หลายเรื่องราว...เล่าเรื่องลูก...ที่คงไม่มีวันเลือนหาย..ในความรู้สึกของแม่
Group Blog
 
<<
เมษายน 2549
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
26 เมษายน 2549
 
All Blogs
 
ทางที่เลือกเดิน

รอเจอร์กับจินนี่ เป็นลูกๆของเพื่อนบ้าน สองครอบครัวนี้มีบ้านอยู่เยื้องๆกับบ้านของแม่น้องนิกเอง แม่น้องนิกเห็นเด็กสองคนนี้ตั้งแต่อายุ13 ปี เรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น เมื่อสองคนนี้เติบโตจนเรียนมัธยมปลาย จินนี่กับรอเจอร์ก็มีความรักต่อกัน

พ่อแม่รอเจอร์นั้นไม่ได้ห้ามลูก เพราะฝ่ายตัวเองนั้นได้เปรียบ พ่อแม่ของจินนี่ไม่ค่อยจะพอใจให้ลูกคบหากับรอเจอร์เพราะอยากให้ลูกเรียนจบมหาวิทยาลัยก่อน แต่ก็อย่างว่าแหละว่า ห้ามอะไรก็ห้ามได้ ห้ามคนไม่ให้รักกันนั้นยาก เด็กสองคนคบหากันอย่างเปิดเผยท่ามกลางความพอใจและไม่พอใจของพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย ฝ่ายหญิงนั้นกลัวว่าลูกสาวจะท้อง ส่วนแม่ฝ่ายชายนั้นความที่ได้เปรียบก็เฉยเสีย

จินนี่กับรอเจอร์คบหากันได้ปีเศษ วันหนึ่งแม่น้องนิกเจอรอเจอร์ขณะที่แม่น้องนิกรดน้ำอยู่หน้าบ้าน ถามรอเจอร์ว่า แฟนเธอสบายดีมั๊ย รอเจอร์ตอบว่า เมียผมเหรอครับ สบายดีครับ พร้อมๆกับอวดแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย และบอกว่าผมกับจินนี่แต่งงานกันแล้ว แม่น้องนิกยังงงคิดว่ารอเจอร์ล้อเล่น ก็จะให้เชื่อได้ไง ในเมื่อเด็กสองคนนี้อายุ 19 ปี ในความรู้สึกของแม่น้อง
นิกแล้ว อายุเท่านี้แม่น้องนิกยังกินยังเที่ยวไม่อิ่มเลย งานการก็ยังไม่มีทำ ขอเงินพ่อแม่ใช้ แล้วจะให้เชื่อลงไปได้อย่างไร

วันต่อมาตอนไปช๊อปปิ้ง แม่น้องนิกเจอรอเจอร์พร้อมครอบครัว แม่รอเจอร์บอกแม่น้องนิกว่า เด็กสองคนเนี่ยแอบไปแต่งงานกัน เพราะจินนี่ท้องได้สามเดือน ก็ถึงบางอ้อล่ะค่ะทีนี้ แม่น้องนิกก็ดีใจไปกับเขาด้วยที่อย่างน้อยๆเด็กสองคนนี้ก็ยังมีความรับผิดชอบต่อเด็ก เพราะเด็กอเมริกันพออายุ 18 ปีเขาก็มีสิทธิที่จะตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตของตัวเองได้โดยที่พ่อแม่ไม่มีสิทธิห้าม เด็กสองคนนี้เลยไปแต่งงานกันซะให้ถูกต้อง เพียงแต่แม่น้องนิกเสียดายว่า เด็กสองคนนี้ยังใช้ชีวิตวัยรุ่นได้ไม่นานนัก ก็ต้องมารับผิดชอบชีวิตใหม่ที่กำลังจะถือกำเนิด

