= SPF (UVB) & PPD/PA (UVA) =

หลายๆ คนไม่เข้าใจ ... คิดแค่ว่าการใช้ sunscreen ที่มีค่า SPF สูงๆ ก็เพียงพอแล้ว ... แต่ความจริง ... SPF เป็นค่าที่บอกว่า กัน UVB ได้กี่เท่า ... ซึ่งจะกัน UVA ได้มาแค่ไหนก็ไม่รู้ได้ ... ซึ่งตัว UVA เนี่ย เป็นตัวร้ายกาจที่เดียว และเป็นตัวที่เราต้องการจะปกป้องมากกว่า เพราะมันมีพลังทะลุทะลวงไปถึงผิวชั้นกลาง ไปทำลาย Collagen ซึ่งเป็นสาเหตุของริ้วรอย ... ดังนั้น หลับหูหลับตาดูแต่ค่า SPF สูงๆ ไม่เกิดประโยชน์ค่ะ ... จะต้องหาคำว่า Board spectrum หรือไม่ก็ UVA protection หรือไม่ก็ PA+/++/+++ หรือไม่ก็ PPD ด้วย

ค่า PPD เป็นค่าการวัดการปกป้องรังสี UVA ซึ่งก็มี concept เดียวกับ SPF คือ สามารถกันรังสีนั้นๆ ได้กี่เท่า ... เช่น PPD 10 ก็กัน UVA ได้ 10 เท่า ... เหมือนกับ SPF 10 หมายถึงกัน UVB ได้ 10 เท่า ... กันได้ที่เท่าก็หมายความว่า ... ถ้าเราไม่ทากันแดด ... ผิวเราจะถูกทำลายจากรังสี UVB ภายในเวลา (สมมุติ) 15 นาที ... ถ้าเราทา SPF 10 ก็จะกัน UVB ได้ 150 นาที ก่อนที่ผิวหนังจะถูกทำลายจาก UVB ... UVA ก็เช่นเดียวกัน ... เราหาไม่เจอนะว่า ... ปกติ ผิวคนเราจะทน UVA ได้นานแค่ไหน โดยไม่ใช้ UVA protection ... แต่อ่านเจอ (ที่ไหนก็จำไม่ได้) ว่า SPF ที่แนะนำให้ใช้ ควรจะประมาณ SPF30 หรือ มากกว่า ... แล้ว PPD ควรจะ อย่างต่ำ PPD 10 หรือ 1/3 ของ SPF ... อย่างเช่น ... ถ้า SPF 30 ควรจะมองหาที่ PPD 10 หรือ PA+ เป็นอย่างน้อย

= Ultraviolet Wavelength =

Ultraviolet B = 290 - 320 nm
Ultraviolet A = 320 - 400 nm
Visible Light = 400 - 760 nm

= UVA Protection =

1. Japanese Standard

PA+ น้อย
PA++ ปานกลาง
PA +++ มาก

2. European Standard (หลักเดียวกับค่า PPF คือ เป็นค่าที่บอกว่า ป้องกัน UVA ได้กี่เท่านั่นเอง)

PPD 2-4 = PA+
PPD 4-8 = PA++
PPD 8+ = PA +++

3. UK Standard (UVA/UVB)

uva/uvb = 0-0.2 = ไม่มีดาว
uva/uvb = 0.21-0.4 = 1 ดาว
uva/uvb = 0.41-0.6 = 2 ดาว
uva/uvb = 0.61-0.8 = 3 ดาว
uva/uvb = 0.81-0.9 = 4 ดาว
uva/uvb = 0.91 up = 5 ดาว

= Sunscreen Protection Chart =

= Waterproof / Water Resistant / Very Water Resistant =

หลายๆ คนก็ไม่เข้าใจอีกเช่นกัน ... กันแดดที่อ้างว่ากันน้ำ หรือกันเหงื่อ ไม่ได้หมายความว่ามันจะกันได้ตลอด ... เมื่อเหงื่ออก ลงน้ำ หรืออะไรก็ตาม ... สารเคมีที่เป็นตัวกันแดดจะเสื่อมลง (ถึงแม้ว่ามันจะไม่หลุดออกมาจากผิวเราก็ตาม) ... หลายๆ ครั้ง มันก็ยังเหนียวหนึบติดผิวเราอยู่ ... ล้างก็ล้างไม่ออก (ไม่นับสิวอุดตันที่มักจะถามหา เวลาล้างหน้าไม่สะอาด) ... คือ พอถูกน้ำ ... ประสิทธิภาพในการกันแดดจะลดลง ... โดยส่วนมากแล้ว คำว่า Waterproof หรือ Water Resistant จะทนน้ำได้ไม่เกิน 60 นาที ก็เสื่อมแล้ว ... ส่วน Very Water Resistant เนี่ย ก็จะอยู่ได้ไม่เกิน 80 นาทีแค่นี้เอง ... นั่นก็หมายความว่า ... ถึงแม้ว่าเราจะใช้ SPF 60 (60x20 = 1200 นาที) ... แต่พอเราลงน้ำแล้ว ... มันก็จะเหลือแค่ 80 นาที ... หรือ ก็แค่ SPF 4 แค่นั้นเอง !!!

