|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
|
|
|
|
ลพบุรีในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์
หลังจากหนก่อนพาเที่ยวลพบุรีในยุคละโว้อันแสนอดีตกาลนานไกลไปแล้ว วันนี้ขยับเข้ามาเที่ยวลพบุรีในยุคพระนารายณ์กันบ้างครับ หลังจากย้ายศูนย์กลางความเจริญของแถบนี้จากลพบุรีมาที่อโยธยาและอยุธยาแล้วเมืองลพบุรีก็ถูกลดความสำคัญลงไป ทำหน้าที่เป็นเมืองลูกหลวงป้องกันราชธานี และกลายเป็นหัวเมืองชั้นในในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ จนกระทั่งในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ช่วงปลายกรุงศรีอยุธยาท่านได้สร้างเมืองลพบุรีขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง เพื่อใช้เป็นพระราชฐานชั่วคราว
สมเด็จพระนารายณ์ได้รับการขนานนามเป็นหนึ่งในมหาราชของไทย ซึ่งการแต่งตั้งมหาราชของไทยส่วนใหญ่มาจากการตีความประวัติศาสตร์ของหลวงวิจิตรช่วงจอมพล ป. และตามที่ทราบกันว่าประวัติศาสตร์ฉบับนั้นที่เราใช้เป็นเนื้อหาของบทเรียนส่วนมากเป็นประวัติศาสตร์ชาตินิยมที่เน้นการสร้างชาติมากกว่าข้อเท็จจริง (มันมีความจำเป็นในช่วงเวลาหนึ่งๆ และควรถูกเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามบริบทของสังคมที่เปลี่ยนไปมากแล้ว) เอาจริงๆผมก็ไม่ได้สนใจไยดีกับตำแหน่งมหาราชของไทยที่แต่งตั้งกันจนเฟ้อเป็นซูเปอร์ไซย่า และหลายพระองค์ก็มีจุดให้ขัดข้องใจว่าเอาขึ้นมาทำไม ในขณะที่กษัตริย์อีกหลายพระองค์ที่สร้างคุณูปการให้แผ่นดินในช่วงสมัยของตนเองมากมายแต่กลับไม่ได้รับการยกย่องเท่าที่ควร และคำว่า "มหาราช" ของไทย คงเอาไปเทียบกับกษัตริย์ที่มีคำลงท้ายว่า "The Great" ของต่างชาติอย่างอเล็กซานเดอร์หรือฟาโรห์รามเสสที่สองไม่ได้นะครับ
รัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ (ครองราชย์ พ.ศ.2199 - 2231) เริ่มต้นและจบลงอย่างไม่สวยงาม เป็นช่วงเวลาที่สร้างความเจริญรุ่งเรืองมาก และก็สร้างความขัดแย้งมาก พระนารายณ์เป็นโอรสองค์เล็กของพระเจ้าปราสาททอง กษัตริย์ผู้ล้มล้างราชวงศ์สุโขทัยของพระนเรศที่กอบกู้เอกราชหลังเสียกรุงครั้งที่ 1 กลับมา หลังพระเจ้าปราสาททองสวรรคตแล้วพระนารายณ์ได้จับกษัตริย์องค์ต่อมาคือสมเด็จเจ้าฟ้าชัย (ลูกคนโตของพระเจ้าปราสาททอง) และพระศรีสุธรรมราชา (น้องชายของพระเจ้าปราสาททอง) สำเร็จโทษแล้วขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ที่ 4 ของราชวงศ์ปราสาททอง จากการล้างบางขุนนางที่ภักดีต่อเจ้านายองค์ก่อนอย่างต่อเนื่องทำให้ราชสำนักขาดคนไทยมีฝีมือ ผนวกกับเปอร์เซียได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติสู้รบกับพระศรีสุธรรมราชา กับฝรั่งเศสที่เข้ามาหนุนอำนาจพระนารายณ์อีก ต่างชาติเลยขึ้นมามีบทบาทในรัชกาลนี้มาก เช่น เจ้าพระยาวิชาเยนทร์หรือคอนสแตนตินฟอลคอน (ชาวกรีกแต่มาสานสัมพันธ์ให้ฝรั่งเศส) หรือพระยารามเดโช (ชาวเปอร์เซีย) ...แล้วก็เกิดความวุ่นวายถึงขั้นถูกพระเพทราชาโค่นบัลลังก์ในท้ายที่สุด
