ตั้งใจรู้เพื่อดูการไหลของเลือด ควรทำไหม
1. ในการฝึกปฏิบัติ ระหว่างวันทั่วๆไปเวลาว่างๆ ระหว่างการลูบแขน กับดูอาการอาการไหวๆของเลือดในตัว เหมือนกันไหมครับ การลูบแขนเรารู้ตัวหลวมๆแต่ก็ต้องมีเจตนาที่จะลูบแขน กับการดูอาการเลือดไหวๆ ก็มีเจตนาจะดูเหมือนกัน ถ้าไม่ดูก็จะไม่รู้สึกครับ ยกเว้นบางทีรู้สึกไหวๆเอง สักพักก็จะหายไปครับ (ก่อนหน้านี้ผมเข้าใจว่าอาการไหวๆในตัวรู้สึกเอง ตอนนี้รู้เพิ่มว่ามีทั้งแบบรู้เอง นานๆจะรู้ที จะรู้ตอนเคลื่อนไหวร่างกายแล้วหยุดนิ่งๆ เช่นเดินแล้วหยุดเดินจะรู้สึกครับ กับแบบที่ตั้งใจรู้ครับ) เวลาว่างๆผมชอบที่จะตั้งใจดูอาการไหวๆครับ อันนี้กลายเป็นการเพ่งกายหรือเปล่าครับ ควรทำหรือไม่ครับ หรือว่าแค่ลูบแขนหรือพลิกมือ กำมือก็ดีแล้ว [ผมรู้อาการไหวๆของเลือดในตัวได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่มือทีละข้าง เป็นมือ2 ข้าง รวมขา รวมตัว บางทีรู้เป็นจุด บางทีรู้กระจายๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นผลจากการปฏิบัติที่ถูกหรือผิดครับ]
***** ผมมีความเห็นดังนี้ครับ 1. ระหว่างการลูบแขน และ การดูอาการไหว ๆ ของเลือด ใช้ได้ทั้ง 2 แบบครับ
แต่การดูอาการไหว ๆ ของเลือดจะยากกว่ามาก และ บางคนจะรู้ไม่ได้เลย
แต่การลูบแขน แล้วรูุ้สึกถึงอาการเมื่อลูบไป คือ การสัมผัสขณะลูบ การเคลื่อนการไหวที่เกิดขึ้นของมือที่ลูบ คนทั่วไปจะรับรู้ได้ทุกคน
2.การตั้งใจรู้อาการ เช่นที่ว่าตั้งใจรู้การไหลของเลือด นี่เป็นสมถะภาวนาครับ จะว่าเป็นการเพ่งก็ได้เช่นกัน
ถ้าถามว่า ควรทำไหม ก็แล้วแต่เหตุการณ์ครับ เช่น ถ้าคุณจำเป็นต้องทำให้จิตสงบโดยเร็ว เพราะกำลังมีอารมณ์เสียอย่างแรงกับหัวหน้างาน อย่างนี้ก็ควรทำครับ แต่ถ้าในการฝึกฝนปรกติ ที่จิตใจของคุณยังดีอยู่ ถ้าเป็นอย่างนี้ ผมแนะนำว่า.ไม่ควร.ทำครับ
3.ในการฝึกฝนนั้น ถ้าจะให้ดีและง่ายด้วย ก็คือให้หาอะไรก็ได้ที่รู้สึกได้ง่าย ๆ มารับรู้ความรู้สึกแบบไม่ต้องไปจงใจที่จะรู้ เช่น คุณจะแบบมือ กำมือ ลูบแขน อะไรก็ได้ เพราะที่ทำอย่างนี้ ก็รู้สึกได้ง่ายโดยที่ไม่ต้องไปจงใจรู้ การรู้หยาบ ๆ นี่คือฐานของกำลังเลยครับ คนบางคนมักเข้าใจว่า ต้องไปรู้ละเอียด ๆ แล้วก็พยายามหนีสิ่งหยาบ ๆ ไม่พยายามฝึกรู้สิ่งหยาบ ๆ โดยคิดว่า มันไม่ดีพอ ซึ่งเป็นการเข้าใจที่ผิดครับ
ในการภาวนานั้น ถ้าคนใหม่ฝึกต้องรู้หยาบ ๆ เสมอเพราะกำลังจิตไม่ยังอ่อนมาก และ ก็ทิ้งไม่ได้เลยของหยาบ ๆ นี่ พอฝึกรู้หยาบ ๆ ไป กำลังจิตจะเพิ่มขึ้นเอง เมื่อเพิ่มขึ้น ก็จะรู้ ทั้งหยาบ ๆ และ รู้ละเอียดมากขึ้นไปเรื่อย ๆ จะเห็นว่า อย่างไรเสีย การรู้ของหยาบก็ยังต้องมีอยู่เสมอ ไม่ว่าจะฝึกไปถึงระดับไหนก็ตาม ก็ต้องมีของหยาบให้รู้เสมอครับ
(แนะนำอ่าน //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=01-2012&date=08&group=15&gblog=85
