ศึก"เนชั่น-ผู้จัดการ" (เก่าแล้ว)
ศึก"เนชั่น-ผู้จัดการ" แกะรอยท่อ"น้ำเลี้ยง" ไทยรักไทย-สนธิ
ในขณะที่นักการเมืองกำลังลับมีดเตรียมสับอีกฝ่ายให้แหลกคาเขียงในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถึงขั้นจะเอาถ้วยมารองเลือด
หนังสือพิมพ์ก็ร่วมโหมโรงกับเขาด้วย เมื่อเนชั่นกับผู้จัดการ เปิดศึกฉะกันเองอย่างร้อนแรง
สำหรับเนชั่นกับผู้จัดการ ถือเป็นค่ายที่มีอะไรคล้ายๆ กัน มีผู้นำค่ายคือ สุทธิชัย หยุ่น และ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่พยายามเสาะแสวงหา "ช่องทาง" ในการเติบโต ไม่ยอมอยู่เฉพาะในเรื่องสิ่งพิมพ์ และพยายามขยายงานออกไปทางวิทยุ โทรทัศน์อันเป็นธุรกิจที่มีผลตอบแทนสูงกว่า
ในสมัยที่ฟองสบู่ยังไม่แตก สนธิ ลิ้มทองกุล เจ้าของเครือผู้จัดการ ซึ่งตั้งเป้าหมายจะเป็น "โมกุล" ของวงการสื่อแถวๆ นี้ นำเสนอทฤษฎีโลกาภิวัตน์ ในหน้าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการอย่างฟู่ฟ่า ส่วนสุทธิชัยบุกไปเอาดีทางทีวีวิทยุ
เมื่อฟองสบู่แตก ค่ายเนชั่นต้องเลย์ออฟ-ลดเงินเดือนพนักงาน ส่วนผู้จัดการสนธิกลายเป็นบุคคลล้มละลายจากหนี้แบงก์นครหลวงไทย 150 ล้านบาท ตั้งแต่มีนาคม 2543 และจะพ้นจากสภาพนี้ในปี 2546
ด้วยกลยุทธ์ทางกฎหมายและทางธุรกิจ กิจการของสนธิหลายอย่างพังพาบไป แต่หลายกิจการยังอยู่ และรอโอกาสฟื้นขึ้นมาใหม่
โอกาสมาถึงเข้าจริงๆ เมื่อรัฐบาลไทยรักไทยผงาดขึ้นมา สื่อที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลประชาธิปัตย์ต้องถอยร่นออกไป
ขุมเงินขุมทองสำคัญ ก็คือสื่อร้อนอย่าง วิทยุ โทรทัศน์ ซึ่งรัฐบาลมีอำนาจจัดการดูแลอยู่
เนชั่นมีภาพของสื่อที่ใกล้ชิดรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จึงตกฐานะลำบาก โดยเฉพาะไอทีวียุคเนชั่นซึ่งได้สิทธิหลายอย่างในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
ไอทีวีแก้ปัญหาขาดทุนไม่ได้ และถูกเทกโอเวอร์โดยชินคอร์ปของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีการปลดนักข่าวทำให้เกิดการเปิดประเด็น "แทรกแซงสื่อ" ขึ้นมา
สนธิออกโรงผ่านรายการวิทยุ "คารวะแผ่นดิน" ในชื่อ "พายัพ วนาสุวรรณ" ออกมาสนับสนุนการเทกโอเวอร์ไอทีวีของชินคอร์ป
สนธิยังได้เวลาจากช่อง 9 ทำรายการโทรทัศน์ "ก่อนจะถึงวันจันทร์" แขกคนแรกของรายการนี้ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกอากาศเมื่อ 3 มิถุนายน 2544 มีสปอนเซอร์อย่าง การบินไทย แบงก์กรุงไทย ปตท.
