ให้รู้สึกตัวแล้วตามรู้กายใจ ภาวนาอย่างนี้ใช่ใหม่ ??
ให้รู้สึกตัวแล้วตามรู้กายใจ ภาวนาอย่างนี้ใช่ใหม่ ??
***** ถ้าถามอย่างนี้ แล้วผมตอบว่า ใช่หรือไม่ใช่ ก็จะเกิดปัญหาทันทีเลยครับ เพราะว่า ถ้าอ่านในพระไตรปิฏก ในนันจะเขียนแล้วแปลเป็นภาษาไทยก็ได้ในลักษณะเช่นดังที่ถามคือให้ตามรู้ จุดที่ผมต้องทำความเข้าใจกับท่านก่อนก็คือ คำว่า "ตามรู้" ครับ
การตามรู้นั้น ถ้าเข้าใจแบบคนไทย ก็จะคล้าย ๆ กับการเป็นนักสืบที่ติดตามเหยื่อเป้าหมายที่ได้หมายตาไว้ ไม่ว่าเหยื่อจะทำอะไร ก็คอยเฝ้าดูว่าเหยื่อทำอะไร ซึ่งถ้าท่านใช้ความหมายของภาษาไทยที่เป็นแบบนี้ ผมตอบท่านได้ว่า ท่านกำลังเข้าใจผิดในการภาวนาแล้วครับ หรือ ถ้าท่านกำลังทำแบบนี้อยู่ในการภาวนาละก็ ผมตอบท่านได้ว่า ท่านกำลังทำผิดครับ
ในการภาวนานั้น การตามรู้นั้นจะต้องมาจากที่ว่า ท่านกำลังมีความรู้สึกตัวอยู่ เมื่อท่านรู้สึกตัวที่เป็นธรรมชาติเท่านั้น ท่านไม่ต้องไปทำอะไรอีก จิตเขาจะทำหน้าที่รู้ได้เอง เพราะมันคือคุณสมบัติของจิตครับที่ธรรมชาติของจิตเป็นอย่างนี้เอง โดยทีท่านไม่ต้องไปทำหน้าที่ตามรู้แทนจิตเลย
จุดที่น่าสนใจในการตามรู้ของจิตที่เป็นไปเองนั้น จะมีอยู่ 2 ลักษณะด้วยกัน คือ
แบบที 1 เมื่อจิตเห็นอาการของกาย/ใจแล้ว อาการของกาย/ใจ น้้นดับลงทันทีไปเป็นไตรลักษณ์
ถ้าในกรณีแบบนี้ จะเหมือนกับว่า จิตเพียงรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น ดังลงทันทีในสิ่งนั้นแต่ไม่ได้ตามรู้ตามดูแต่อย่างใด เมื่ออาการทางกาย/ใจ ดับลงไปแล้ว ก็จะเหลือแต่อายตนะที่รับรู้การสัมผัสที่เข้ามาทางระบบประสาท คือ ตามองเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น กายรู้สัมผัสทางกาย
แบบที่ 2 เมื่อจิตเห็นอาการของกาย/ใจแล้ว แต่อาการของกาย/ใจ ไม่ยอมดับลงทันที แต่ยังคงเกิดสืบเนื่องต่อเนื่องกันไป เช่น เมื่อท่านปวดท้อง จิตเห็นอาการปวดแล้วละ แต่อาการปวดไม่จบลงไป เพราะยังมีเหตุให้ปวดท้องเกิดอยู่ ท่านคงปวดท้องต่อไป ถ้าเป็นอย่างนี้ จิตจะไปเฝ้าตามดูอาการปวดท้องแบบคล้าย ๆ นักสืบติดตามเหยื่อ จิตไม่ทิ้งการเฝ้าดูอาการปวดท้องเลย แต่การเฝ้าดูอย่างนี้ของจิต ท่านนักภาวนาไม่ต้องไปทำอะไรเลย จิตเขาจะติดตามเฝ้าดูอาการที่กำลังเกิดขึ้นนั้นเอง และในขณะที่จิตเฝ้าดูอาการนี้อยู่ นักภาวนาก็แทรกแซงจิตไม่ได้เสียด้วย จิตจะเฝ้าอย่างดูอย่างนั้น จนเลิกดูไปเอง ซึ่งทั้งหมดเป็นการเกิดขึ้นที่เป็นการทำงานของจิตเองทั้งสิ้น
*** แต่ทั้ง 2 แบบที่กล่าวข้างต้น จะเกิดแก่นักภาวนาที่จิตได้แยกตัวออกมาได้จากขันธ์ได้บ้างแล้ว ซึ่งหมายความว่า เกิดแก่นักภาวนาที่ผ่านการฝึกฝนสติปัฏฐาน 4 มาแล้วและได้ผลบ้างแล้ว เมื่อเกิดทั้ง 2 แบบขึ้น นักภาวนาจะเห็นได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ตัวเขา ไม่ใช่ของ ๆ เขา
แต่ถ้าในกรณีของนักภาวนามือใหม่ ที่ไร้กำลังจิต ไร้กำลังตั้งมั่นแห่งสัมมาสมาธิ อาการทั้ง 2 แบบจะไม่เกิดขึ้น แต่จะเป็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในอาการทางกาย/ใจ จิตจะไหลไปยึดและทำให้นักภาวนาเข้าใจว่า อาการทางกาย/ใจ ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นของเขา เป็นตัวเขา เขาเจ็บป่วยทางกาย เขาปวดท้อง และ อาการต่าง ๆ ล้วนเป็นเขา เป็นของเขาทั้งสิ้น
ผมอยากจะเสริมความเข้าใจให้แก่ท่านนักภาวนาว่า การจงใจที่เป็นการกระทำเพื่อการตามรู้ตามดูสภาวะธรรมของตัวนักภาวนาเอง เป็นการกระทำด้วยความอยาก ซึ่งไม่สมควรจะกระทำอย่างนี้เลย เพราะการภาวนานั้น เราสมควรรู้ทุกข์คืออาการทางกาย/ใจ ที่ไร้ตัณหา ไร้ความอยากที่จะรู้ แต่ขอให้รูุ้เองด้วยกลไกธรรมชาติของจิตโดยท่านกำลังมีความรู้สึกตัวที่แสนธรรมดาอยู่
Create Date : 17 มีนาคม 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 17 มีนาคม 2555 10:50:45 น. |
Counter : 1323 Pageviews. |
|
|
|