้ำมันหอย และเครื่องปรุงอื่นๆ แล้วใส่ใบมะกรูดอ่อนๆซอยลงไป หอมอร่อยเข้มข้นครับ
ใกล้กันมีร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อนายเลี๊ยก ถึงเครื่องในจะไม่หลากหลายเท่าก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้าดังๆแถวราชวัตรหรือกอเต็กเชียง แต่เนื้อตุ๋นกับเอ็นตุ๋นของร้านนี้... เปื่อยมาก! อร่อยมาก!! ไม่ได้กินสัมผัสเนื้อที่ตัดขาดง่ายๆขนาดนี้มานานแล้ว ที่เด็ดอีกอย่างคือน้ำจิ้มพริกดำคั่วที่หอมและเผ็ดได้ใจ ใส่ก๋วยเตี๋ยวนิดหน่อยอร่อยกำลังดี ก๋วยเตี๋ยว 40 เกาเหลา 50 สำหรับก๋วยเตี๋ยวเนื้อถือว่าไม่แพงครับ
ไหนๆก็เข้ามาในเกาะเมืองแล้วมานั่งร้านชิมบรรยากาศริมน้ำบ้าง ก๋วยเตี๋ยวเรือห้อยขา อยู่ตรงข้ามโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาครับ ที่จอดรถเข้ายากสักหน่อย กินหลักสิบวิวหลักล้านครับร้านนี้เพื่อนบอกไว้ว่าจะเห็นวิวริมน้ำตรงข้ามวัดพุทไธสวรรย์ที่สวยงาม แต่เอาจริงๆก็ไม่ได้ว้าวกะวิวมันเท่าไหร่ ร้านมันอยู่ตรงข้ามโรงเรียน ส่วนวัดพุทไธสวรรย์อยู่เยื้องไปไกลเลย ร้านนี้มีก๋วยเตี๋ยวเรือ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ลูกชิ้น หมูสะเต๊ะ ก๋วยเตี๋ยวเรือชามละ 15 บาท แต่ก็น้อยสมราคาจริงๆครับ กินสองคำหมด 15 บาทที่อื่นให้เยอะกว่านี้ รสชาติกลางๆ แต่ต้มยำไข่มะตูมใช้ได้นะ เทียบกับร้านก๋วยเตี๋ยวทั่วๆไปถือว่าเสิร์ฟช้าไปหน่อยครับ ไม่เป็นไร ระหว่างรอชมวิวโรงเรียนไปเพลินๆ~
อยุธยามีก๋วยเตี๋ยวเรือมากมายหลายร้านจริงๆครับ เป็นดินแดนแห่งก๋วยเตี๋ยวเรือ แต่ผมก็บอกไม่ถูกว่าก๋วยเตี๋ยวเรือที่อร่อยที่สุดมันคือเจ้าไหน (แต่ถ้าก๋วยเตี๋ยวเนื้อน่ะนายเลี๊ยกแบบชัวร์ๆ) ร้านที่ที่บ้านเคยพามากินแล้วใช้ได้ก็มีก๋วยเตี๋ยวเรือคลองสระบัว อยู่เลยก๋วยเตี๋ยวห้อยขามาสัก 700 เมตร รสชาติเผ็ดตามสไตล์ก๋วยเตี๋ยวเรืออยุธยา แต่อร่อยครับ ชามละ 15 บาท กินสองชามอิ่มกำลังดี มีผัดไทยและหมูสะเต๊ะด้วยนะ แต่ที่อร่อยเด่นออกมาเลยเห็นจะเป็นลูกชิ้นปิ้งของแผงลอยหน้าร้าน คนละเจ้าแต่สั่งมากินในร้านได้
ร้านระดับภัตตาคารริมน้ำก็เยอะนะครับ ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์คนแน่นกันทุกร้านเลย ร้านเก่าแก่ที่โด่งดังก็มีแพกรุงเก่า แต่หลังๆไปกินไม่ค่อยอร่อยแล้ว อาหารก็แพงเว่อร์ บริการก็ต่ำตมเหมือนลูกค้าเป็นอากาศธาตุ พี่ๆหลายคนเห็นเหมือนกันเลยเลิกกินมาหลายปีแล้วครับ
ร้านที่ชอบอย่างคุ้มกรุงศรีก็เปลี่ยนเจ้าของไปแล้ว เปิดใหม่ในชื่อเดอรีวาอโยธยา ปีใหม่ปีนี้กินเลี้ยงหน่วยงานไปจัดที่ร้านนี้ หลายๆเมนูรสชาติเหมือนเดิมเลยครับ สงสัยพ่อครัวยังเป็นคนเดิม เขาทำริมน้ำให้ดูดีขึ้น ไม่รกร้างแบบแต่ก่อน (ไม่นะ! ผมชอบความรกร้าง!) หน้าร้านก็ทุบกำแพงออกให้โล่ง คนจะได้รู้ว่าร้านเปิดอยู่เฟ้ย (ใช่แล้ว! นี่คือปัญหาใหญ่ที่สุดของคุ้มกรุงศรีเลย คนไม่เข้าเพราะคิดว่ามันปิด!) ร้านอยู่ริมน้ำฝั่งตรงข้ามโบสถ์เซนต์โยเซฟครับ แต่ในรูปบนสุดเป็นสมัยที่ยังเป็นคุ้มกรุงศรีอยู่นะ (เดอรีวาดันถ่ายไว้แต่กับข้าว)
จบอาหารแล้วไปต่อของหวานกัน มาอยุธยาก็ต้องกินโรตี!! ....ซึ่งแนะนำอาบีดีนไปแล้วข้างบน อันที่จริงกินเจ้าไหนก็ไม่หนีกันเท่าไหร่นะครับ นอกจากโรตีขนมอย่างอื่นก็มีนะนายจ๋า!! มีร้านบ้านข้าวหนม อยู่ริมถนนอู่ทองฝั่งตรงข้ามแม่น้ำถ้ามาจากด้านตะวันออกก็เลยป้อมเพชรมา 400 เมตร ขายขนมไทยอร่อยๆหลากหลาย ชอบสังขยาฟักทอง กับขนมทองเอก แต่เคยไปซื้อหนเดียว ไม่ได้ถ่ายรูปด้วยครับ มาร้านเบเกอรี่ร้านนี้ดีกว่า ....Cafe Kantary อยู่หน้าโรงแรมแคนทารี่ทางเข้าเกาะเมืองอยุธยาเลยครับ จอดรถหน้าร้านเบเกอรี่แล้วเข้ามาช้อปขนมได้เลย ไม่ต้องพักโรงแรมก็ได้ครับ อร่อยทั้งน้ำและขนม ราคาก็ตามเรตขนมโรงแรมเลย อันละ 100 อัพอะเธอว์