และต่อมายังได้เวลาจัดรายการ "เมืองไทยวันนี้" ทางช่อง 9 อีกเช่นกัน
สถานการณ์การเมืองทำให้สองฝ่ายโคจรมาเผชิญหน้ากัน ซึ่งในสายตาบุคคลภายนอก อาจจะดูเหมือนเป็นสงครามตัวแทนระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน
วันที่ 9-12 เมษายน 2545 ที่ผ่านมา เนชั่นเปิดหน้า Business อันเป็นหน้าเศรษฐกิจ-ธุรกิจ ในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ เสนอบทรายงาน 4 ตอนรวด ตั้งข้อสงสัยการปรับโครงสร้างหนี้ของเอ็มกรุ๊ป ที่จะทำให้หนี้ของเครือนี้ลดลงไปนับพันล้านบาท
และยังมองไปถึงการที่รัฐบาลเอื้อเฟื้อต่อกิจการของค่ายนี้เป็นพิเศษ
ต้นสายปลายเหตุของการที่เนชั่นลุกขึ้นมาทำเรื่องนี้ น่าจะเป็นการ "เอาคืน" หรือตอบโต้ค่ายผู้จัดการนั่นเอง
รายงาน 4 ตอน เกิดขึ้นหลังจากเว็บไซต์ "ป้อมพระสุเมรุ" ของผู้จัดการได้เสนอบทความของ "รุ่งอรุณ สุริยามณี" ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเงาใกล้ชิดของสนธิ ที่มีเนื้อหาทั้งเจาะจง และพาดพิงถึงเครือเนชั่นหลายตอนด้วยกัน
ในระยะนั้น รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังตุปัดตุเป๋ เพราะต้องเผชิญข้อหาแทรกแซงสื่ออย่างตั้งรับแทบไม่ทัน
ตั้งแต่กรณีฟาร์อีสเทิร์นฯ ซึ่งสื่อในเครือเนชั่นก็ใส่ไม่ยั้ง มาจนถึงกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ตรวจสอบธุรกรรมการเงินของสื่อ ซึ่งยิ่งเล่นหนักเพราะผู้บริหารเนชั่นโดนตรวจสอบเอง
รุ่งอรุณชี้แจงในเว็บไซต์ว่า ที่ต้องกลับมาและต้องใช้พื้นที่ในเว็บไซต์ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดบางอย่างของหนังสือพิมพ์ และเพื่อความสะดวกในการเขียนตามสถานการณ์
นอกจากบทความที่ทำหน้าที่ตอบโต้เครือเนชั่น รุ่งอรุณยังวิเคราะห์พรรคประชาธิปัตย์ ตลอดจนเครือข่าย เอาไว้ในเว็บไซต์อย่างดุเดือด
อย่างเช่นการวิเคราะห์ถึง "พันธมิตรนรกแตก" ที่ประกอบด้วย นักการเมืองจาก 4 แหล่งที่มา คือ สภาสูง-สภาล่างและนอกสภาอีก 2 คน รวม 4 คนด้วยกัน
ท้ายบทความ ยังมีการเปิดพื้นที่ให้ผู้ที่เข้ามาอ่านได้แสดงความคิดเห็น ซึ่งถือว่า เป็นการใช้พื้นที่เว็บไซต์อย่างได้ผล
บทความจากเดอะเนชั่น ตอนแรก ตีพิมพ์วันที่ 9 เมษายน 2545 ระบุว่า เจ้าหนี้ของเอ็มกรุ๊ป เจ้าของผู้จัดการรายวัน อาจยอมตัดยอดหนี้ 70 เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมด 6,070 ล้านบาท ตามแผนปรับโครงสร้างของบริษัทในไตรมาส 3 ของปีนี้
เนชั่นระบุว่าแหล่งข่าวในกลุ่มเจ้าหนี้ เจ้าหนี้รายใหญ่ของเอ็มกรุ๊ป อาทิ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ลงความเห็นว่า การปรับลดยอดหนี้ จะเป็นทางออกที่ดีกว่าการขายหลักทรัพย์ที่จำนองไว้