= ควรทามากน้อยแค่ไหนดี =

หลายๆ คนทาครีมกันแดด น้อยมาก เนื่องจากเหตุผลทางความงาม (กลัวไม่สวย ไม่หล่อ) ... บางคนคิดว่า ใช้ foundation หรือ powder ที่มีสารกันแดดอยู่ก็เพียงพอแล้ว ... จริงๆ แล้ว ... ค่า SPF PPD ที่เค้าบอกมานั่น คือ ค่าที่ครีมกันแดดนั้นๆ จะช่วยปกป้องผิวเรา เมื่อทามากพอ ... เคยอ่านเจอ (จำไม่ได้อีกแล้ว) ครีมกระปุกนึง 1.7 oz. ถ้าเอามาทาตัว ... ต้องใช้ให้หมดใน 2 ครั้ง !! ... คือ ทากันแดดที่ตัวเนีย ... ก็ต้องเทกันแดดใส่เต็มอุ้งมือเลย!! ... ถ้าน้อยกว่านั้น จะกันไม่ได้อย่างที่ต้องการ ... ส่วนทาหน้า ... ก็ลองคิดเอาเองละกันนะคะ ... ก็ลองกะๆ เอาเอง

= Blockers / Absorbers =

1. Physical Blockers

เป็นสารประกอบที่ปกป้องผิวจากแสงแดดโดยการสะท้อนรังสี ส่วนมากจะเป็นสารประกอบของโลหะที่พบตามธรรมชาติ เช่น iron, chromium, zinc, titanium ... แต่ก็ยังมีบางตัวที่เป็นสารสังเคราะห์ขึ้นมา เช่น bismuth เป็นต้น ... สารประกอบพวกนี้ ... นอกจากจะปกป้องรังสี UV แล้ว ยังสามารถปกป้องรังสี infrared (ความร้อน) ด้วย ... ซึ่งเมื่อใช้แล้วจะช่วยลดความร้อนได้ดีด้วย

2. Chemical Absorbers

สารเคมีในกลุ่มนี้ บางทีก็เรียกว่า organic filters ส่วนมากจะละลายในน้ำมัน จะทำตัวเป็น filter หรือกรอง รังสี ... โดยที่กรองไม่ให้รังสีทะลุผ่านเข้าผิวหนังไปได้ ... สารเคมีพวกนี้ส่วนมากจะปกป้องได้แต่รังสี UVB แต่ก็มีตัวที่ปกป้องหรือใช้กรองรังสี UVA ได้ด้วย

= Titanium Dioxide (TiO2) =

เป็น pigment สีขาว อย่างที่รู้กันดีว่า สีขาวสะท้อนรังสีได้หมด ... ดังนั้นสารกันแดดที่ใช้ TiO2 ควรจะต้องมีสีขาว (จะได้สะท้อนรังสีออกไปได้) ... ซึ่งก็ทำให้รังสี (UVB and UVA) ถูกสะท้อนกลับ ออกไป และไม่สามารถเข้าไปทำร้ายผิวเราได้นั่นเอง ... TiO2 ยังช่วยลดอาการแสบไหม้จากแสงแดดได้ด้วย ... TiO2 ตัวมันเองจะเป็น toxic ได้ ... ดังนั้นจะต้องเป็นตัวที่เคลือบด้วยสารบางอย่างเช่น Silicone หรือไม่ก็ Aluminum Oxide หรือไม่ก็ Silica ... หากขนาดอนุภาคของ TiO2 ใหญ่ๆ ... เวลาเราทาก็จะมีสีขาวมากๆ ขาวแบบวอกเลย ... และแน่นอนก็จะช่วยให้ประสิทธิภาพในการสะท้อนแสงดีด้วย ... แต่เนื่องจากว่ามันขาววอก ไม่น่าดู ... จึงได้มีการทำให้มีอนุภาคขนาดเล็กลงจนขนาดที่สามารถดูดซับ visible light ได้ (ทำให้มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า) ... ทำให้เวลาเราทาแล้วไม่วอก ... แต่พออนุภาคเล็กลง ... ประสิทธิภาพการสะท้อนรังสีก็ลดลงไปบางส่วนด้วย ... ส่วนตัวที่ประเภทมองไม่เห็นความขาววอกเลย (Transparent) มันจะทั้งดูดซับ สะท้อน แล้วก็กระจายรับสี UVB ได้ทั้หมด แต่ UVA ได้แค่บางส่วนเท่านั้น