หมดแล้วครับ อร่อยไหม? เอ้ย! ได้ชมโบราณสถานทั่วเกาะเมืองจุใจกันไปถ้วนหน้านะครับ บล็อกนี้คงเป็นบล็อกสุดท้ายของปีแล้ว ใช้พลังกับการเขียนไปมาก เจ้าของบล็อกขอหลบไปชาร์จพลัง เจอกันอีกทีปีหน้าเดี๋ยวมาต่ออยุธยาให้จบครับ (อีก 7 บล็อกได้)
Create Date : 27 ธันวาคม 2560 |
Last Update : 27 ธันวาคม 2560 15:56:33 น. |
|
94 comments
|
Counter : 8697 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณสาวไกด์ใจซื่อ, คุณอุ้มสี, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณบาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน, คุณmastana, คุณhaiku, คุณtoor36, คุณKavanich96, คุณกะว่าก๋า, คุณmambymam, คุณmoresaw, คุณNaiKonDin, คุณSweet_pills, คุณtuk-tuk@korat, คุณRinsa Yoyolive, คุณmcayenne94, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณThe Kop Civil, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณJinnyTent, คุณSai Eeuu, คุณTui Laksi, คุณสองแผ่นดิน, คุณRain_sk, คุณที่เห็นและเป็นมา, คุณโอพีย์, คุณnewyorknurse, คุณmariabamboo |
โดย: sawkitty วันที่: 27 ธันวาคม 2560 เวลา:17:07:35 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 27 ธันวาคม 2560 เวลา:19:30:01 น. |
|
|
|
โดย: mastana วันที่: 27 ธันวาคม 2560 เวลา:23:22:38 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 27 ธันวาคม 2560 เวลา:23:25:07 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 28 ธันวาคม 2560 เวลา:0:42:43 น. |
|
|
|
โดย: Kavanich96 วันที่: 28 ธันวาคม 2560 เวลา:4:00:38 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 ธันวาคม 2560 เวลา:6:17:33 น. |
|
|
|
โดย: mambymam วันที่: 28 ธันวาคม 2560 เวลา:7:03:22 น. |
|
|
|
โดย: moresaw วันที่: 28 ธันวาคม 2560 เวลา:7:08:11 น. |
|
|
|
โดย: NaiKonDin วันที่: 28 ธันวาคม 2560 เวลา:7:37:47 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 28 ธันวาคม 2560 เวลา:8:17:09 น. |
|
|
|
โดย: mcayenne94 วันที่: 28 ธันวาคม 2560 เวลา:13:01:40 น. |
|
|
|
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 28 ธันวาคม 2560 เวลา:13:02:52 น. |
|
|
|
โดย: JinnyTent วันที่: 28 ธันวาคม 2560 เวลา:20:29:35 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 ธันวาคม 2560 เวลา:21:29:49 น. |
|
|
|
โดย: Sai Eeuu วันที่: 28 ธันวาคม 2560 เวลา:21:46:15 น. |
|
|
|
โดย: Tui Laksi วันที่: 28 ธันวาคม 2560 เวลา:22:37:49 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 28 ธันวาคม 2560 เวลา:23:03:14 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 ธันวาคม 2560 เวลา:6:30:00 น. |
|
|
|
โดย: mastana วันที่: 29 ธันวาคม 2560 เวลา:10:01:20 น. |
|
|
|
โดย: mastana วันที่: 29 ธันวาคม 2560 เวลา:10:26:34 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 29 ธันวาคม 2560 เวลา:22:20:11 น. |
|
|
|
