Mini-Series -- Step 3: Repair
Step 3: Repair/Treat มาต่อภาค 3 กันดีกว่า จริงๆ ทุกๆ step ที่พูดมามีความสำคัญทั้งนั้นและต้องใส่ใจด้วย แต่ step นี้ ถือว่าเป็น step สำคัญที่สุด และจำไว้ว่า ขึ้นตอนนี้ ใช่ว่าทุกคนที่มีสภาพผิวแบบเดียวกัน จะต้องใช้ตัวเดียวกัน
Repair vs. Treat ก่อนอื่นต้องดูก่อนว่า เราต้องการจะ "REPAIR" หรือจะใช้คำว่า "TREAT" อะไรเป็นพิเศษ ในส่วนของ Repair คือการซ่อมแซม นั่นก็คือว่า เรามี damage เกิดขึ้นแล้ว ริ้วรอยเกิดขึ้นแล้ว แล้วเราต้องการจะซ่อมแซมมัน แล้วก็กันไม่ให้มันลุกลามเสียหายไปกว่าเดิม ส่วนการ Treat คือการบำรุงเพิ่มเติมเป็นพิเศษ จุดประสงคือเพื่อป้องกัน และ รักษาสภาพผิวให้ดีไปต่อไป
Repair การจะลบ หรือ ลดริ้วรอยที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องมองหา active ingredient ที่มีประสิทธิภาพ พวก plant extracts บางชนิดที่ผู้ผลิตบางรายอ้างว่าช่วยลดริ้วรอย เราไม่ขอพูดถึง ขอพูดถึงเฉพาะ clinically proven treatment อย่างเดียว ... แล้วเราแทบจะพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ตาม cosmetic counter ในห้าง หา products ที่ชื่อว่า wrinkle fighter หรือตัวที่ repair damage ได้จริงๆ ไม่เกิน 5 ชิ้น หรือหาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ... products ตาม counter ส่วนมาก แค่ช่วย maintain มากกว่า เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ควรหา product ที่มี active ingredient ที่ช่วยเรื่อง wrinkle ได้ (ตามสภาพผิว) แบบที่เข้มข้นมากพอ และใช้ได้ทุกวัน เช้า เย็น แล้วก็หาแบบที่เข้มข้นมากหน่อย (แต่ทำด้วยตัวเองได้) ไว้ใช้สัปดาห์ละครั้งMorning Treatment Vitamin C (เฉพาะ Ascorbic Acid) แบบความเข้มข้นประมาณ 10% เอาไว้ใช้ เช้า หรือ เช้า-เย็น ทุกวัน ... สาเหตุที่ควรใช้ vitamin c ในตอนเช้า เพราะนอกจาก vitamin c มันเป็น effective anti-aging แล้ว มันยังเป็นสุดยอด antioxidant อีกด้วย ... ascorbic acid อาจจะระคายเคืองผิวบ้าง แต่นั่นก็เป็นเรื่องปรกติ อาการยิบๆ แสบๆ นิด อาจจะเกิดกับคนที่ไม่เคยใช้มากก่อน ใช้ซักพักนึงก็จะชินไปเอง ... ส่วน Ascorbic Acid แบบเข้มข้น (ซัก 20-30%) จะเอาไว้ใช้เป็น treatment ซักสัปดาห์ละครั้ง ... หรือถ้าใครต้องการแบบรวดเร็ว (แล้วผิวทนได้) ลองไปตาม spa มองหา vitamin c treatment ซัก 30-40% ก็ได้ (แนะนำว่าอย่าทำเอง) สำหรับคนผิวบอบบางมากๆ มองหา Magnesium Ascorbyl Phosphate เอาไว้ใช้ เช้า เย็น ทุกวัน ... ตัวนี้ส่วนมากจะไม่บอกเป็น % ลองอ่าน ingredient list ดูละกัน ถ้ามันอยู่ในลำดับสองหรือสาม ถือว่าใช้ได้ ... ผลจะไม่ดีเท่า ascorbic acid แต่ระคายเคืองน้อยกว่า อาการก็จะคล้ายๆ กันคือ รู้สึกยิบๆ นิดๆ ทำไมใครๆ ก็พูดถึงไวตามินซี ... ก็อย่างที่เคยพูดไปหลายครั้ง ไวตามินซีมันสาระพัดประโยชน์ คือเป็น anti-aging ที่มีประสิทธิภาพ (หากใช้ในความเข้มข้นที่มากพอ) นอกจากนี้ยังเป็น antioxidant ที่ดีมาก แล้วก็ยังมีประโยชน์ในการ hydrate