ก็ได้แต่หวังค่ะว่า ชีวิตเด็กสองคนนี้จะดำเนินไปตลอดรอดฝั่ง ถมเถไปในสังคม อเมริกันที่มีผู้หญิงเป็น single mom หรือแต่งงานกันเมื่ออายุยังน้อย และเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย อายุ 18 เด็กอเมริกันก็พร้อมที่จะไปเผชิญชีวิตนอกบ้าน ไม่จำเป็นต้องอยู่กับพ่อแม่อีกต่อไป เจอแบบนี้ก็ทำให้นึกถึงลูกเราขึ้นมาเลยทีเดียว แม่น้องนิกไม่ค่อยจะชอบความเสรีและกฏแบบนี้เท่าไหร่นัก อาจจะเป็นการดีที่จะสอนให้ลูกเข้มแข็งที่จะใช้ชีวิตด้วยตัวเองโดยไม่มีพ่อแม่เป็นฝ่ายให้ แต่ทว่ามันก็เป็นความเสี่ยงอีกเช่นกันที่เด็กจะเลือกเดินทางผิดด้วยวัยที่ยังเยาว์

แม่น้องนิกเห็นเด็กสองคนนี้ตั้งแต่เขาอายุยังน้อย มันจึงเป็นความผูกพันธ์เล็กๆที่ได้เห็นเขาค่อยๆเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาว และวันนี้เด็กสองคนนี้ก็เลือกทางเดินของตัวเอง และกำลังจะเป็นพ่อแม่ของอีกชีวิตหนึ่งในอนาคต แม่น้องนิกได้แต่หวังว่า ทั้งสองจะประคับประคองชีวิตคู่ไปได้ตลอดรอดฝั่ง ดังเช่นความรักที่ทั้งสองมีต่อกันยามแรกรัก


Create Date : 26 เมษายน 2549
Last Update : 26 เมษายน 2549 8:39:02 น. 5 comments
Counter : 656 Pageviews.

 
เรื่องราวอย่างนี้มีเยอะค่ะ เราก็ต้องเลี้ยงลูกเราด้วยความอบอุ่นของครอบครัว แม่บีเชื่อว่าถ้าครอบครัวมีความรักให้ลูกๆจนเต็มอิ่ม เค้าก็จะไม่ไปแสวงหาความรักจากข้างนอก


โดย: Bee1st วันที่: 26 เมษายน 2549 เวลา:13:38:03 น.  

 


โดย: BIG MANGO IP: 124.121.171.133 วันที่: 26 เมษายน 2549 เวลา:13:48:39 น.  

 
พี่ว่าวัฒนธรรมมีส่วนกำหนดชีวิตของคน ความที่พออายุ 18 พ่อแม่ก็ให้ลูกออกไปทำงานเลี้ยงตัวเองได้แล้ว เขาก็ต้องคิดว่าชีวิตเป็นของเขา เขาเลี้ยงตัวได้แล้ว พ่อแม่ขอร้องสั่งสอนสิ่งใดจึงไม่ฟัง

ผิดกับบ้านเราที่เราเลี้ยงลูกจนเรียนจบ ฉะนั้นเด็กจะยังพอเชื่อฟังอยู่บ้าง และด้วยความรู้สึกที่ว่ายังเรียนไม่จบคือยังเป็นเด็กอยู่ ต้องเคารพผู้ใหญ่ ต้องเชื่อฟังแม้ไม่เต็มใจก็ยังยอม เด็กๆบ้านเราจึงไม่ทำแบบนี้มากนัก ยิ่งครอบครัวที่ดูแลลูกใกล้ชิด ลูกจะไม่ออกนอกทางเลย พี่เห็นมาหลายบ้านแล้ว และขอยืนยันว่า ถ้าพ่อแม่รักและมีเวลาให้ลูกมากพอ เด็กจะเชื่อเรามากกว่าเพื่อน แม้เขาจะหลงเพื่อนตามประสาวัยรุ่น แต่ถ้าถึงคราวต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญมากๆแล้ว เขาจะคิดถึงคำพ่อแม่และเชื่อคำสอนของพ่อแม่ นั่นคงเพราะความรักและเชื่อมั่นว่าพ่อแม่หวังดีต่อเขาจริงๆ

แม้ใครจะบอกว่าคนตะวันออกเลี้ยงลูกเป็นลูกแหง่ ไม่รู้จักโต แต่พี่ก็ยังชอบวัฒนธรรมของเรามากกว่า พี่ว่าเด็กมีความยั้งคิดและมีพื้นหัวใจที่เต็มมากกว่า ว้าเหว่น้อยกว่านะ อันนี้หมายถึงโดยภาพรวมนะจ๊ะ



โดย: ตะเบบูญ่า IP: 58.136.68.184 วันที่: 26 เมษายน 2549 เวลา:20:19:42 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณBee1st

ก็หวังว่าลูกโตขึ้นจะคิดอย่างนั้นค่ะแต่ก็อดกลัวไม่ได้เหมือนกัน

สวัสดีค่ะพี่ตะเบบูญ่า

แม่น้องนิกก็คิดเหมือนๆพี่ค่ะ แม้ใครจะมอง
ว่าไทยเราเลี้ยงลูกเหมือนลูกแหง่ แต่เด็กไทย
เราไม่มีปัญหามากเหมือนฝรั่งเขา บางครั้งก็
อดที่กลัวไม่ได้นะคะเพราะนิกเขาโตในสัง
คมฝรั่ง เราไม่ดิ้นไปหามัน มันก็ดิ้นมาหาเรา
งี้ค่ะพี่ แต่แม่น้องนิกก็พยายามจะหนัก
แน่นอย่างที่พี่บอกว่า เราสอนเขามาดี ให้
ความรัก พอถึงเวลาที่สำคัญๆที่จะต้องตัด
สินใจ นิกก็จะนึกถึงพ่อแม่ก่อน

บางครั้งเจ้านิกเขาก็เป็นอย่างที่พี่บอกค่ะ
คือเพื่อนให้หยิบของๆครูโดยที่ครูไม่ได้อนุญาต แล้วนิกก็ปฏิเสธที่จะหยิบ เขามา
เล่าให้แม่ฟังว่าเขารู้สึกว่ามันไม่ดี เลยไม่ทำ
แล้วไม่ชอบด้วย แม่น้องนิกก็ดีใจนะคะพี่ที่ลูกเข้าใจว่า สิ่งที่เพื่อนให้ทำ มันไม่ดี



โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.141.43 วันที่: 27 เมษายน 2549 เวลา:0:03:52 น.  

 
เหมือนฉากเริ่มต้นของหนังเรื่องหนึ่งเลยนะคะ
พ่อกับแม่อายุยังน้อย แต่ก็มีความรับผิดชอบกันดีอยู่
แม้ว่าเราไม่อาจรู้ว่า ในอนาคตครอบครัวเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ตาม
แต่อย่างน้อย ณ วันนี้ เขาก็ได้รับผิดชอบและทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้วค่ะ

ตรงกันข้ามกับบ้านเรา ไม่ค่อยมีเรื่องราวแบบนี้ให้ได้เห็นเท่าไหร่นัก
ส่วนใหญ่จะมีแต่ เด็กท้อง ทำแท้ง เอาลูกไปทิ้ง ฯลฯ

ส่วนตัวแล้วหนูคิดว่า หนูชอบและเห็นด้วยกับการเลี้ยงลูกในแบบฝรั่ง ที่สอนให้มั่นใจในตัวเอง และรับผิดชอบตัวเองได้ ไม่ค่อยชอบการเลี้ยงลูกแบบไทย ๆ เท่าไหร่ค่ะ โอ๋กันมากเกินไป พอโตมาแก้ปัญหาเองไม่ได้ อายุ 30 กว่า เกาะพ่อเกาะแม่กินก็เห็นมาเยอะค่ะ.......อนาจ

เพราะบุคลิกส่วนตัวหนูห้าว ๆ ลุย ๆ ไงคะ
เลยไม่ชอบการเลี้ยงแบบในกรอบเหมือนที่เคยโดนเลี้ยงมาเลยสักนิด
พอหลุดกรอบแล้วมันเป๋ไปเป๋มา ต้องมาจัดการชีวิตเองตอนโต
-------ยุ่งยากม๊ากมากกก------


โดย: กากีซ่าส์ วันที่: 27 เมษายน 2549 เวลา:12:19:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mommy and me
Location :
California United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mommy and me's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.