เกร็ดความรู้เกี่ยวกับ ... คำว่า "แก่" ... ริ้วรอย, เหี่ยว, หย่อนยาน ... มันเกิดจากอะไรกัน ... หวังว่าคงจะไม่เหนื่อยนะ ... อ่านแบบใจเย็นๆ เราว่ามีประโยชน์กับการดูแลผิวมากเลยนะผิวหนังของเราจะเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนถึงอายุประมาณ 25 ประสิทธิภาพการทำงานจะเริ่มลดลง ... ริ้วรอย จะเริ่มเกิดขึ้น ... ลองนึกถึงลูกโป่งที่เป่าเต็มที่ ... ถ้าเราเอากระดาษทิชชู่ชุบน้ำแปะที่ลูกโป่งที่กำลังเต่งตึง ... พอเราแก่ลง ... ปริมาณผิวชั้นในจะลดลง ... ก็เหมือนกับเราค่อยๆ เอาลมออก ... กระดาษทิชชู่ที่แปะที่ลูกโป่งก็จะเหี่ยวย่น ... เหลือแต่หนังชั้นนอกที่หย่อนยาน ... เริ่มจากหนังหน้าผาก แก้ม และคาง ที่ห้อยต่องแต่ง ไม่มีอะไรมาลองรับวิธีสังเกตว่า เราเริ่มแก่แล้วรึยัง ... สังเกตได้จาก สีผิวที่เริ่มหมอง สีไม่สม่ำเสมอ อาจจดูออกเหลืองๆ มีจุดด่างดำ ผิวหนังแห้ง ไม่สม่ำเสมอ ... นี่ก็เพราะผิวหนังเราทำงานไม่ดีเหมือนแต่ก่อนแล้วสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ genes ของแต่ละคน ... หมอแนะนำว่าสามารถทำนายริ้วรอยที่จะเกิดขึ้นได้โดย ... ไปเปิดอัลบั้มรูปครอบครัว พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ... ดูว่าส่วนใหญ่เค้ามีริ้วรอยที่ตรงไหนเด่นชัด ... ซึ่งมันมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นกับเรา ... เราจะได้เตรียมป้องกันไว้ ... บางคนอาจจะคิดว่า จริงเหรอ ... คิดง่ายๆ ... อย่างเช่น ในตระกูลเรามีคนเป็นเบาหวาน ... มันก็มีความเป็นไปได้ที่เราจะเป็นเบาหวาน ... ดังนั้นเราก็กินอาหารที่ดี หลีกเลี่ยงอะไรที่ทำให้เกิดเบาหวาน ... มันก็ช่วยได้ ใช่มั๊ย ... ผิวเราก็เหมือนกัน
ชั้นผิวหนัง แบ่งเป็น 3 ชั้นด้วยกัน คือ1. epidermis (ชั้นนอกสุด) ชั้น epidermis ผิวชั้นนี้จะถูกสร้างขึ้นมาเรื่อย ... ชั้นใหม่เกิดขึ้นมา ชั้นเก่าจะถูกผลัดออกไป ... ชั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 8 สัปดาห์ ... แต่ถ้าเราแก่ลง ... การผลัดเซลล์ผิวจะเกิดขึ้นช้าลง ... ซึ่งเป็นผลให้เซลล์ผิวเก่าๆ สุขภาพไม่ดี อาศัยอยู่บนใบหน้าเรานานขึ้น ... ดังนั้นการทำ md จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมา ... หากเราไม่ขจัดเซลล์ที่ตายแล้วออกไป (การขัดผิว) ผิวส่วนที่ตายแล้วจะสะสมอยู่ชั้นบน ... ครีมที่เราทาลงไปก็จะซึมเข้าสู่ผิวหนังยาก(น้อย)กว่าที่ควรจะเป็น ... นอกจากนี้เซลล์ผิวที่ตายแล้วจะติดเหนียวอยู่กับผิวหน้าเราดีกว่าตอนเด็กๆ ... ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่า เวลาแก่ลง ... ผิวหนังไม่เรียบเหมือนแต่ก่อน (แม้ว่าจะพยายามขัดผิวแล้วก็ตาม) ... เป็นชั้นที่หนาที่สุด ... ถ้าตายแล้ว ไม่สามารถสร้างใหม่ได้ 2. dermis (ชั้นกลาง) ชั้น dermis เนี่ยสำคัญมาก เป็นชั้นที่หนาที่สุด (90% ของผิวหนังทั้งหมด) เต็มไปด้วย collagen และ elastin ... และ 60% ของ dermis เป็นพวกน้ำ ที่เหลือเป็น เจล และพวกโมเลกุลที่ชุ่มไปด้วยน้ำ ชั้นบนของ epidermis เป็นชั้นหนังที่ตายแล้วเรียกว่า stratumcorneum3. subdermal fat (ชั้นในสุด) หนาพอๆ กับชั้น epidermis เต็มไปด้วยไขมัน
การผลิตสีผิว ... melanin เป็นตัวที่ทำให้สีผิวแต่ละส่วนของร่างกายมีสีแตกต่างกันไป ... เมื่อเราแก่ขึ้น การสร้างเจ้าตัวนี้ก็ไม่มีประสิทธิภาพเหมือนตอนเด็กๆ ... ดังนั้น พอแก่ลง สีผิวเราจึงดูไม่สม่ำเสมอเหมือนแต่ก่อน บางที่ดูขาวขึ้น แต่ก็มีจุดด่างดำอยู่เป็นหย่อมๆ
บริเวณรอยต่อระหว่าง epidermis กับ dermis มีตัวที่เชื่อมต่อระหว่างกัน (แชร์สารอาหารซึ่งกันและกัน) ... แต่เมื่อเราแก่ลง ผิวหนังเราทั้งสองชั้นจะเลิกแชร์สารอาหารซึ่งกันและกัน ... และจากนั้นมันจะเริ่มแยกออกจากกัน ... หนังชั้น epidermis ก็จะเริ่มหย่อยยาน (ห้อยต่องแต่ง)พอเราแก่ลงเส้นเลือดใต้ผิวหนังที่ใช้เป็นท่อส่งสารอาหารจะอุดตัน (ผนังท่อจะหนาขึ้น) การลำเลียงอาสารอาหารเลยไม่มีประสิทธิภาพเหมือนแต่ก่อนโมเลกุลที่อุ้มน้ำในชั้น dermis จะมีลักษณะเป็นไฟเบอร์ (collagen และ elastin) โดยมีผิวหนังชั้น epidermis ห่อหุ้มปกป้องไว้ ...ส่วนใหญ่การเกิดริ้วรอยเริ่มต้นที่นี่ ... เมื่ออายุแก่ลง ประสิทธิภาพในการซ่อมแซม collagen และ elastin จะแย่ลง ... เมื่อ collagen และ elastin ร่อยหรอลงไป ... ผิวหนังเราก็ไม่เต่งตึงและยืดหยุ่น ... จำไว้ว่า UVA เป็นตัวการที่สำคัญที่สุดในการทำลาย collagen และ elastin ในชั้น dermis ... ส่วน elastin ... ลองนึกถึงหนังยางที่ใหม่ๆ ก็ยืดหยุ่นดี ... พอตากแดดไปนาน มันก็ไม่ยืดอีกต่อไป มันจะแห้ง แข็งกร้าน ... ส่วนปริมาณ collagen จะลดลงทุกๆ ปี (ประมาณ 1% ต่อปี) ... ดังนั้นหากเราต้องการให้ดูอ่อนวัยให้นานที่สุด ... จึงต้องดูแลรักษา collagen และ elastin ให้ดีที่สุด
เชื่อรึเปล่าว่า ... ผิวหนังผู้หญิงมีปริมาณ collagen น้อยกว่า ผู้ชาย ... ผิวผู้หญิงโดยทั่วไปมีอายุแก่กว่าผู้ชาย 15 ปี !!! OMG !!!การถูกรังสี uva เป็นเวลา 5-15 นาที ... จะให้ปริมาณ collagen enzymes ถูกทำลาย ... ซึ่งต้องใช้เวลาซ่อมแซมถึง 72 ชั่วโมง ให้คืนสู่ปกติ
free radicals เป็นตัวที่ลำลายโมเลกุลต่างๆ ของผิว ... ถ้าจะเจาะลึกลงไป ... ในสิ่งแวดล้อม สะสารต่างๆ ประกอบด้วยโมเลกุลที่ประกอบด้วย atom ซึ่งมีจำนวน electron ในชั้นนอกอยู่จำนวนนึง ... เพื่อความสมดุลย์ atom แต่ละตัวจะแย่ง electron จาก atom อื่น (โมเลกุลที่มี atom นี้ เรียกว่า free radicals เช่น oxygen) ... เมื่อโมเลกุลเหล่านี้กลายเป็น free radicals มันจะกลายเป็นตัวทำลายผิวหนังเรา เช่น โปรตีน ไขมัน ผนังเซลล์ และ DNA ด้วย ... free radicals เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเพิ่มปริมาณ oxygen เช่นการออกกำลังกาย มลพิษ ควันบุหรึ่ ความร้อน รังสี ดื่มแอลกอฮอล์ กินธาตุเหล็กมากเกินไป กินอาหารที่มีไขมันมากเกินไป ... สิ่งเหล่านี้เป็นการสร้าง free radials ให้เกิดขึ้น ... ดังนั้นการใช้ครีมและกินไวตามินและสารอาหารที่เป็นตัว anti-oxidant หรือป้องกัน free radicals ที่จะไปทำงายเซลล์ผิวจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ... คิดดูละกัน ... การออกกำลังกายมากเกินไปก็ทำให้แก่เร็วได้ ... ดังนั้นการออกกำลังกายมากๆ จำเป็นต้องกินอาหารที่ช่วย anti-oxidant ควบคู่ไปด้วย
ความเปลี่ยนแปลง (ในทางที่ไม่ดี) กับผิวเรา จะเริ่มตั้งแต่ประมาณอายุ 20-25 ปี1. การซ่อมแซมและสร้างเซลล์ผิวใหม่ ช้าลง2. มีหนังชั้นที่ตายแล้วหนาขึ้น3. ความชุ่มชื้นในผิวรอบๆ collagen และ elastin ลดลง4. ความชุ่มชื้นในผิวชั้นนอกลดลง5. การผลิตสีผิวจะลดลงประมาณ 20% ทุกๆ 10 ปี6. เซลล์ที่สร้าง collagen มีประสิทธิภาพลดลง7. collagen ไฟเบอร์ลดลง 1% ทุกๆ ปี8. ความยืดหยุ่นของผิวหนังลดลง9. ผิวหนังส่วนที่อุ้ม collagen และ elastin บางลง10. ผนังเส้นเลือดหนาขึ้น การลำเลียงสารอาหารแย่ลง
เช็คดูว่าริ้วรอยแห่งความแก่มาเยือนรึยัง ... ลองเอากระจกมาส่องดู ... อาการเหล่านี้แสดงว่าเราเริ่ม "แก่" แล้วหล่ะ1. ผิวหน้าไม่เรียบ แห้งตึง2. ผิวหน้าบางส่วนหนากว่าปกติ บางส่วนบางกว่าปกติ3. มีตุ่ม (ที่ไม่ใช่สิว) ผุดขึ้นตามผิวหน้า4. สีผิวหน้าไม่สม่ำเสอม5. มีริ้วรอยรอบดวงตา6. คอเริ่มหย่อนยาน7. มองเห็นเส้นเลือดบริเวณแก้มและข้างจมูก8. มีริ้วรอยเส้นๆ ที่มุมข้างจมูก มุมปาก ระหว่างคิ้ว และหน้าผาก
ก่อนที่ริ้วรอยจะมาเยือน ... หรือเริ่มมาเยือนแล้ว ... การป้องกันที่ดีคือ1. ช่วยการผลัดผิวที่ตายแล้วในชั้น epidermis ออกไปเพื่อกระตุ้นการสร้างผิวใหม่ออกมา ... อาจจะทำได้โดยการขัดผิว (พวกตัว scrub ต่างๆ) หรือ การใช้พวก AHA ช่วยผลัดผิวที่ตายแล้วออกไปและไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ... เซลล์ใหม่จะห่อหุ้ม (ปกป้อง) ผิวหนังชั้น dermis ได้ดีกว่า2. กระตุ้นการสร้าง collagen และ elastin ในชั้น dermis ... อาจทำได้โดยการใช้ ascorbic acid เข้มข้น เพื่อไปกระตุ้นการสร้าง collagen หรือก็การใช้ micro-collagen ที่มีขนาดเล็กพอที่จะซึมเข้าสู่ชั้น dermis3. ป้องกันรังสี UVB ไม่ให้ทำร้ายผิวหนังชั้น epidermis และป้องกัน UVA ไม่ให้ทำลาย collagen และ elastin ในชั้น dermis ... ทำได้โดยการใช้ sun protection4. กินอาหาร ไวตามินที่ช่วยหล่อเลี้ยงผิวหนัง เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมาก ... และต้องดื่มน้ำเยอะๆด้วย5. ให้ความชุ่มชื้นผิวหนังให้เพียงพอ เพื่อให้เซลล์ผิวหนังทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ... อย่าปล่อยให้ผิวหนังแห้ง ควรใช้ moisturizer ที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว และดื่มน้ำเยอะๆ6. ทาและกินพวก anti-oxidant เพื่อปกป้องผิวจากสิ่งแวดล้อมที่ทำลายเซล์ผิว ... พวก vitamin e, vitamin c อะไรพวกนี้