รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
22 มีนาคม 2555
 
All Blogs
 

ละได้ คือ ไม่กิน

ละได้ คือ ไม่กิน

ในตำราได้กล่าวไว้ว่า พระอริยบุคคลทั้ง 4 ประเภทมีความสามารถในการละกิเลสได้ต่าง ๆ กัน รายละเอียด ผมจะไม่นำมาเขียนไว้ว่า แต่ละชั้นของพระอริยบุคคลละอะไรได้บ้าง

แต่สิ่งที่ผมจะชี้ให้ท่านเห็น คือ คำว่า ละ มีอาการอย่างไรต่างหาก เพราะถ้าท่านเข้าใจผิดละก็ มันจะเป็นทุกข์ของนักภาวนาทีเดียว เพราะไม่อาจสนองการละตามที่ตนเข้าใจได้ทั้ง ๆ ที่ท่านได้ภาวนาถึงแล้ว

คำว่า ละได้ คือการไม่กินเข้าไปของจิตครับ

กิเลสมี แต่จิตไม่กินเข้าไป นี่คือการละได้ แต่คนไทยโดยมาก มักเข้าใจว่า การละได้ คือ การที่ไม่มีกิเลสโผล่ออกมาอีก ซึ่งเป็นการเข้าใจที่ผิดครับ

ถ้าท่านเข้าใจผิด ท่านจะทุกข์มาก ๆ แล้วก็เที่ยวค้นหายาดีมารักษาเพื่อให้สนองความเข้าใจของท่าน แต่แท้ที่จริงแล้ว ท่านไม่ได้ป่วยเลย แต่เป็นวิตกจริตขึ้นมาเอง

ผมจะอธิบายให้ท่านเห็นเรื่องการละ ที่แปลว่า จิตไม่กินเข้าไป

ในพระอริยบุคคล ชั้นที่ 1/2/3 นั้น ยังมีจิตที่มีอวิชชาอยู่ แต่ด้วยกำลังสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นของการภาวนาที่ได้ผลมาแล้ว ทำให้จิตมีกำลังต้านแรงดึงของตัณหา เมื่อเกิดกิเลสขึ้นในการปรุงแต่งนั้น กิเลสจะโผล่ขึ้นมาใน มโน (กิเลสจะเห็นเป็นก้อนพลังงานที่นักภาวนาในระดับนี้จะเห็นพลังงานนี้ได้) เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ ก็จะต้านแรงดึงของตัณหาได้ชนะ จิตจะคงตั้งมั่นอยู่ที่ฐานของจิต แล้วกิเลสที่เกิดขึ้น ก็คือพลังงานที่เป็นรูป ก็จะสลายไปเองตามธรรมชาติเนื่องจากไม่มีจิตเข้าไปเกาะติด นี่คือการละกิเลสได้ และ จิตจะเห็นการสลายไปของกิเลสที่เป็นไตรลักษณ์ เป็นปัญญาสะสมให้แก่จิตเอง

สำหรับพระอริยบุคคลขั้นที่ 4 นั้น จิตได้ทำลายอวิชชาแตกลงแล้ว จิตได้สลายตัวเป็นความว่างเปล่า ตัณหาจึงไม่อาจมีผลต่อความว่างเปล่าของจิตนี้ได้อีกต่อไป จึงเป็นการละได้ที่เด็ดขาด เพราะไม่มีจิตที่เป็นดวงอีก

ผมจะชี้ให้ท่านเห็นว่า ขบวนการละได้ดังกล่าวนั้น จะมาจากกำลังสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นจนชนะแรงดึงของตัณหาได้ในพระอริยบุคคล ขั้นที่ 1/2/3 ซึ่งอาการนี้ ก็คือ อาการของจิตแยกตัวออกมาจากขันธ์ได้แล้ว