ผิวได้อีกด้วยNight Treatment ส่วนตอนกลางคืน จะเน้นไปที่การ exfoliate จะดีกว่า ... ทำไมเหรอ เพราะว่า เราไม่อยากเข้านอนแล้วมีซากผิวที่ตายแล้ว และสิ่งสกปรกอุดตันรูขุมขน ... แล้วก็ตามด้วย collagen builder คือตัวที่สามารถช่วยกระตุ้นการสร้าง collagen ได้อย่างดี ... มันจะได้ทำงานในขณะเราหลับ ค่อยๆ ซ่อมแซมผิวเราในขณะหลับ สำหรับคนผิวมัน อาจจะใช้ Retinol ซักราวๆ 0.3% หรือ Retin-A (ปรึกษาหมอก่อน) เป็น collagen builder ... เจ้าตัวนี้จะทำหน้าที่ exfoliate ผิว ลดการแสบร้อน ลดความมัน แล้วก็กระตุ้นการสร้าง collagen ในตัวด้วย ... ใครที่ไม่อยากหาหมอ จริงๆ มี retinol ที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ และก็เข้มข้นเพียงพอลองหากันดูAlways Exfoliate Your Skin พยายามดึงเอา hydroxy acids มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะ glycolic acid (8-15%) จะใช้เป็น cleanser, toner, serum อะไรก็ได้ ... จะช่วยผลัดผิวอย่างสม่ำเสมอ หรือจะเอาไว้ใช้สลับกับ vitamin c treatment ก็ได้ ... คือ treat ด้วย glycolic acid ก่อน พอหมด ก็ตามด้วย vitamin c treatment ใช้สลับกันไปเรื่อยๆ (ไม่เบื่อดี) ... นอกจาก exfoliate ผิวแล้ว glycolic acid ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวอีกด้วยFor Acne People สำหรับคนผิวมันและเป็นสิว สิ่งที่ขาดไม่ได้และต้องทำอย่างเร่งด่วน คือ การ exfolaite ผิว (ถ้าอยากรู้ว่าทำไมให้ลองไปอ่านเรืองสิวดู) ... การใช้ cleanser และ toner ที่มี salicylic acid ผสมอยู่ is a plus ... พอจบ mini-series แล้ว เราจะเขียนเรื่องสิวอุดตันนะ (โปรดคอยติดตามชม ... ถ้าเราไม่ลืมซะก่อน)
สรุปกันอีกทีว่าควรหาอะไรมาใช้ในขั้นตอนนี้ (คนส่วนมากขาดขั้นตอนนี้ไป) ... ascorbic acid, magnesium ascorbyl phosphate, retinol, retin-a, glycolic acid ทีนี้พอรู้แล้วว่าจะใช้อะไร ... ก็มาถึงขึขั้นตอนที่ว่าทำยังไงถึงจะมีประสิทธิภาพ
Time หลังเช็ดหน้า หรือ spray ด้วย toner (toning lotion) เพื่อปรับค่า pH ให้พอเหมาะ จากนั้นจึงทา (สมมุติว่าเป็น 10% ascorbic acid) serum ตัวนี้ให้ทั่วหน้า จุดสำคัญจุดนึงที่สำคัญมาก แต่หลายๆ คนมองข้ามไป คือการให้เวลากับมัน ให้มันซึมเข้าสู่ผิวให้หมดก่อน ... ขึ้นอยู่กับ serum หรือ lotiion หรือ cream ที่ใช้ ... ส่วนใหญ่ก็จะใช้เวลา 1-3 นาที หรืออาจจะนานกว่านั้น ... ยังไงก็ต้องรอ ห้ามใจร้อน ... ทาแล้วก็นวดๆ นิดหน่อยก็ดี แล้วก็รอจนมันซึมหายไปหมด ระหว่างที่รอ ก็จะทำอย่างอื่นก็ได้ จะได้ไม่เสียเวลา ไม่ว่าจะเป็นทา body lotion หรือ หาเสื้อผ้าที่จะใส่ (มีอะไรให้ทำเยอะแยะ) ... หาก vitamin c ที่ใช้เป็น silicone-based ก็อาจจะละลายน้ำนิดนึงก่อน หรือหากใช้ spray toner ผสมช่วยด้วยก็ได้ จะได้ซึมเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น จำไว้ว่า ถ้าเราไม่รอให้มันซึมเข้าไปหมด ... ประสิทธิภาพที่เราได้รับก็จะได้ไม่ตามที่มันควรจะเป็น ไม่ว่าจะเป็น glycolic acid, retinol หรืออะไรก็ตาม ... ต้องให้เวลามันซึมเข้าผิวให้หมดเกลี้ยงก่อน แล้วค่อยทา moisturizer ขั้นต่อไป เพื่อ hydrate ผิว