4.เมื่อคุณฝึกดูเลือด แล้วรู้ได้มากขึ้น นี่เป็นกำลังของสมถะครับที่กำลังจิตมากขึ้น แต่ว่า มันเป็นการยึดติดแบบสมถะ ผมจึงแนะนำให้คุณอย่าไปทำอย่างนั้น เพราะการพ้นทุกข์นั้น จิตต้องมีกำลังแต่ต้อง.ไม่.ยึดติดครับ นี่คือข้อแตกต่าง แต่คนโดยมาก พอฝึกสมถะแบบยึดติด จะพบกับความสุขสงบดีมาก ๆ ก็เลยชอบ แต่การฝึกจิตแบบไม่ยึดติด จะพบ กับอาการทางจิตที่มีแต่ทุกข์ คนจะไม่ชอบกัน ก็เลยทำให้การฝึกแบบสมถะที่ยึดติดเป็นที่นิยมกันมากกว่า แต่มันไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ครับ
คนที่ฝึกสมถะแบบยึดติดนั้น ถ้ายังไม่มีอะไรกระทบจิตใจ เขาจะรู้สึกสงบดีมาก ๆ แต่ถ้าเมื่อไร ที่มีการกระทบทางจิต เขาจะเปลี่ยนแปลงไปทันที จะกลายเป็นคนที่โมโหร้ายกว่าคนทั่วไป และจะหยุดโมโหได้ยาก เพราะจิตเขาคุ้นกับการยึดติด
แต่คนที่เขาฝึกแบบไม่ยึดติด พอจิตเริ่มมีกำลังมากขึ้น เขาจะพบกับอาการทางจิตที่ไม่ดีมากขึ้น ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่า จิตมีกำลังมากขึ้น อาการไม่ดีทางจิต ความจริงมีอยู่แล้ว แต่ก่อนหน้าเขาจับมันไม่ได้เอง แต่พอกำลังจิตมีมากขึ้น ก็เลยจับได้ มากขึ้น ทำให้คนฝึกแบบนี้ มักเข้าใจว่า ฝึกผิดทาง เพราะยิ่งฝึก ยิ่งเห็นกิเลสตัวเองมากขึ้น แต่ตำราหรืออาจารย์สอน มักบอกว่า ฝึกถูกกิเลสต้องลดลงที่เป็นเครื่องบ่งบอกว่าฝึกถูก ทำให้คนส่วนมาก พอฝึกแบบปล่อยวางไปสักพัก ก็จะเลิกฝึกแบบนี้ เพราะไปเข้าใจว่า แบบนี้ไม่ใช่แล้ว เพราะยิ่งฝึกยิ่งแย่ กิเลสยิ่งมากขึ้น
ในการภาวนานั้น การจะกำลังกิเลสตัวใดได้นั้น ต้องมาจากที่ว่า จิตเห็นกิเลสตัวนั้นได้ก่อน พอจิตเห็นกิเลสตัวนั้นได้แล้ว จิตจะประหารกิเลสนั้นทันทีด้วยกำลังแห่งสัมมาสมาธิ ทำให้จิตเห็นกิเลสที่เกิดนั้นเป็นไตรลักษณ์ เกิดขึ้นดับไป เป็นการสะสมปัญญาให้แก่ให้เห็นแก่นแท้ของกิเลส
เมื่อจิตสะสมปัญญาไปมาก ๆ เข้าเพราะเห็นไตรลักษณ์ของกิเลส พอถึงจุดหนึ่ง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่จิตจะทำลายระดับของกิเลสให้ลดลงไป มากกว่าเดิม เมื่อจิตทำลายกิเลสลงลง กำลังจิตก็จะสูงมากขึ้นไปอีก เมื่อจิตกำลังสูงมกาขึ้น ก็ยิ่งเห็นกิเลสได้มากขึ้นไปอีก เหตุการณ์ทำลายกิเลสแบบนี้จะเกิดวนเวียนไปหลายครั้ง พอถึงครั้งสุดท้าย จิตจะทำลายกิเลสหมดลงพร้อมอวิชชาที่จบลงไป แล้วเกิดการรู้แจ้งเห็นธรรมที่แท้จริงได้และเกิดการปล่อยว่างอย่างถึงที่สุด ขบวนการทำลายกิเลสจะเกิดแบบนี้ ผมเขียนเล่าให้ฟัง จะได้ไม่เข้าใจผิดในเรื่องผลการภาวนาแบบปล่อยวางว่า การทำลายกิเลสที่ว่าาลดลงนั้นจะเกิดได้อย่างไร *****
2. เวลาผมนอนเล่นเน็ต หรืออ่านหนังสือ ผมชอบนอนคว่ำแล้วตีขาเหมือนว่ายน้ำ หรือกระดิกเท้า หรือเขย่าตัว อ่านไปรู้อาการไหวๆไปด้วย อย่างนี้พอใช้ได้หรือเปล่าครับ **** ถ้าทำอย่างนี้ได้บ่อย ๆ ดีมากเลยครับ ถ้าคุณชอบก็ให้ทำเรื่อย ๆ ครับ
Create Date : 19 มีนาคม 2555 |
|
1 comments |
Last Update : 19 มีนาคม 2555 6:30:01 น. |
Counter : 1113 Pageviews. |
|
|
|
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=03-2012&date=14&group=15&gblog=111