|
สมเด็จพระนารายณ์
| ป้อมประตูชัย ทางตอนใต้ของเมืองลพบุรี
เมืองลพบุรีสมัยพระนารายณ์นี้อยู่ทางตะวันตกของวงเวียนสะแก้วทับกับเมืองละโว้เดิมครับ โบราณสถานจะกระจุกกันอยู่กลางเมืองเลย เที่ยวง่าย ตั้งต้นจากศาลพระกาฬก็ได้ กำแพงเมืองลพบุรีถูกสร้างไว้บนคันดินเดิมของละโว้ ล้อมด้วยคลองคูเมืองและมีแม่น้ำลพบุรีเป็นปราการธรรมชาติ ทั่วเมืองจะเต็มไปด้วยซากโบราณสมัยพระนารายณ์ เช่น ด้านขวานี้คือปล่องระบายแรงดันน้ำประปาโบราณครับ |
| แผนที่เมืองลพบุรีจากแผนที่ทางหลวง ESRI ปี 2558 (Click เพื่อชมภาพขยาย) เมืองลพบุรีเก่าอยู่ทางตะวันตก เมืองใหม่อยู่รอบวงเวียนสระแก้วตอนกลาง และอนุสาวรีย์พระนารายณ์ทางตะวันออก
ตำแหน่งโบราณสถานที่กระจายตัวอยู่ในเมืองลพบุรีเก่า
กลางเมืองลพบุรีมีทางรถไฟพาดผ่าน จากศาลพระกาฬไปวัดนครโกษากับวัดอินทราถ้าขี้เกียจขับรถก็เดินตัดทางรถไฟเอาครับ ไม่ไกลมาก วัดอินทรา เป็นวัดเล็กๆที่ถูกสร้างในสมัยพระนารายณ์ อยู่ติดกับทางรถไฟฝั่งตรงข้ามศาลพระกาฬครับ
อังกฤษเป็นประเทศที่นำเทคโนโลยีรถไฟมาสู่สยามตั้งแต่สมัย ร.4 แต่กว่าจะรอเศรษฐกิจกระเตื้องจนสร้างได้ก็สมัย ร.5 ทางรถไฟสายเหนือเป็นเส้นแรกๆที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยเส้นทางจากชุมทางภาชีถึงจังหวัดลพบุรีถูกสร้างในปี พ.ศ.2444 ก่อนจะทยอยสร้างขึ้นไปเรื่อยๆจนสุดที่เชียงใหม่ในปี พ.ศ.2469 ตรงข้ามวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเป็นสถานีรถไฟลพบุรีครับ ผมมาเที่ยวถ่ายรูปวัดพระศรีรัตนมหาธาตุสามรอบก็จอดรถที่ สถานีรถไฟลพบุรี นี่แหละ
ไอติมขนมปัง อร่อยนะ เหมาะกินตอนอากาศร้อนๆมาก ลพบุรีไปเมื่อไหร่ก็ร้อนแดดแรงจริงๆ
ติดกับสถานีรถไฟคือ วัดบันไดหิน สร้างในสมัยพระนารายณ์เช่นกัน มีเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมเป็นประธาน
เรียกน้ำย่อยเที่ยวสองวัดเล็กๆเสร็จแล้วไปชมโบราณสถานที่อลังการที่สุดของลพบุรีกันครับ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ ที่สร้างขึ้นเป็นพระราชวังของสมเด็จพระนารายณ์ในปี พ.ศ.2209 และมีความงดงามจนได้รับยกย่องว่าเป็นแวร์ซายน์แห่งลพบุรี และเป็นสถานที่ในการก่อการยึดอำนาจของพระเพทราชาด้วย
ก่อนเที่ยวโบราณสถานขอเล่าเรื่องราวในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์สักหน่อยครับ ช่วงต้นรัชกาลสยามสามารถกำราบพม่าลงได้ในช่วงที่เกิดความวุ่นวายภายในพม่าเอง ทำให้รัชกาลนี้ห่างเหินศึกจากภายนอก ยามสงบเราก็รบกันเอง... ไม่ใช่สิ! ยามสงบ การเจริญสัมพันธไมตรีการค้าขายก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ และเริ่มมีการติดต่อค้าขายกับฝรั่งเศสใน พ.ศ.2205 เป็นชาติยุโรปชาติที่ 4 ที่มาติดต่อกับอยุธยาต่อจากโปรตุเกส (พ.ศ.2061) ฮอลันดา (พ.ศ.2141) และอังกฤษ (พ.ศ.2155) ว่ากันว่าช่วงนั้นเกิดกรณีพิพาทกับฮอลันดาเพราะไทยจะไปค้าขายแถบเอเชียตะวันออกแข่งกับฮอลันดา พระนารายณ์จึงต้องสร้างราชธานีสำรองที่ลพบุรี และสร้างป้อมที่ธนบุรีและนนทบุรีเป็นปราการป้องกันข้าศึกทางทะเล และกระชับสัมพันธ์กับฝรั่งเศสเป็นตัวช่วยทานอำนาจฮอลันดาไว้ด้วย