Choose Light and Runny Moisturizer/Serum over Heavy and Thick Cream ในขั้นตอนนี้ ... ควรจะใช้ serum ที่ใส หรือ เป็น้ำ มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะการใช้ treatment ที่เป็นครีมข้นๆ (มันข้นเพราะ thickener) มันจะไป block การซึมเข้าสู่ผิวหนังเรา ทำให้การดูดซึมต่ำลงอย่างมาก ... หากมีความจำเป็น (ไวตามินซีบางตัวเป็น silicone-based) ควรละลายน้ำ หรือทำหน้าให้ชุ่มด้วยน้ำ แล้วนวดจนมันละลายและซึมเข้าผิวให้หมดก่อน
สำหรับคนขี้เบื่อ วิธีนึงเราพบว่ามันมีประสิทธิภาพและไม่น่าเบื่อ คือ ... การ treat ผิวสลับกันไปเรื่อยๆ เริ่มต้นที่การ exfoliate ผิวก่อน เพราะถ้าผิวหนาๆ มีแต่ซากผิวที่ตายแล้วทับถม ทา vitamin c ลงไปก็ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ... ใช้ glycolic acid ในขั้นตอนนี้ เช้า เย็น จนหมดขวด (ราวๆ 2 เดือน) พอหมด ผิวตายแล้วก็จะหายไป พวกสิวก็จะค่อยๆ clear หายไปด้วย สองเดือนผ่านไปก็หา ascorbic acid มาใช้ ... ใช้เช้าเย็น ติดต่อกันไปเรือยๆ ระหว่างนี้จะหา cleanser ที่มี glycolic acid หรือ salicylic acid มาใช้ร่วมไปด้วย ... ทำแบบนี้ติดต่ออไปอีกราวๆ 2 เดือน ก็เปลียน treatment กลับไปเป็น ascorbic acid อีก ... หรือสำหรับคนผิวมัน หรือ ผิวธรรมดา ก็จะลองใช้ retinol เช้าเย็น อีกสองเดือน แล้วก็วนกลับไปที่ glycolic acid อีกก็ได้ ... ทำแบบนี้ผิวจะได้ไม่ถูกทารุนมากไป แล้วก็ไม่น่าเบื่อด้วย สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องจุดด่างดำ หรือสิว ... ก็ทาในขั้นตอนนี้ ... หาพวกยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ยาสิวมาแต้มสิวก่อน รอทิ้งให้มันซึมได้ที่ ... แล้วหากมีปัญหาจุดด่างดำ รอยสิวอาจจะหา artubin, kojic acid มาแต้มจุดที่เป็นสิว (อย่าลืมว่า ยาพวกนี้มันไม่ใช่ยางลบ มันใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือน เพราะว่ายาพวกนี้จะไปยับยั้งผิวใหม่ไม่ให้ผลิตเม็ดสีผิว ผิวเก่าที่มีเม็ดสีผิวเยอะมันก็ยังคงเยอะอยู่ ต้องรอให้มันลอกออกไปก่อน แล้วผิวใหม่ที่ออกมา ก็จะขาวกว่าเดิม) ... จำไว้ว่า การเอา alcohol มาทาสิว เพื่อลดความมันไม่ใช่วิธีแก้ที่ถูกต้อง เพราะอย่างที่เคยพูดไป ว่า น้ำมันไม่ใช่ตัวการของสิว แต่เกิดจากซากเซลล์ผิวที่ตายแล้วหมักหมมจนเกิดเป็นแบคทีเรีย
Weekly Treatment นอกจากนี้ อย่าลืม ... ทำ treatment แบบเข้มข้น สัปดาห์ละครั้ง ... จะเป็น mask ascorbic acid เข้มข้นซัก 15-30 นาที (ตามที่ผิวจะทนได้) หรือจะเป็น glycolic acid mask เข้มข้น ซัก 15-30 นาทีเช่นกัน ฟังดู หลายคนคงถามว่า มันมีแค่นี้เองเหรอ ตัวอื่นช่วยริ้วรอยไม่ได้เหรอ ... ตอบได้คำเดียวว่า ไม่ได้ค่ะ (ยกเว้นแต่ prescription drugs อื่นๆ) ... ถ้าใครต้องการ repair ริ้วรอย ตอนนี้ก็ต้องแบบนี้ค่ะ หรือใครจะมองหา skin lightening treatment มาทาในขั้นตอนนี้ก็ได้ ... อย่าลืมว่า มันต้องเข้มข้นพอ แล้วก็ต้องรอให้มันซึมเข้าสู่ผิวให้หมดก่อน บำรุงในขั้นตอนต่อไป