ดังนั้น หากครีมกันแดดที่ใช้ มีส่วนผสมของ TiO2 เป็นตัวกันแดดเดี่ยวๆ

1. ทาแล้วขาววอก ... ก็มั่นใจได้มีประสิทธิภาพในการสะท้อนรังสี UVB และ UVA ได้ดี (ทั้งหมด หรือ เกือบทั้งหมด)

2. ทาแล้วไม่ขาววอก ... นั่นก็แน่ใจได้เลยว่า กัน UVA ได้ไม่หมด (ได้แค่ครึ่งนึงโดยประมาณ) ... นั่นก็หมายความว่า กันแดดตัวนี้ไม่ดี และไม่สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้ (ปกป้องแต่รังสี UVB ได้ครบ)

= Zinc Oxide (ZnO) =

ความสามารถของ ZnO ไม่ใช่แค่กันแดดเท่านั้น ... แค่ยังสามารถช่วยเรื่อง การสมานแผล ฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางประเภท แล้วก็ใช้ยับยั้งพวกผดผื่นได้ด้วย (พวก rash diper จะมี ZnO เป็น active ingredient)

ZnO มีสีขาวที่อุณหภูมิปกติ แต่ไม่ขาวเหมือน TiO2 ... ZnO จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ... แต่พอเย็นตัวลงสีก็จะกลับมาเป็นสีขาวเหมือนเดิม

พูดถึงความสามารถในการกันแดด ... ความรู้ในการนำ ZnO มาใช้ ไม่ใช่ความรู้ใหม่ เรารู้จักนำมาใช้กันแดดมานานพอสมควรแล้ว ... ZnO สามามารถปกป้องผิวเราจากทั้งรังสี UVB และ UVA ได้ดีเยี่ยม ได้ดีกว่า titanium dioxide ซะอีก ... ถึงแม้ว่า ZnO จะอยู่ในกลุ่ม physical blockers แต่การทำงานของ ZnO จะแตกต่างไปจาก TiO2 ... คือจะดูดซับรังสี UVA ซะส่วนมาก (คือทำหน้าที่คล้ายๆ กับ chemical absorbers คือ จะสะดูดซับรังสี UV)

ZnO มีประสิทธิภาพในการกันแดดได้ดีมาก ... กันได้ทั้ง UVA และ UVB เลย ... แต่ก็อีก คือ ปัญหาที่ตัวอนุภาค ZnO มีสีขาว ทำให้มองเห็นเป็นหน้าขาววอก ... จึงต้องทำให้มันมีอนุภาคเล็กลง ซึ่งก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ลดลงไปบ้างเหมือนกัน

= Nanoparticles =

เนื่องจากว่า TiO2 และ ZnO มีประสิทธิภาพในการกัน UVB และ UVA ได้ดี แต่ว่ามีสีขาว ทำให้เวลาทาแล้วดูไม่สวย ... จึงได้มีการทำอนุภาคของ Oxides สองตัวนี้ให้เล็กลง ... คือให้เล็กเกินกว่าที่ตาเปล่าเราจะมองเห็นได้ แต่ก็ยังใหญ่พอที่จะสะท้อนและดูดซับรังสี UV ... ถึงแม้ว่าประสิทธิภาพการกัน UVA จะลดลงไปบ้าง ... แต่ก็ยังดีกว่าการไม่ปกป้องผิวซะเลย

และก็ยังได้มีการศึกษา และก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ... คือ เมื่อ Oxides สองตัวนี้มีอนุภาคที่เล็กลง ... แทนที่จะเคลือบผิวไว้เฉยๆ ... พอมันเล็กมากๆ มันก็ซึมเข้าผิวได้ แทนที่จะปกป้องผิว กลับกลายเป็นการสร้าง free radicals ให้เกิดขึ้น ... ซึ่ง free radicals ก็เป็นตัวการที่เรารู้กันดีว่า เป็นตัวการของ aging ... คือแทนที่จะเป็น anti-aging ที่ดี กลับทำงานในทางตรงข้าม คือเป็นตัวเร่ง aging ไปซะงั้น ... แต่หลักฐานในการศึกษาก็ยังไม่หนักแน่นพอ ... เราก็ต้องรอดูและรอเดากันต่อไป