ถ้าท่านนักภาวนายังฝึกแล้วจิตยังไม่แยกตัวออกมาแล้วเห็นขันธ์ที่สลายตัวลงเป็นไตรลักษณ์ได้ แเล้วเข้าใจด้วยตนเองว่า ตนเองได้สำเร็จธรรมในขั้นใดขั้นหนึ่งแล้ว นี่เป็นการเข้าใจผิดอย่างแรงเลยครับท่าน ถ้าท่านทีฝึกแล้วจิตแยกตัวออกมาแล้ว ก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่า ท่านเป็นพระอริยบุคคลในระดับที่ 1 แล้ว ถึงแม้ว่าท่านยังไม่ได้เป็น แต่การที่จิตแยกตัวได้อย่างนี้ ก็ใกล้การตกกระแสมากแล้วครับ ขอให้ใจเย็น ๆ ภาวนาต่อไปด้วยการไม่หวังผล แล้วจะดีเองครับ

ในทำนองเดียวกัน การละไม่ได้ คือ การที่จิตกินเข้าไป หรือ จิตเข้าไปยึดเกาะติดกับกิเลส ที่เป็นอย่างนี้ เพราะกำลังสัมมาสมาธิแพ้แรงของตัณหา ไม่อาจสู้แรงดึงของตัณหาได้ จิตจึงแพ้ตัณหา ในการภาวนานั้น จะเป็นความจริงที่ว่า บางครั้ง จิตก็ชนะตัณหา บางครั้งก็จะแพ้ ไม่ใช่ว่า ชนะได้ทุกครั้งไป แต่ถ้าเป็นระดับ 4 แล้ว ชนะได้เด็ดขาดทุกครั้งไป แต่ระดับ 1/2/3 จะชนะบ้างแพ้บ้าง ซึ่งขึ้นกับกำลังของสัมมาสติว่าจะเร็วมากแค่ไหน ขึ้นกับกำลังของสัมมาสมาธิว่าจะต้านแรงตัณหาได้หรือไม่ แต่ระดับ 3 นี้มักจะชนะมากกว่าแพ้ แต่ระดับ 1/2 นี้ จะแพ้กับชนะที่พอ ๆ กัน แต่ปุถุชนจะแพ้ตลอดชาติ ไม่มีทางชนะได้เลย แต่บางทีปุถุชนก็ยังปากแข็งว่า ไม่แพ้ ถ้าไม่เห็นกิเลสสลายตัวลงไป นั้นแหละครับ จิตกินกิเลสเข้าไปแล้วละครับ แต่ปุถุชนไม่รู้ตัวเอง

ถ้ากิเลสไม่โผล่ตัวออกมาเลย นี่ยังบอกไม่ได้ว่าละได้แล้วหรือยัง เพราะยังไม่ได้ปะหมัด แลกหมัดกันระหว่างกิเลสและแรงของสัมมาสมาธิ การที่่กิเลสโผล่มาบ่อย ๆ แล้วแรก ๆ แพ้มันไป ก็ไม่เป็นไร หมั่นฝึกต่อไป แล้วต่อไปเมื่อมีแรงดีขึ้น มีกำลังจิตตั้งมั่นมากขึ้นแล้ว พอมันโผล่มาอีกที ก็จะชนะมันได้ นี่คือประสบการณ์การพัฒนาทางจิตของนักภาวนาในการเลื่อนลำดับขั้น ถ้านักภาวนายังกลัวกิเลส อยากเป็นคุณหนูที่มีแต่สิ่งดี ๆ ปกป้องไว้ แล้วหลงไปว่า นี่ไง กิเลสไม่กล้าโผล่มาเลย เห็นไหม เมื่อไร ที่คุณหนูออกไปเดินคนเดียวในถนน ก็มีสิทธิถูกคนร้ายเล่นงานได้อย่างง่าย ๆ ดังนั้น อย่าได้กลัวกิเลส ให้มันโผล่มาแหละดี แล้วสู้กะมัน แพ้ไม่เป็นไร จะได้ตั้งใจฝึกต่อไป แล้วก็จะผ่านมันได้ในที่สุด

ที่ผมเขียนบทนี้ ก็เพื่อให้ท่านเข้าใจการพัฒนาของการภาวนาได้ถูก อย่าได้คิดเองว่า ต้องเป็นแบบนี้ แบบนี้ ซึ่งไม่ใช่ความจริงของทางผ่านในการภาวนาครับ




 

Create Date : 22 มีนาคม 2555
0 comments
Last Update : 23 มีนาคม 2555 5:18:08 น.
Counter : 1487 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.