บทสรุป หลายๆ คนคิดว่า ตัวเองทำขั้นตอนนี้เป็นประจำ ... ลองถามตัวเองอีกที 1. คุณใช้ active ingredient ที่เข้มข้นพอรึเปล่า ? 2. คุณใช้ serum ใสๆ (ที่ไม่ใช่ครีม) รึเปล่า ? 3. คุณให้เวลามันซึมนานพอจนซึมหายเกลี้ยงเลยรึเปล่า ? 4. คุณรู้สึกระคายเคือง ยิบๆ แสบๆ นิด (แบบชั่วคราว) รึเปล่า ? ถ้าคำตอบบางข้อ ตอบว่าไม่ ... แสดงว่า คุณล้มเหลวในขั้นตอน Repair ค่ะ จำไว้ว่า ขั้นตอนนี้สำคัญ ต้องใช้เวลา จำไว้อีกอย่างนึงว่า กระบวนการ turnover ของผิวเราใช้เวลาประมาณ 30 วัน และถ้าอายุมากขึ้นมันก็จะนานขึ้นไปอีก ... ดังนั้นก็อย่าฝันว่าทาวันสองวัน หรืออาทิตย์สองอาทิตย์แล้วจะเห็นผลชัดเจน ทำได้แต่ในฝันค่ะ ... ต้องใจเย็นและให้เวลากับมัน และก็ต้องสม่ำเสมอด้วยค่ะ
Create Date : 11 กรกฎาคม 2551
Last Update : 13 กรกฎาคม 2551 16:50:49 น.
21 comments
Counter : 4482 Pageviews.
โดย: แพท ภัทรียา IP: 202.183.220.14 วันที่: 11 กรกฎาคม 2551 เวลา:14:43:50 น.
โดย: MinGie' IP: 203.121.177.141 วันที่: 11 กรกฎาคม 2551 เวลา:15:05:16 น.
โดย: BloodyHell IP: 202.76.143.100 วันที่: 11 กรกฎาคม 2551 เวลา:15:45:24 น.
โดย: Monica IP: 125.25.43.165 วันที่: 11 กรกฎาคม 2551 เวลา:16:23:32 น.
โดย: ตองดี IP: 117.47.238.175 วันที่: 11 กรกฎาคม 2551 เวลา:16:29:01 น.
โดย: ตองดี IP: 117.47.238.175 วันที่: 11 กรกฎาคม 2551 เวลา:16:30:26 น.
โดย: Cottony วันที่: 11 กรกฎาคม 2551 เวลา:16:52:10 น.
โดย: Monica IP: 125.25.43.165 วันที่: 11 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:23:55 น.
โดย: Gift IP: 202.91.18.206 วันที่: 12 กรกฎาคม 2551 เวลา:8:18:03 น.
โดย: Phoebe's Fan Club^^ IP: 88.77.15.2 วันที่: 13 กรกฎาคม 2551 เวลา:2:50:03 น.
โดย: พอลล่า (pollajub ) วันที่: 13 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:00:14 น.
โดย: yoko วันที่: 16 กรกฎาคม 2551 เวลา:9:47:26 น.
โดย: มิโกะ IP: 58.8.188.16 วันที่: 22 สิงหาคม 2552 เวลา:20:29:12 น.
โดย: Giftset 4 U IP: 58.10.149.145 วันที่: 5 สิงหาคม 2553 เวลา:11:33:44 น.
โดย: chattiwut IP: 202.55.142.13 วันที่: 8 ธันวาคม 2554 เวลา:11:35:45 น.
โดย: mssuchira วันที่: 24 มีนาคม 2555 เวลา:23:39:31 น.
โดย: เปิ้ล IP: 182.52.105.168 วันที่: 24 พฤษภาคม 2555 เวลา:17:14:29 น.
โดย: เอ๋ แม่กลอง IP: 125.27.187.55 วันที่: 26 ธันวาคม 2555 เวลา:6:04:38 น.
"It's Phoebe! That's,
P as in
P hoebe;
H as in
h oebe,
O as in
o ebe;
E as in
e be;
B as in
b ebe; and
E as in ...
E llo there mate." Friends
There is no copyright here, unless otherwise specifically mentioned. If you find it useful, just take it. Thanks!
CHAT BOX
LAST UPDATES
LOSEING WEIGHT (BBC)
SKINCARE MINI SERIES
FAVORITES
เริ่ดมาก
ต้องหามาใช้มั่งแย้ว อิอิ
แต่ในไทยมันไม่รู้จาไปหาจากไหนดีน้า