ประวัติศาสตร์ในยุคสมัยนี้ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดเพราะที่ปรึกษาชาวต่างชาติคงเก่งเรื่อง KM มากกว่าคนไทยเลยเหลือหลักฐานให้ศึกษาจำนวนมาก โดยเฉพาะที่เป็นภาษาฝรั่งเศส แต่ก็ทำให้การเมืองต่างๆถูกบิดเบือนให้ไปเข้าทางฝรั่งเศสด้วย อันที่จริงแม้จะขัดผลประโยชน์ทางการค้ากัน แต่ฮอลันดาก็ยังมีสัมพันธ์อันดีกับอยุธยา ในบันทึกฝั่งฮอลันดากล่าวว่ารัชสมัยของพระนารายณ์เป็น "ยุคแห่งความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและฮอลันดา" แม้แต่รูปสลักงามๆที่เก็บในพระนารายณ์ราชนิเวศน์ก็เป็นฝีมือช่างชาวดัชท์แทบทั้งสิ้น ส่วนความขัดแย้งทางการค้านั้นสามารถยุติลงในช่วงเวลาอันสั้น และเงื่อนไขสัญญาต่างๆที่ฮอลันดายื่นให้นั้นหลักๆเป็นไปเพื่อกีดกันคนจีนที่มีปัญหาเรื่องโจรสลัดจีนก่อสงครามกับฮอลันดาอยู่ในช่วงนั้นมากกว่า
และการหันเข้าหาฝรั่งเศสจนแทบจะยกเมืองให้ฝรั่งก็พาราชวงศ์ปราสาททองไปสู่หายนะอย่างที่ทราบกัน นักประวัติศาสตร์พยายามยกให้เป็นความผิดของฟอลคอนแต่เพียงผู้เดียว ส่วนพระนารายณ์เป็นแค่เหยื่อของเกมการเมือง .....แต่ถ้าอธิบายแบบนี้แล้วก็ยิ่งสงสัยในความมีพระปรีชาสามารถของพระนารายณ์ที่อุตส่าห์ยกให้เป็นมหาราชซะอีก มีผู้อธิบายไว้ว่าการที่พระนารายณ์จำต้องเข้าหาฝรั่งเศสเป็นความจำเป็นการในรับมือศึกภายในของอยุธยาต่างหาก! จะว่าไปแล้วรัชสมัยนี้เหตุการณ์ไม่ได้สงบสุขร่มเย็นเลยนะครับ - พระนารายณ์พยายามสร้างกองกำลังขึ้นมาต้านทานกลุ่มก้อนอำนาจที่มีอยู่ในราชอาณาจักร เช่นฮอลันดาและแขกเปอร์เซียมีฐานอำนาจอยู่ในประเทศไทย คณะสงฆ์ที่มีบทบาทในการปฏิวัติหลายครั้งหลายครา หรือพวกขุนนาง
- หลังความขัดแย้งทางการค้ากับฮอลันดา พระนารายณ์ต้องการพันธมิตรที่ไม่มีฐานอำนาจ และฟอลคอนก็ส่งเสริมให้พระนารายณ์ดึงฝรั่งเศสเข้าบ้าน และความแตกร้าวกับแขกมุสลิมที่ก่อกบฏแขกมักกะสันทำให้พระนารายณ์ยิ่งยึดติดกับฝรั่งเศสมากขึ้นไปอีก
- พระนารายณ์พยายามเข้าหาพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ถึงกับยกเมืองๆหนึ่งให้ฝรั่งเศส (เมืองยะโฮร์)
- มีการแต่งตั้งชาวต่างชาติมารับตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญๆมากจนเกิดความไม่พอใจในหมู่ขุนนางไทย โดยเฉพาะการนำกองทหารฝรั่งเศสเข้ามาในประเทศและปฏิบัติต่อชาวบ้านเหมือนเชลยด้วยความเป็นอภิสิทธิ์ชน กองทหารส่วนหนึ่งประจำอยู่ที่บางกอก-ธนบุรีซึ่งเป็นชัยภูมิที่สำคัญในการก่อการยึดอำนาจหลายครั้ง