= Avobenzone =
(Parsol 1789, Eusolex 9020, Escalol 517, Butyl Methoxydibenzoylmethane)

Avobenzone ตัวเอง จริงอยู่ว่าสามารถกรองรังสี UVA ได้ดีมาก ... แต่ตัวมันเองไม่เสถียรเอาซะเลย ... แล้วยังเป็นตัวการให้ตัวกรองรังสี UVB ตัวอื่นๆ เสื่อม เร็วขึ้นไปอีกด้วย ... ดังนั้น การเลือกใช้ suncreens ที่มี Parsol 1789 ผสมอยู่ จะต้องเลือกให้ดี เพราะใช้แล้วอาจจะไม่เกิดประโยชน์เลยก็ได้ (เพราะมันเสื่อมหมด)

Avobenzone จะเสื่อมเร็วขึ้นไปอีกเมื่อโดนแสง หากผสมกับ TiO2 และ ZnO แล้วยังรวมไปถึงพวก minerals หลายๆ ตัวอีกด้วย เช่นพวก iron, ferric, salt, และ โลหะหนักอื่นๆ ด้วย

ตัวที่ช่วย photostabilize ได้ก็มี

* Octocrylene
* 4-Methylbenzylidene camphor (Enzacamene)
* Tinosorb S (Bemotrizinol, Bis-Ethylhexyloxyphenol Methoxyphenyl Triazine)
* Tinosorb M (Bisoctrizole, Methylene Bis-Benzotriazolyl Tetramethylbutylphenol)
* Butyloctyl Salicylate
* Hexadecyl Benzoate
* Butyloctyl Benzoate
* Mexoryl SX (Ecamsule, Terephthalylidene Dicamphor Sulfonic Acid)
* Corapan TQ (Diethylhexyl 2,6-Naphthalate)
* Parsol SLX (Polysilicone-15)
* Oxynex ST (Diethylhexyl Syringylidene Malonate)

= Ecamsule =
(Mexoryl SX, Terephthalylidene Dicamphor Sulfonic Acid)

สำหรับสารเคมีตัวนี้ ... L'Oreal เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์โดยเด็ดขาด ... เราจะไม่สามารถหาได้ใน products ที่ไม่ใช่ของ L'Oreal ... Mexoryl มีอยู่ 2 ตัว คือ (1) Mexoryl SX ซึ่งละลายในน้ำ และ (2) Mexoryl XL (Drometrizole Trisiloxane) ซึ่งละลายในน้ำมัน ... เนื่องจากความสามารถในการซึมเข้าสู่ผิวหนังของ ecamsule มีน้อยมาก ทำให้มีความปลอดภัยสูง และไม่ระคายเคืองมาก

จริงๆ แล้ว ecamsule ไม่ใช่ของใหม่ ... L'Oreal ได้ศึกษาค้นคว้าแล้ว patented เจ้าตัวนี้ไว้ตั้งแต่ปี 1982 แล้ว ... แต่ว่าได้ผ่านการ approved ในยุโรปอีก 10 ปีถัดมา ... อีกสองสามปีให้หลังก็มีการผลิตจำหนายอย่างกว้างขวางในยุโรปและแคนาดา ... อีกสิบกว่าปีผ่านไป USA ก็ยังไม่ approve เจ้าตัวกันแดดตัวนี้ ... เราไม่แน่ใจ ไม่ได้ check ละเอียด ... แต่น่าจะเป็นปีที่แล้วนะ ที่ผ่านการ approved เรียบร้อยใน USA

Ecamsule จะดูดซับ (กรอง) รังสี UV หลังจากนั้น รังสีที่ถูกดูดซับ (กัก หรือ กรอง) ไว้ จะปล่อยพลังงานออกสู่ภายนอก โดยไม่ซึมเข้าสู่ผิว ... ควรเลือกสารกันแดดที่มี ecamsule อย่างน้อย 5% จะช่วยปกป้อง aging ที่เกิดจากการทำลายของแสงแดดได้ดี

*** อันนี้ความเห็นส่วนตัว *** สำหรับเราแล้ว ... เรามั่นใจ Mexoryl มาก คือ โดยเฉพาะเวลาตากแดดมากๆ ... Micronized ZnO ก็เอาไม่อยู่ และ Avobenzone ก็สู้ไม่ได้ ... คือ เวลาตากแดดจัดๆ สองตัวนี้ใช้แล้วผิวคล้ำลง แต่เวลาใช้ Mexoryl แล้วผิวยังคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยนเลย