1 2
3 4 5 6 7 8 9
10 11 12 13 14 15 16
17 18 19 20 21 22 23
24 25 26 27 28 29 30
31
Discovery of Vitamin C
วันนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับไวตามินซีมาเล่าให้ฟังค่ะ (อีกแล้ว) แต่วันนี้จะไม่พูดมากว่าประโยชน์ขอวไวตามินซีมันมีอะไรบ้าง เพราะ พูดแล้วพูดอีก หลายคนคงจะรู้ซึ้งกันดีอยู่แล้ว ... แต่สำหรับคนที่ยังไม่ทราบ เราก็สรุปสั้นๆ ไว้นิดนึงค่ะ มนุษย์เราสร้างไวตามินซีขึ้นเองไม่ได้ แต่ร่างกายเราต้องการใช้ไวตามินซีในการสังเคราะห์คอลลาเจน มีความสำคัญต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นระบบเส้นเลือด เส้นเอ็น กระดูก และยังมีความสำคัญอย่างมากมายต่อสมองของเรา และยังมีความสำคัญต่อระบบการเผาผลาญ และระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย และยังเป็นสิ่งสำคัญในการสังเคราะห์ carnitine ซึ่งเป็นตัวสำคัญที่จะลำเลียงไขมันไปสู่ส่วนที่เปลี่ยนไขมันไปเป็นพลังงานต่อไปอีก นอกจากนี้ เรารู้กันดีว่า ไวตามินซียังเป็น antioxidant ที่ดีมากตัวนึงเลยทีเดียว (ใจดีมากๆ) ซึ่งไวตามินซีในปริมาณไม่มากสามารถช่วยปกป้องไม่ว่าจะเป็น โปรตีน ไขมัน แป้ง DNA RNA และ และสิ่งสำคัญอื่นๆ ในร่างกาย จากการทำลายโดย free-radicals ... ถ้าอยากรู้ว่าเค้าทำได้ยังไง ลองอ่านเพิ่มเติมได้ที Free-Radicals ค่ะ ... หากร่างกายเราได้รับไวตามินซีไม่เพียงพอ โรคภัยไขเจ็บต่างๆ ก็จะถามหากันได้ง่ายๆ สิ่งที่เราเห็นได้ง่ายๆ ก็คือ โรคลักปิดลักเปิด ซึ่งมีอาการเลือดออกตามไรฟัน หรือ ผิวเป็นจ้ำๆ ห้อเลือด นี่เพราะว่าผนังเส้นเลือดและเนื้อเยื่อต่างๆ เปราะบางลง ทำให้เลือดออกได้ง่าย ... ปัจจุบันได้มีการใช้ไวตามินซีเป็นตัวเสริมในการรักษาโรคภัยต่างๆ อย่างเช่น มะเร็ง เบาหวาน แม้กระทั่งไขหวัดธรรมดาๆ ก็ด้วย ... เพียงแค่เรากินอาหารที่มีไวตามินซีแค่ 10mg ต่อวัน ก็เพียงพอต่อการป้องการโรคลักปิดลักเปิดแล้วค่ะ ส้มสดๆ 1 ผล (ขนาดกลางๆ) ได้ไวตามินซีประมาณ 70 mg สตรอเบอรี่สดๆ หนึ่งถ้วย ได้ไวตามินซีประมาณ 85 mg มะเขือเทศสดๆ ขนาดกลางๆ หนึ่งผล ได้ไวตามินซีประมาณ 16 mg พริกหยวกแดงครึ่งลูก (หั่นได้ประมาณครึ่งถ้วย) ได้ไวตามินซีสูงถึง 95 mg Broccoli หั่นๆ ประมาณครึ่งถ้วย ได้ไวตามินซีสูงถึง 50 mg มันฝรั่งอบขนาดย่อมหนึ่งลูกก็เพียงพอที่จะป้องกันโรคนี้ได้เพราะได้ไวตามินซี 17 mg พูดถึงมันฝรั่ง คือเมื่อก่อนคนเป็นโรคนี้กัน แต่เค้าพบว่าพวกนักโทษทำไมไม่เป็นโรคนี้กันเลย มาภายหลังเค้าพบว่าเพราะนักโทษพวกนี้กินมันฝรั่งเป็นอาหารหลักนั่นเอง ถึงแม้ว่าจะเป็นอาหารราคาถูก และให้ปริมาณไวตามินซีเพียงน้อยนิด แต่ก็ช่วยปกป้องโรคนี้ได้อย่างดีเยี่ยมทีเดียว เขียนไปเขียนมา