- พระนารายณ์อุปถัมภ์ศาสนาคริสต์มากจนเกิดความไม่พอใจในหมู่คณะสงฆ์
- แม้แต่ในหมู่คริสต์ศาสนิกชนเองอย่างชาวโปรตุเกสที่เคยมีบทบาทมากแต่ก่อนก็ไม่พอใจพระนารายณ์ที่เอื้อประโยชน์ให้แต่ชาวฝรั่งเศส
- อังกฤษไม่พอใจที่พระนารายณ์โปรฝรั่งเศสจนถึงขั้นประกาศสงครามกันในปี พ.ศ.2230
- การผูกขาดการค้าอยู่ที่พระคลังทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านลำบากยิ่งขึ้น คู่ค้าต่างชาติเริ่มเบือนหน้าหนีไปค้าขายที่อื่น
- ฟอลคอนใช้อำนาจทางการค้ากอบโกยผลประโยชน์ให้ตัวเอง และเก็บภาษีหนักเพื่อเอาเงินเข้าคลัง ทำให้ผู้คนเกลียดฟอลคอนมาก แม้จะมีผู้ร้องเรียนพระนารายณ์ก็ไม่รับฟัง และสั่งประหารชีวิตผู้ร้องเรียนเสียอีก
- การเสด็จออกนอกวังของพระนารายณ์ไปล่าสัตว์สร้างความลำบากให้ชาวบ้านที่ต้องเข้าป่าครั้งละนับหมื่นคน และล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
ซึ่งก็นำไปสู่ความไม่พอใจของหลายฝ่ายจนเกิดการโค่นล้มราชวงศ์ไปในที่สุด พระเพทราชาขุนนางสมุหคชบาลและออกหลวงสรศักดิ์ (ต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าเสือ) ที่ไม่ชอบฝรั่งโดยเฉพาะฟอลคอนได้ปลุกระดมคณะสงฆ์และชาวบ้านให้โค่นบัลลังก์ เหตุการณ์ประทุขึ้นช่วงปลายรัชกาลที่พระนารายณ์ประชวรและไปพำนักที่พระนารายณ์ราชนิเวศน์ หลายกลุ่มเตรียมก่อการกำจัดคู่แข่งทางการเมือง แต่ก็เป็นกลุ่มของพระเพทราชาที่ทำสำเร็จ โดยได้ทำการปลิดชีพ candidate ที่จะขึ้นครองราชย์อย่างพระปีย์ รวมถึงคนสนิทอย่างฟอลคอนทิ้ง พอทราบข่าวพระนารายณ์ที่ประชวรอยู่แล้วก็แค้นใจจนกระอักเลือดสวรรคตไป จากนั้นคณะปฏิวัติก็กำจัดเจ้าฟ้าอภัยทศที่มีสิทธิ์ได้ขึ้นครองราชย์ทิ้งอีกคน แล้วก็ไล่กำจัดทหารฝรั่งเศสที่บางกอก มะริด และตะนาวศรี จนหมดบทบาทไปจากการเมืองไทย นับว่าเป็นน้อยครั้งที่ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของยุคที่กษัตริย์ปกครอง แต่พอพระเพทราชาขึ้นครองราชย์ตั้งราชวงศ์บ้านพลูหลวงขึ้นมา ชาวบ้านก็ถูกตัดขาดจากการเมืองกลับไปเป็นไพร่เป็นทาสแบบเดิม (ทำไมผมคุ้นๆธีมแบบนี้?)
เข้ามาเขตพระราชฐานชั้นนอก จะพบหมู่ตึกสิบสองท้องพระคลังหรือพระคลังศุภรัตน์ ใช้เป็นที่เก็บข้าวของ
ตึกเลี้ยงต้อนรับแขกเมือง ล้อมด้วยน้ำพุ ใช้รับรองทูตจากประเทศต่างๆ อันได้แก่ฝรั่งเศส ฝรั่งเศส และฝรั่งเศส (ล้อเล่น)
ด้านซ้ายมือติดกับรั้วคือตึกพระเจ้าเหา เป็นที่ๆพระเพทราชาใช้ก่อการยึดอำนาจ เหาเป็นภาษาเขมรแปลว่าเรียก เพราะตึกนี้เป็นที่ขุนนางเรียกประชุม สมัยก่อนเวลาพูดถึงเรื่องอะไรเก่าๆจะบอกว่ามีมาแต่ครั้งตึกพระเจ้าเหา (ซึ่งพระเพทราชาเคยบอกว่าระเบียบปฏิบัติจะแตกต่างจากเดิมไปมากหลังการปฏิวัติ) แล้วก็กร่อนเป็นคำติดปากมาจนถึงยุคปัจจุบันเมื่อพูดถึงอะไรเก่าๆ เช่น "หัวบล็อกของชีริวเนี่ยไม่รู้จักเปลี่ยนซะที ใช้มาตั้งแต่ยุคพระเจ้าเหาแล้ว!"