โดย: เมษาโชดดี วันที่: 30 ธันวาคม 2560 เวลา:3:33:33 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 ธันวาคม 2560 เวลา:6:34:20 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 30 ธันวาคม 2560 เวลา:7:05:19 น. |
|
|
|
โดย: mambymam วันที่: 30 ธันวาคม 2560 เวลา:7:06:50 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 ธันวาคม 2560 เวลา:21:14:33 น. |
|
|
|
โดย: mariabamboo วันที่: 31 ธันวาคม 2560 เวลา:1:19:10 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 31 ธันวาคม 2560 เวลา:6:42:31 น. |
|
|
|
โดย: haiku วันที่: 31 ธันวาคม 2560 เวลา:21:37:34 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 31 ธันวาคม 2560 เวลา:23:41:42 น. |
|
|
|
โดย: Tui Laksi วันที่: 1 มกราคม 2561 เวลา:6:28:52 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 มกราคม 2561 เวลา:7:54:21 น. |
|
|
|
โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 1 มกราคม 2561 เวลา:21:25:15 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 3 มกราคม 2561 เวลา:8:20:27 น. |
|
|
|
โดย: Tui Laksi วันที่: 3 มกราคม 2561 เวลา:23:49:10 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 3 มกราคม 2561 เวลา:23:57:23 น. |
|
|
|
โดย: lovereason วันที่: 4 มกราคม 2561 เวลา:0:09:43 น. |
|
|
|
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 4 มกราคม 2561 เวลา:6:17:28 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 มกราคม 2561 เวลา:6:46:12 น. |
|
|
|
โดย: mariabamboo วันที่: 4 มกราคม 2561 เวลา:11:33:25 น. |
|
|
|
โดย: kae+aoe วันที่: 4 มกราคม 2561 เวลา:13:11:04 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 4 มกราคม 2561 เวลา:16:33:41 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 4 มกราคม 2561 เวลา:20:43:14 น. |
|
|
|
โดย: JinnyTent วันที่: 4 มกราคม 2561 เวลา:21:09:55 น. |
|
|
|
โดย: JinnyTent วันที่: 4 มกราคม 2561 เวลา:21:11:16 น. |
|
|
|
โดย: sawkitty วันที่: 4 มกราคม 2561 เวลา:22:14:51 น. |
|
|
|
โดย: mambymam วันที่: 5 มกราคม 2561 เวลา:6:32:25 น. |
|
|
|
โดย: kae+aoe วันที่: 5 มกราคม 2561 เวลา:13:54:54 น. |
|
|
|
โดย: mcayenne94 วันที่: 5 มกราคม 2561 เวลา:18:09:37 น. |
|
|
|
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 5 มกราคม 2561 เวลา:21:45:51 น. |
|
|
|
โดย: NENE77 วันที่: 5 มกราคม 2561 เวลา:23:05:56 น. |
|
|
|
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 6 มกราคม 2561 เวลา:4:38:20 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 6 มกราคม 2561 เวลา:19:22:00 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 8 มกราคม 2561 เวลา:11:48:44 น. |
|
|
|
โดย: อาคุงกล่อง วันที่: 9 มกราคม 2561 เวลา:17:13:21 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 9 มกราคม 2561 เวลา:20:58:19 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 10 มกราคม 2561 เวลา:11:24:22 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 10 มกราคม 2561 เวลา:11:26:45 น. |
|
|
|
โดย: JinnyTent วันที่: 10 มกราคม 2561 เวลา:13:28:26 น. |
|
|
|
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 10 มกราคม 2561 เวลา:19:12:55 น. |
|
|
|
โดย: มิน IP: 58.9.138.54 วันที่: 17 เมษายน 2563 เวลา:14:48:39 น. |
|
|
|
|
|
|
|