ก่อนหน้านี้ธนาคารนครหลวงไทย หนึ่งในเจ้าหนี้ ขู่ฟ้องล้มละลายต่อเอ็มกรุ๊ป แต่ฝ่ายบริหารเจรจาให้ถอนฟ้องได้ โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่จะรับประกันหนี้เพิ่มขึ้น
สำหรับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือสนธิ ซึ่งถือหุ้น 44.82 เปอร์เซ็นต์ และยังเป็นบุคคลล้มละลายและจะพ้นสถานะในวันที่ 18 มีนาคม 2546
และมีข่าวจากบางกอกโพสต์ว่า ธนาคารกรุงไทยได้ยกระดับเอ็มกรุ๊ปเป็นลูกหนี้ชั้นดีและอาจอนุมัติเงินกู้ก้อนใหม่อีก
บทความของเนชั่นระบุว่า เอ็มกรุ๊ปเป็นบริษัทแม่ที่มีบริษัทในเครือจำนวนมาก แต่ทำรายได้น้อย เนื่องจากมีปัญหาทางการเงิน ปลายปี 2543 เอ็มกรุ๊ปมียอดขาดทุนสุทธิ 329.9 ล้านบาท
แต่เมื่อ 2544 รัฐบาลใหม่เข้าบริหารประเทศ ฐานะการเงินของเอ็มจีอาร์ดีขึ้น เพราะได้สัญญาทำรายการ "ก่อนจะถึงวันจันทร์" และ "เมืองไทยรายวัน" ทางช่อง 9 และรายการวิทยุทางคลื่นเอฟเอ็ม 99.5 มีรายได้จากค่าโฆษณาของรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง
โดยรวม เท่ากับเนชั่นพยายามชี้ว่า รัฐบาลกำลังอุ้มเอ็มกรุ๊ปโดยผ่านทางสถาบันการเงิน และหน่วยงานต่างๆ
ในบทความตอนที่สอง ฉบับวันที่ 10 เมษายน กล่าวถึงการฟื้นขึ้นมาใหม่ราวกับนกฟีนิกซ์ของอาณาจักรสนธิว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสนธิกับรัฐบาลพรรคไทยรักไทย เป็นปัจจัยที่มีส่วนช่วยอย่างสำคัญ
ธนาคารกรุงไทยให้เงินกู้ 40 ล้านบาท แก่บริษัทไลฟ์ไทยแลนด์ ผู้ผลิตรายการก่อนจะถึงวันจันทร์ และเมืองไทยรายวัน ส่วนรายการวิทยุที่จัดในนามผู้จัดการมีเดีย ก็มีสปอนเซอร์ระดับการบินไทย ธนาคารกรุงไทย และ ปตท. ให้การสนับสนุน
รายงานตอนนี้ ระบุว่าปี 2540 เอ็มกรุ๊ปเผชิญวิกฤต มีหนี้สินรวมกันกว่า 20,000 ล้านบาท โดยเฉพาะเอ็มกรุ๊ป มีหนี้ 6,000 ล้านบาท ผู้จัดการมีเดีย 4,700 ล้านบาท และโรงพิมพ์ตะวันออก 2,300 ล้านบาท
เอเชียไทมส์ขาดทุน 24 ล้านเหรียญสหรัฐและเอ็มกรุ๊ปยังต้องค้ำประกันเงินกู้ 1,200 ล้านบาท ที่กรุงไทยอนุมัติให้กับบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็นจิเนียริ่ง พีแอลซี (ไออีซี) ที่นายสนธิซื้อกิจการไว้
เนชั่นระบุว่า ภาระหนี้สินมหาศาล และโอกาสสร้างกำไรที่น้อยมาก การอนุมัติเงินสนับสนุนจากรัฐวิสาหกิจทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเอ็มกรุ๊ปกับรัฐบาล
และในฉบับวันที่ 11 เมษายน 2545 อันเป็นตอนที่สาม เนชั่นระบุถึงความสัมพันธ์ของผู้จัดการกับรัฐบาลว่า มีคนของผู้จัดการเข้าไปมีบทบาทในรัฐบาลหลายคนด้วยกัน
อย่าง พันศักดิ์ วิญญรัตน์ เพื่อนรักของสนธิ อดีตบรรณาธิการเอเชียไทมส์ หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษของเอ็มกรุ๊ป เมื่อหนังสือพิมพ์ปิดตัวลง ก็ไปร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และขณะนี้เป็นที่ปรึกษาของ พ.ต.ท.ทักษิณ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้ก่อตั้งผู้จัดการมีเดียและเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัทนี้ในปี 2535
นายวิโรจน์ นวลแข กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจและส่วนตัวกับสนธิ ภรรยาของวิโรจน์เคยร่วมถือหุ้นในบริษัทอัลตรา ทราเวล ที่สนธิถือหุ้นใหญ่
สนธิเองรู้จักกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และเคยเขียนเล่าไว้ว่า ได้มอบหุ้นบริษัทไออีซี 17.5 เปอร์เซ็นต์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยไม่คิดมูลค่า
คนของเอ็มกรุ๊ปยังได้เข้ามามีบทบาทในหน่วยงานสำคัญ อาทิ นายกนก อภิรดี อดีตผู้บริหารเอ็มกรุ๊ป และผู้จัดการมีเดีย ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่คนใหม่ของการบินไทย
เนชั่นระบุว่า สนธิมักปรากฏตัวร่วมกับที่ปรึกษาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้เพื่อนๆ ของสนธิเชื่อว่า อาณาจักรผู้จัดการจะฟื้นขึ้นมาใหม่ และเมื่อพ้นภาวะล้มละลายในวันที่ 18 มีนาคม 2546 สนธิจะกลับมายิ่งใหญ่เหมือนในอดีต
ส่วนในฉบับวันที่ 12 เมษายน บทความตอนสุดท้ายกล่าวถึงกิจการของสนธิ ในประเทศต่างๆ ซึ่งยังเป็นของสนธิโดยผ่านทางบริษัทผู้ถือหุ้น
การเอื้อเฟื้อแก่สนธิจากรัฐบาล นอกจากมีการเปิดโปงจากเนชั่นแล้ว บรรดาผู้ที่เคยอยู่ในแวดวงกิจการเดียวกันอย่าง เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ส.ว.กรุงเทพฯ หรือ สมเกียรติ อ่อนวิมล ส.ว.สุพรรณบุรี ซึ่งถูกยึดรายการในสมัยรัฐบาลไทยรักไทย ต่างออกมาแสดงความไม่พอใจ
มีเสียงวิจารณ์ว่า รัฐบาลกำลังละเมิดรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ที่ห้ามรัฐให้เงินหรือทรัพย์สินอุดหนุนหนังสือพิมพ์หรือทรัพย์สินอื่นของเอกชน
เชื่อว่าอาจจะมีการนำเอาเรื่องนี้ไปอภิปรายในสภาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ขณะที่ เทพชัย หย่อง แห่งเดอะ เนชั่น ประกาศว่าจะเสนอให้สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ พิจารณาสอบสวนเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ปรากฏความคืบหน้าแต่อย่างใด
ส่วนผู้จัดการเอง ไม่ได้มีการตอบโต้ในประเด็นเหล่านี้แต่อย่างใด สถานการณ์อาจจะเป็นไปตามสูตร ทีใครทีมัน
และในขณะที่ผู้จัดการจะค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา คนอุ้มคือรัฐบาลจะเหี่ยวลงไปขนาดไหน โปรดติดตาม"
รายละเอียดทั้งหมดโปรดติดตามได้จาก หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 03 ธันวาคม พ.ศ. 2547 หน้า 2"
ส่วนนี่มาจากเว็บ 101NewsChannel ครับ
Create Date : 28 สิงหาคม 2550 |
Last Update : 28 สิงหาคม 2550 16:22:26 น. |
|
0 comments
|
Counter : 403 Pageviews. |
|
|
|
| |