ที่นี่มีการนำเทคโนโลยีประปาจากฝรั่งเศสและอิตาลีมาใช้ มีท่อประปาดินเผาทดน้ำจากอ่างเก็บน้ำซับเหล็กเข้ามายังอ่างเก็บน้ำที่นี่ครับ
หน้ากำแพงกั้นเขตพระราชฐานชั้นกลางมีโรงช้าง 10 โรง เอาไว้ใส่ช้างโรงละเชือก
ผ่านกำแพงเข้ามาในเขตพระราชฐานชั้นกลางครับ จะพบพระที่นั่งจันทรพิศาลสร้างในสมัยพระนารายณ์ ทับลงบนพระที่นั่งเดิมที่สร้างสมัยพระราเมศวรเสด็จขึ้นมาครองลพบุรี แล้วก็ถูกสร้างใหม่ทับอีกทีในสมัย ร.4
ร.4 ได้ฟื้นฟูที่นี่ขึ้นอีกครั้งเป็นที่ประทับและยกลพบุรีเป็นราชธานีสำรองเพื่อเตรียมรับมือการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ร.4 ให้ชื่อพระราชวังแห่งนี้ว่าพระนารายณ์ราชนิเวศน์ โดยสร้างหมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฏขึ้นในเขตพระราชฐานชั้นกลาง ประกอบด้วย 4 พระที่นั่งคือ พิมานมงกุฏ วิสุทธิวินิจฉัย ไชยศาสตรากร อักษรศาสตราคม เป็นตึกแบบฝรั่งเลย อีกกระแสหนึ่งก็บอกว่า ร.4 มาสร้างวังที่นี่เพราะทรงหวาดระแวงอิทธิพลของพระปิ่นเกล้าที่มาสร้างวังที่บ้านสีเทา อ.แก่งคอยมากกว่า แต่ ร.4 มาประทับได้แค่ปีเดียว พอพระปิ่นเกล้าสวรรคตในปี พ.ศ.2408 ก็เลิกใช้วังนี้ครับ
4 พระที่นั่งนี้รวมถึงพระที่นั่งจันทรพิศาลปัจจุบันถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ จัดแสดงโบราณวัตถุและประวัติความเป็นมาของลพบุรีตั้งแต่ยุคหิน มีโบราณวัตถุจากเมืองซับจำปา และเมืองลพบุรีตั้งแต่สมัยทวารวดี ลพบุรี จนถึงสมัยอยุธยา รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ของ ร.4 ช่วงที่เสด็จมาพำนักที่นี่ด้วย
ของชิ้นสำคัญในพิพิธภัณฑ์คือเหรียญนี้ครับ เหรียญที่ระลึกที่สถานเอกอัคราชทูตฝรั่งเศสมอบให้เมื่อวันที่ 15 พ.ค. พ.ศ.2530 ฉลองความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศสเนื่องในโอกาสครบรอบ 300 ปีที่ทูตสยามเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่พระราชวังแวร์ซายน์ในฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2229
อีกชิ้นก็คือสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสเรื่องการให้อภิสิทธิ์การค้าแก่บริษัทอีสต์อินเดียของฝรั่งเศส ให้เสรีภาพในการเผยแพร่คริสต์ศาสนา และให้สิทธิสภาพนอกอาณาเขต อันนี้เป็นสนธิสัญญาฉบับที่ 3 ลงนามที่เมืองลพบุรี วันที่ 10 ธ.ค. พ.ศ.2230
ด้านซ้ายของหมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฏคือพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท สมเด็จพระนารายณ์ใช้เป็นท้องพระโรงออกต้อนรับทูตและผู้เข้าเฝ้า (เหมือนพระที่นั่งสรรเพชญปราสาทของอยุธยา) ท้องพระโรงยกสูง มีประดับกระจกสีและทองคำงดงาม ....แต่ตอนนี้สภาพก็อย่างที่เห็นครับ
ที่ตั้งอยู่กลางพระที่นั่งคือแผ่นเหล็กภาพจำลองเมื่อครั้ง เชอวาเลีย เดอโชมองต์ ราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เดินทางมาเข้าเฝ้าพระนารายณ์ในปี พ.ศ.2228 ภาพพระนารายณ์รับราชทูตที่โด่งดังที่เห็นกันบ่อยๆก็คือเหตุการณ์เดียวกันครับ แต่การถวายพระราชสาส์นเกิดขึ้นที่อยุธยา พระที่นั่งในภาพน่าจะเป็นพระที่นั่งสรรเพชญปราสาทไม่ใช่พระที่นั่งนี้นะครับ (ป้ายใต้แผ่นเหล็กก็ระบุว่าถวายที่อยุธยาตรงกับหลักฐานของฝรั่งเศส) ตอนนั้นที่ประทับกษัตริย์อยู่สูงเกินเอื้อมผิดกับที่ตกลง ฟอลคอนก้มหัวขอร้องให้เอื้อมเอาสาส์นส่งให้กษัตริย์ แต่เชอวาเลียให้พระนารายณ์ก้มลงมาหยิบเอง (ในครั้งนั้นพระนารายณ์หัวเราะไม่ได้เอาเรื่องอะไร)