ดูท่าเรื่องนี้จะยาวแฮะ นี่ขนาดยังไม่เข้าเรื่องที่เราจะพูดถึงเลยนะเนี่ย ค่อยๆ อ่านกันไปละกันนะคะ ... เริ่มต้นเรื่องเลยละกันDiscovery of Vitamin C เรื่องของเรื่องก็คือว่า ไวตามินซีเป็นสารประกอบอินทรีย์ ประกอบด้วย คาร์บอน ไฮโดรเจน และ ออกซิเจน ซึ่งค้นพบโดย Albert Szent-Györgyi ชาวฮังกาเรียน มีเรื่องเล่า (เรืองจริง) ว่า เค้าอยากเรียน (รึไม่อยากไปรบซะมากกว่า ก็คือๆ กัน) เพราะช่วงที่เค้าเรียนอยู่ เป็นช่วงที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุขึ้น ด้วยความที่เค้าไม่อยากไปรบ ... เค้าบอกว่า "overcome with such a mad desire to return to science that one day I grabbed my revolver and in my despair put a shot through my upper arm." ประมาณว่าด้วยความที่อยากกลับมาเป็นนักวิทยาศาสตร์ (แทนที่จะไปแบกปืนสู้รบ) เค้าก็ปืนยิงแขนตัวเองซะงั้น ... พอหอมปากหอมคอละกัน ^0^ ... ต่อดีกว่า ... Albert Szent-Györgyi ได้เรียนจบจากหลายๆ มหาวิทยลัยแถวๆ ยุโรป จนในที่สุดได้รับปริญญาแพทย์มาครอบครอง ... จากนั้นเค้าก็ได้ทำการศึกษาค้นคว้าโดยเน้นไปทางเคมี สารอาหารต่างๆ ซะมากกว่า ... ทีนี้ก็มาถึง Eureka moment ในปี 1930 หลังจากเค้าได้ค้นพบ hexuronic acid เค้าได้กลับไปฮังการีเพื่อไปเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เค้าได้ทำการทดลองสารตัวนี้อยู่พักนึง และหลังจากค้นพบอะไรบางอย่าง ก็ได้ตั้งชื่อสารชนิดนี้ใหม่ว่า Ascorbic Acid ซึ่งก็หมายความว่าเป็นสารที่มีหน้าที่ต้อต้านโรค scurvy (โรคลักปิดลักเปิด) นั่นเอง เนื่องจากอาหารที่มี Ascorbic Acid มีน้ำตาลอยู่ในปริมาณสูง จึงทำให้ยากต่อการแยก Ascorbic Acid ออกมา ... ในปี 1933 หลายๆ คนคงรู้จักประเทศฮังการี่ดี ว่า ประเทศนี้กับพริกหยวกป่น (paprika) เป็นของคู่กัน คือ บ้านเรากินข้าวก็มีน้ำปลาพริกขี้หนู ... ที่โน่นเค้าก็มีพริกหยวกป่นกับเกลือ ประมาณนั้น ... วันนึงเมียเค้าก็ทำอาหารเย็นให้เค้า เค้าเกิดอาการไม่อยากกิน ก็เลยคิด เอ ... ทำไงดี ... เคาบอกว่างี้ "I did not feel like eating it so I thought of a way out. Suddenly it occurred to me that this is the one plant I had never tested. I took it to the laboratory ... [and by] about midnight I knew that it was a treasure chest full of vitamin C." เค้าก็ตรงดิ่งไปที่ Lab ... อีกสามอาทิตย์ถัดมา Ascorbic Acid บริสุทธิ์ก็คลอดออกมา ... และในปีเดียวกับ Hoffmann-La Roche (Switzerland) ก็เป็นบริษัทยาแห่งแรกของโลกที่ผลิตไวตามินซีสังเคราะห์ขึ้นมา โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า Redoxon ... ช่วงนี้ก็เลยมีการสังเคราะห์ไวตามินซีออกมากันยกใหญ่เลย ... อีกสี่ปีถัดมา Albert Szent-Györgyi ได้รับ Nobel Prize in Medicine หรือ รางวัลโนเบลทางด้านการแพทย์ (เค้าเรียกแบบนี้รึเปล่า) จากการค้นพบไวตามินซีนี่เอง ปัจจุบันเราเงินก็ไหลเข้า Hoffmann-La Roche กันอย่างไม่ขาดสาย เพราะนอกจากบริษัทนี้จะผลิตไวตามินซีออกมามากมาย (โรงงานในประเทศจีน) และจำได้ว่าเค้ายังเป็นเจ้าของกระบวนการผลิตไวตามินซีอีกด้วย เหอะๆๆๆAscorbic Acid Is Not Vitamin C เคยได้ยินคำพูดนี้กันมั๊ยคะ? จริงๆ แล้วเนี่ย Ascorbic Acid ไม่ใช่ไวตามินซี ... อ่า อย่างงกัน จริงๆ จะใช้คำว่าไม่เชิงก็อาจจะได้ค่ะ ... เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ไวตามินซีที่เรารู้จักกันเนี่ย มันมีอยู่สองแบบ คือ แบบที่มาจากธรรมชาติ พวกผักผลไม้ต่างๆ ... นั่นเรียกว่า Vitamin C ไม่อยากงง อย่าเรียกว่า Ascorbic Acid ... เรียกให้ถูก คือ L-Ascorbic Acid ค่ะ ... แล้วทีนี้ทำไมต้องมี L ด้วยล่ะ .... เรื่องของเรื่อง (อีกเรื่องแล้วเหรอ) ... ไวตามินซีที่เราเห็นกันจนล้นโลกเนี่ย เป็นไวตามินสังเคราะห์ซะส่วนมาก ... และกระบวนการสังเคราะห็เนี่ยก็มาจาก Hoffmann-La Roche นี่เอง ... ขั้นตอนการสังเคราะห์ไวตามินซีก็คือ 1. Hydrolysis สาร D-glucose ให้เป็น D-sorbitol โดยใช้กระบวนการทางเคมีที่ความดันและอุณหภูมิสูง 2. Fermentation สาร sorbitol ให้กลายเป็น L-sorbose 3. Formation ทำให้เป็น Diacetone-L-sorbose 4. Organic Oxidation ให้เป็น 2-Keto-L-gulonsäure 5. Lactonization อ่านแล้วคงจะไม่เข้าใจกัน ไม่เป็นไร ... สรุปง่ายๆ (ถ้าเราเข้าใจไม่ผิด) ก็คือ ว่า การสังเคราะห์ Ascorbic Acid จะได้ออกมา stereoisomers ซ้าย และขวา (ซ้ายก็คือ L- และ ขวาก็คือ D-) ... ปล. จริงๆ มันมีหลายรูปแบบมากเลยค่ะ D-, L-, DL- และ LD- ... พูดถึง isomers ของ ascorbic acid นิดนึงคือ โครงสร้างของสองตัว (L- และ D- เนี่ย) มันเหมือนส่องกระจกกันอยู่ ดูเหมือนกันเด๊ะ แต่ซ้ายเป็นขวา ขวาเป็นซ้าย ซึ่งทำให้คุณสมบัติต่างกันโดยสิ้นเชิง ... และร่างกายเราสามารถดูดซึมและนำ L-Ascorbic Acid ไปใช้ประโยชน์ได้เท่านั้นนะคะ ... ส่วนตัว D- จะช่วยเรือง anti-oxidant บ้างแต่ไม่ได้มีประโยชน์อย่างอื่นแก่ร่างกาย (อาจจะระคายเคืองผิวด้วย เพราะด้วยความที่เป็นกรดมาก) ... ดังนั้น คำว่า Vitamin C ที่ถูกต้องแล้วคือ L-Ascorbic Acid เท่านั้น ไม่ใช่ D-Ascorbic Acid หรือ ตัวอื่นๆ นะคะ การสังเคราะห์ Ascorbic Acid ออกมาเนี่ย ... จะได้ทั้ง L- และ D- ... แล้วเค้าจะต้องผ่านกระบวนการเอา D- ออกก่อน แล้วจึงเอาส่วนที่เป็น L- มาขาย แปะป้ายว่า Vitamin C หรือบางทีก็เรียกว่า