เขตพระราชฐานชั้นในมีพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์อยู่ในสวนที่ร่มรื่นย์มีสระน้ำขนาดใหญ่สี่สระสำหรับเล่นน้ำ (เหมือนพระที่นั่งบรรยงรัตนาสน์ของอยุธยา) แต่สภาพตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้วครับ หลังพระนารายณ์สวรรคตที่นี่ในปี พ.ศ.2231 พระที่นั่งก็ถูกทิ้งร้าง และ ร.3 ได้ขนศิลาแลงจากพระที่นั่งองค์นี้ไปสร้างภูเขาทองวัดสระเกศที่กรุงเทพจนเหลือแต่ฐาน
ทางตะวันตกของเมืองติดกับแม่น้ำลพบุรีเป็นที่ตั้งของ ศาลลูกศร ที่สร้างโดยชาวจีนในตลาด ศาลนี้เป็นศาลหลักเมืองที่มีมานาน ไม่ทราบยุคที่ก่อตั้ง ตามตำนานลพบุรีจะผูกกับเรื่องราวของรามเกียรติ์ กล่าวกันว่าเมื่อพระรามเสร็จศึกกับทศกัณฐ์แล้วได้กลับไปครองเมืองอโยธยาและต้องการยกเมืองๆหนึ่งให้หนุมาน จึงได้แผลงศรออกไปตกที่ใดที่แห่งนั้นจะเกิดเป็นเมืองขึ้น และบริเวณที่ศรตกก็คือศาลลูกศรแห่งนี้เอง ไฟจากลูกศรได้ลุกท่วมจนดินสุกขาวเป็นดินสอพอง (สรุปว่าพระรามแม่งเผาป่า) พระอินทร์และพระวิษณุได้ช่วยกันสร้างเมืองขึ้นมาให้ชื่อว่าลพบุรี และพวกลิงๆในเมืองนี้ก็เป็นลูกหลานทหารของหนุมานนั่นเอง... ลูกศรของพระรามกลายเป็นหินสีเขียว ต้องมีน้ำหล่ออยู่ตลอด ไม่งั้นจะเกิดไฟท่วมแผ่นดิน ศาลเดิมถูกไฟไหม้วอดไปในปี พ.ศ.2511 (เพราะศรพระรามสินะ) ที่เห็นนี้สร้างขึ้นมาใหม่ครับ
วัดปืน อยู่ด้านหลังศาลลูกศร โดยคำว่าปืนมาจากศรพระราม คาดว่าสร้างในสมัยอยุธยาตอนต้นและได้รับการบูรณะสมัยพระนารายณ์
บ้านหลวงรับราชทูตหรือ บ้านวิชาเยนทร์ สร้างขึ้นในสมัยพระนารายณ์ เป็นที่พักของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ (ฟอลคอน) ที่ได้รับความไว้วางใจเป็นสมุหนายกในสมัยพระนารายณ์ ด้านในมีโบสถ์ของศาสนาคริสต์กับบ้านรับรองทูตจากต่างประเทศด้วย
คอนสแตนติน ฟอลคอน เป็นชาวกรีกที่เดินทางเข้าอยุธยาในฐานะพ่อค้า และเข้ารับราชการในตำแหน่งล่ามในราชสำนักของพระนารายณ์ ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการสร้างความสัมพันธ์กับต่างประเทศจนได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นถึงสมุหนายก ฟอลคอนเป็นผู้รับผิดชอบการจัดสรรกำลังทหารและได้สร้างป้อมปราการในเมืองสำคัญ เช่นป้อมวิไชยเยนทร์ที่ธนบุรี (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นป้อมวิชัยประสิทธิ์) ฟอลคอนเข้ามามีบทบาททางการเมืองมาก และเกิดความขัดแย้งในรัชสมัยนี้ตามที่เล่าไปเมื่อครู่ ราชวงศ์บ้านพลูหลวงจึงได้ก่อการโค่นล้มบังลังก์พระนารายณ์ ฟอลคอนถูกพระเจ้าเสือจับตัวได้ที่หน้าพระนารายณ์ราชนิเวศน์และถูกนำไปประหารชีวิตนอกเมืองที่ทะเลชุบศร
ภรรยาของฟอลคอนคือ มารี กีมาร์ (ท้าวทองกีบม้า) ที่ว่ากันว่าเป็นผู้ให้กำเนิดขนมไทยพวกทองหยิบทองหยอด ฝอยทอง แต่อันที่จริงขนมที่ว่าเข้ามาสยามตั้งแต่สมัยติดต่อสัมพันธ์กับโปรตุเกสช่วงแรกๆแล้วนะครับ
แล่นตามถนนรามเดโชข้ามคูเมืองออกมาสักพักจะพบ วัดสันเปาโล ที่นี่เป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์ก่อตั้งโดยบาทหลวงนิกายเยซูอิตจากฝรั่งเศส 12 รูป ที่ได้รับพระราชทานที่ดินจากพระนารายณ์ในปี พ.ศ.2228-2230 และยังมีหอดูดาวแห่งแรกของไทยด้วย คาดว่าชื่อวัดสันเปาโลเพี้ยนมาจากเซนต์ปอล หรือแซงเปาโลในภาษาฝรั่งเศส
จากซากตอนนี้ส่วนที่เป็นหอดูดาวเหลือแค่ผนัง เดิมเป็นอาคารแปดเหลี่ยมสูงสองชั้นนะครับ ด้านล่างนี่คือภาพวาดสีน้ำของวัดสันเปาโลที่คณะเยซูอิดมอบให้หอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ.2305
ที่สุดท้ายที่จะพาไปนี้อยู่ไกลจากที่อื่นพอสมควรครับ ออกไปนอกเมืองกัน จากวงเวียนสระแก้วขึ้นมาทางทิศเหนือ เข้าเส้น 3016 ข้ามคลองอนุศาสนนันท์มาประมาณ 1 กม. แล้วเลี้ยวเข้าทางหลวงชนบท ลบ. 3103 จะมาถึง พระที่นั่งเย็น (พระที่นั่งไกรสรสีหราช) เดิมเป็นพระที่นั่งมีน้ำล้อมเรียกว่าทะเลชุบศร แต่ตอนนี้น้ำแห้งหมดแล้ว แห้งแล้งกลายเป็นพระที่นั่งร้อนเลยครับ สร้างในสมัยพระนารายณ์เพื่อใช้พักผ่อนล่าสัตว์ และใช้เป็นที่ชมจันทรุปราคา (11 ธ.ค. พ.ศ.2228) ร่วมกับราชทูตจากฝรั่งเศส ทำให้ฝรั่งทึ่งกับวิชาดาราศาสตร์ของโลกตะวันออกที่คำนวณการเกิดจันทรุปราคาได้อย่างแม่นยำ... ทั้งที่เพิ่งจะสร้างหอดูดาวเป็นเมื่อย่อหน้าตะกี้นี้ และต่อมาพระที่นั่งถูกใช้เป็นที่ดูสุริยุปราคาด้วย (30 เม.ย. พ.ศ.2231) ซึ่งความเก่งในการคำนวณดวงดาวทั้งหลายก็มาจากโหราศาสตร์ขั้นเทพของไทยที่สืบทอดมายาวนานนี่แหละ
ผมชอบลพบุรีที่ถนนหลักทำเป็นวงเวียน แทบไม่เจอรถติดเลยครับ วงเวียนทางตะวันตกสุดของเมืองที่เราต้องเจอเมื่อขับขึ้นมาจากสระบุรีคือ อนุสาวรีย์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ผลงาน อ.ศิลป์ พีระศรี วงเวียนนี้มีขนาดใหญ่พอสมควร เข้าไปจอดรถเดินเที่ยวสวนหย่อมรอบๆได้เลย
จากอนุสาวรีย์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เลี้ยวมาทางตะวันตก ก่อนถึงตัวเมืองลพบุรีโบราณจะพบ วงเวียนสระแก้ว สร้างในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกฯ ทำเป็นรูปแท่งเทียนตั้งบนพานยักษ์ รอบๆสระแก้วเป็นเมืองใหม่ที่สร้างขึ้นในสมัยจอมพล ป. เกือบทั้งสิ้นครับ มีทั้ง รร.พิบูลวิทยาลัย โรงแรมทหารบก มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี โรงพยาบาลอานันทมหิดล ตึกเอราวัณ โรงภาพยนตร์ทหานบก (ทหารสมัยนั้นใช้ตัว น.หนู) ฯลฯ จอมพล ป. ต้องการสร้างลพบุรีเป็นศูนย์กลางทางการทหาร เลยวางผังเมืองลพบุรีใหม่และสร้างอาคารโดยเน้นประโยชน์ใช้สอยมากกว่าความสวยงาม สถาปัตยกรรมจะแตกต่างจากพวกอาคารโคโลเนี่ยลที่ชนชั้นสูงชอบสร้างกันในสมัยก่อนหน้านั้น จนลพบุรีกลายเป็นเมืองที่เจริญรองจากกรุงเทพ เป็นเมืองหลวงแห่งที่สองในยุคนั้นเลยทีเดียว และทำให้ลพบุรีเป็นจังหวัดที่ที่ดินส่วนใหญ่เป็นของทหารมาจนทุกวันนี้ ช่วงที่หมดอำนาจ จอมพล ป. ก็มาพำนักที่ลพบุรี ก่อนจะไปใช้ชีวิตช่วงปลายที่ปทุมธานี
เป็นไงครับ ลพบุรีทีมีประวัติการใช้งานมายาวนาน ตั้งแต่สมัยละโว้ทวารวดี แม้จะย้ายศูนย์กลางไปยังเมืองอื่นแล้วลพบุรีก็ยังถูกใช้เป็นเมืองหลวงแห่งที่สองในสมัยพระนารายณ์ ร.4 และจอมพล ป.
บล็อกต่อไปจะพาเที่ยวโซนอโยธยาศรีรามเทพนครครับ ไปดูจุดที่เป็นต้นกำเนิดของอาณาจักรพระนครศรีอยุธยาในเวลาต่อมากัน
Create Date : 11 กันยายน 2560 |
|
58 comments |
Last Update : 17 กันยายน 2560 21:00:59 น. |
Counter : 11544 Pageviews. |
|
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณSweet_pills, คุณMax Bulliboo, คุณKavanich96, คุณnewyorknurse, คุณกะว่าก๋า, คุณmambymam, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณเนินน้ำ, คุณThe Kop Civil, คุณtoor36, คุณkae+aoe, คุณInsignia_Museum, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณSai Eeuu, คุณซองขาวเบอร์ 9, คุณClose To Heaven, คุณกิ่งฟ้า, คุณข้ามขอบฟ้า, คุณสาวไกด์ใจซื่อ, คุณRinsa Yoyolive, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณtuk-tuk@korat, คุณบาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณJinnyTent, คุณสองแผ่นดิน, คุณhaiku, คุณmoresaw, คุณเริงฤดีนะ, คุณทุเรียนกวน ป่วนรัก, คุณกาบริเอล, คุณSakormaree, คุณmcayenne94, คุณmariabamboo, คุณTui Laksi |
| |
โดย: กะว่าก๋า 12 กันยายน 2560 6:13:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: mambymam 12 กันยายน 2560 7:04:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนินน้ำ 12 กันยายน 2560 11:46:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณต่อ (toor36 ) 12 กันยายน 2560 16:23:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: Sai Eeuu 12 กันยายน 2560 20:47:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: กิ่งฟ้า 12 กันยายน 2560 22:31:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: kae+aoe 13 กันยายน 2560 8:43:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) 13 กันยายน 2560 19:43:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 14 กันยายน 2560 10:11:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณต่อ (toor36 ) 14 กันยายน 2560 11:21:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 14 กันยายน 2560 22:07:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณต่อ (toor36 ) 14 กันยายน 2560 22:31:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 15 กันยายน 2560 6:24:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: mambymam 15 กันยายน 2560 7:22:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: กิ่งฟ้า 15 กันยายน 2560 13:14:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: กิ่งฟ้า 15 กันยายน 2560 13:16:04 น. |
|
|
|
| |
โดย: moresaw 16 กันยายน 2560 5:35:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 16 กันยายน 2560 6:40:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: กาบริเอล 16 กันยายน 2560 18:30:04 น. |
|
|
|
| |
โดย: กิ่งฟ้า 16 กันยายน 2560 20:39:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) 19 กันยายน 2560 12:39:16 น. |
|
|
|
|
|
|
|
โบราณสถานน่าชมมากค่ะ
เจดีย์เหลี่ยมวัดบันไดหิน สวยงามค่อนข้างสมบูรณ์มาก
เพิ่งทราบที่มาของคำว่าพระเจ้าเหานี่เอง
ขอบคุณคุณซีริวที่พาเที่ยวลพบุรีในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์นะคะ