L-Ascorbic Acid และบางทีก็ขี้เกียจกัน ก็เอา L- ออกซะเฉยๆ จึงเรียกกันสั้นๆ ว่า Ascorbic Acid เฉยๆ ... ประกอบกับคำโฆษณา (ซะเว่อร์) มากมาย ทำให้หลายๆ คน ยิ่งงงกันใหญ่ว่า ตกลงอันที่เค้าแปะฉลากไว้ว่า Ascorbic Acid เนี่ย มันหมายถึง L-Ascorbic Acid หรือ L- ผสม D- Ascorbic Acid กันแน่ ... จริงๆ เราก็ไม่รู้ 555 แต่เท่าที่อ่านดู คือ เค้าใช้กันมั่วไปหมด ... เคยอ่านเจอไหนไม่รู้ว่า Ascorbic Acid ที่ขายๆ อยู่ เค้าจะ filter เอา D- ออกไปแล้ว แต่ว่าเค้า filter ดีแค่ไหน เราไม่รู้ ... เราก็งงไปหมด 555 ... จะให้ชัวร์ เลือกตัวที่เค้าเขียนว่า L-Ascorbic Acid ละกัน อีกอย่าง (อันนี้ข้อมูลไม่แน่น อ่านแบบผ่านๆ หลายๆ ที่) เค้าว่า แหล่งผลิตไวตามินซีสังเคราะห์ในโลกนี้มีไม่กี่แห่ง เกือบทั้งหมดมาจากจีน (เค้าว่า 95% เลยทีเดียว) ที่เหลือ (5%) บางส่วนมาจากโรงงานหนึ่งโรงงานใน USA และอีกแห่งใน UK ใครทราบวานบอกที เพราะฉนั้นที่เค้าเคลมว่า Vitamin C ยี่ห้อนี้ ดีกว่ายี่ห้อนั้น เราก็ไม่รู้ว่าเชื่อได้แค่ไหน (หากมันมาจากแหล่งเดียวกัน) ... ฝากไปคิดกันเล่นๆ แล้วก็ฝากบอกเราด้วยก็แล้วกันนะคะNatural vs. Synthetic Vitamin C ถ้าถามว่า ระหว่าง L-Ascorbic Acid ที่ได้จากธรรมชาติ กับ L-Ascorbic Acid สังเคราะห์ ตัวไหนดีกว่ากัน ... คำตอบก็คือ ... เราไม่รู้ 555 ... ตอนนี้ส่วนมากแล้วเค้าจะพูดว่า เท่าที่ความรู้มนุษย์เราในตอนนี้ ไม่แตกต่างกันค่ะ เค้าให้เหตุผลว่า มันมีโครงสร้างทางเคมีเหมือนกันทุกประการนั่นเอง แต่ก็จะมีกระแสต่อต้านด้วยเหมือนกันว่า มันไม่เหมือนกัน คือ ประมาณว่า ตามธรรมชาติจะมีสารธรรมชาติอื่นๆ เกื้อหนุนให้การทำงานของ L-Ascorbic Acid สมบูรณ์ในตัวอยู่แล้วอะไรทำนองนี้ ... ก็ฝากกันไปคิดเล่นๆ นะคะ ส่วนพวกเคลมบางอันก็บอกว่า bioflavonoids ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของ Vitamin C สังเคราะห์ ... นั่นก็อาจจะเป็นเพียงแค่เคลมนะคะ เพราะหาหลักฐานที่เชื่อถือได้ยังมีไม่มากพอ ส่วน vitamin C ester ต่างๆ ส่วนใหญ่แล้วก็จะช่วยได้แค่ antioxidant เพราะว่าระหว่างที่มันแตกตัวเป็น Ascorbic Acid และ อื่นๆ ... ไวตามินซีที่ใช้ได้ก็แทบไม่เหลือสภาพก่อนที่ร่างกายเราจะดูดซึมไปใช้ค่ะเรื่อยๆ เปื่อยๆ ชักเหนื่อย ... จากประสบการณ์ที่เราทดลองมาด้วยตัวเอง เราเคยใช้ vitamin c มานะคะ 1. Philosophy ผงไวตามินซี 2. Ascorbic Acid (เค้าไม่ได้เขียนว่า L-) แบบเกล็ด 3. Ascorbic Acid (แบบเกล็ด เอามาบดละเอียดด้วยครก) 4. L-Ascorbic Acid (แบบผงแป้ง) 5. L-Ascorbic Acid in Propylene Glycol (ซีรั่มสำเร็จรูป) 6. Magnesium Ascorbyl Phosphate (แบบผงแป้ง) ตัวที่เราใช้แล้วรู้สึกว่าดีที่สุดคือ (4) เราเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนทีเดียว และให้ผลดีและเร็วที่สุดเท่าในบรรดาตัวเลือกทั้งหมดนี้ ... สาเหตุที่เราคิดว่า (4) ดีกว่า (2) เป็นได้ คือ ละลายได้ยาก ทำให้ได้ใช้ %ไม่สูงพอ หรือ อาจจะมี D- ปนอยู่ เราก็ไม่รู้ได้ (แต่เราเดาว่าน่าจะเป็นกรณีแรกซะมากกว่า) ... เราจึงเอาไปบด (3) ซึ่งก็รู้สึกว่าบดไม่ละเอียดเท่าที่ควร ซึ่งก็รู้สึกว่าไม่ค่อยต่างจาก (2) มากนัก ... ส่วน (1) Philosophy Vitamin C เราใช้แล้วค่อนข้างเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร (ไม่รู้ทำไม) รู้แต่ว่าเล็บเหลือง ... สู้แบบ pure L-Ascorbic Acid ไม่ได้เลย แถมราคาแพงกว่าร้อยเท่า ... ส่วนระหว่าง (4) กับ (5) เราชอบ (4) มากกว่าอีก สาเหตุคงเป็นเพราะว่าเราได้ vitamin c ที่สดกว่า (เพราะเราผสมใหม่ทุกวัน) ... ส่วนตัวสุดท้าย (6) เรายังหาสูตรที่ลงตัวไม่ได้ ใช้มากไปแล้วทำให้ผิวแห้งกระจายเลย ตอนนี้พักไว้ก่อน เอาไว้ใจดีๆ แล้วจะหาสัดส่วนที่ลงตัวทีหลังฝากไปคิดกันเล่นๆ คิดกันเล่นๆ ... สาเหตุที่หมาๆ แมวๆ มันดูไม่แก่ (ไม่เหี่ยว) ทั้งที่อายุเยอะ เพราะพวกมันผลิตไวตามินซีได้เองรึเปล่านะ ... จริงๆ มนุษย์เราก็มียีนที่เอาไว้สร้างไวตามินซีเองได้ (ค้นพบโดยชาวญี่ปุ่น คือ Ohta Y. และ Nishikimi M. ในปี 1999) แต่น่าเสียดายเพราะว่ามันไม่ทำงานซะแล้วหล่ะ เพราะอะไรก็ยังไม่มีใครตอบได้ ... คิดดูกันเล่นๆ วันนึงวิวัฒนาการก้าวหน้ากว่านี้ ... หมอบอก ... มามะ จะ re-active gene ตัวนี้ให้ ทีนี้แหล่ะ คุณไม่ต้องห่วงว่าจะมีริ้วรอยอีกต่อไป (ถึงแม้จะแก่แค่ไหนก็ตาม) ... คิดไปโน่น เฮ้อ ... โลกนี้มีอะไรมากมายที่เรายิ่งเดินเข้าหามันก็ยิ่งงง ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าเรารู้น้อยมากๆ เลย ... ขุดไปขุดมาเจอตอเบ้อเริ่ม (พวกชาวคอร์ปทั้งหลาย) ขวางทางสว่างอีก ... เราก็ได้แต่มองตาปริบๆ เลือกสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุดในบรรดาทางเลือกที่เรามีอยู่ ... เอาล่ะ ฝากกันไว้อ่านกันเล่นๆ นะคะ ... ออกแนวๆ ประวัติศาสตร์ไปหน่อยมั๊ยนะ ^0^ ... เอาสนุกๆ ค่ะ อย่าซีเรียสมากReferences Linus Pauling Institute เขียนโดย Higdon, J., Drake, V.J., และ Frei, B. U.S. Department of Agriculture, Agricultural Research Service. USDA National Nutrient Database for Standard Reference, Release 22. 2009Thinking what no one had thought: Albert Szent-Györgyi and the discovery of vitamin C , ACS Chemistry for LifeVitamin C by Elson M. Haas M.D. Johnston CS, Luo B. Comparison of the absorption and excretion of three commercially available sources of vitamin C. J Am Diet Assoc. 1994;94(7):779-781 Gregory JF, 3rd. Ascorbic acid bioavailability in foods and supplements. Nutr Rev. 1993;51(10):301-303The Nature of Vitamin C The Vitamins by FAO.orgWiki Ohta Y. และ Nishikimi M. (1999)
Create Date : 10 มกราคม 2553
Last Update : 10 มกราคม 2553 12:22:35 น.
20 comments
Counter : 6571 Pageviews.
โดย: แมว IP: 118.173.95.209 วันที่: 10 มกราคม 2553 เวลา:15:19:11 น.
โดย: ต้นตาล IP: 98.154.157.246 วันที่: 10 มกราคม 2553 เวลา:16:44:52 น.
โดย: ตองดี IP: 124.157.149.199 วันที่: 10 มกราคม 2553 เวลา:18:55:52 น.
โดย: shayanid IP: 84.79.210.207 วันที่: 10 มกราคม 2553 เวลา:23:15:27 น.
โดย: ningpotter IP: 202.183.183.226 วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:10:38:27 น.
โดย: cappucino IP: 61.7.175.17 วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:16:20:35 น.
โดย: ~บุลภรณ์~ วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:17:15:13 น.
โดย: narusu IP: 180.180.19.5 วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:20:08:03 น.
โดย: narusu IP: 180.180.18.49 วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:20:32:09 น.
โดย: nadtha วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:22:59:06 น.
โดย: capucino IP: 61.7.170.160 วันที่: 12 มกราคม 2553 เวลา:12:49:34 น.
โดย: Galilee วันที่: 13 มกราคม 2553 เวลา:18:12:42 น.
โดย: i-Aun IP: 125.27.85.177 วันที่: 13 มกราคม 2553 เวลา:22:45:41 น.
โดย: Chicken_Little (คุณไก่ ) วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:20:38:10 น.
โดย: ภูวดล IP: 125.26.179.178 วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:15:13:53 น.
โดย: ก้อย IP: 118.173.65.81 วันที่: 11 มิถุนายน 2553 เวลา:11:20:58 น.
โดย: Guiman วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:16:23:54 น.
โดย: ตี๋น้อย IP: 171.97.80.141 วันที่: 13 มกราคม 2557 เวลา:0:31:08 น.
โดย: yiwu market IP: 133.130.49.172 วันที่: 6 กรกฎาคม 2558 เวลา:0:32:50 น.
"It's Phoebe! That's,
P as in
P hoebe;
H as in
h oebe,
O as in
o ebe;
E as in
e be;
B as in
b ebe; and
E as in ...
E llo there mate." Friends
There is no copyright here, unless otherwise specifically mentioned. If you find it useful, just take it. Thanks!
CHAT BOX
LAST UPDATES
LOSEING WEIGHT (BBC)
SKINCARE MINI SERIES
FAVORITES