ซีรีส์ฮาร์ดคอร์ลากไส้สื่อเห้(เก็บตก):ตำนานแนวหน้า
นายวารินทร์เจ้าของ นสพ. แนวหน้าคือใคร นายวารินทร์ คือลูกเขยคุณหญิงสุเนตร พงษ์โสภณ นายวารินทร์ได้เมียคนที่ 2 เป็นลูกเลี้ยงคุณหญิงสุเนตร เมื่อคุณหญิงสุเนตรตายไป ทรัพย์สมบัติคุณหยิงก็คกเป็นของนาย วารินทร์ และลูกสาวคุณหญิง เมื่อรวมมรดกของคุณหญิง และสมบัติของตัวเองซึ่งได้มาจากการเป็นเอเย่นต์ขายตั๋วเครื่องบินทั่วโลก และบริษัทยาม SECURICOR และบริษัทขนส่ง AIR CARGO แล้ว มีมากพอให้นายวารินทร์นำมาละเลงก่อตั้ง นสพ.แนวหน้าซึ่งขาดทุนทุกๆปีได้สบาย คำ ถามมีว่า ทำไมนายวารินทร์ถึงเป็นศตรูกับนักการเมืองหลายๆคนทั้งๆที่ไม่ได้มีผล ประโยชน์อะไรขัดกัน คำตอบคือ เมื่อก่อน ป๋าเปรมและนายประสงค์ สุ่นสิริได้สนับสนุนให้นายวารินทร์เป็น สว. นายวารินทร์จึงเป็นหนี้บุญคุณคนทั้ง 2 จริงๆแล้ว บุญคุณมันน่าจะทดแทนเพียงพอแล้วโดยการให้ นสพ. แนวหน้าของตนเองเป็นกระดาษระบายความคิดอันเป้นปฏิปักษ์กับนักการเมืองฝ่าย ตรงกันข้ามซึ่งถึงขนาดให้นายประสงค์เข้าไปนั่งเขียนบทวิจารณ์โจมตีบุคคล ต่างๆด้วยตนเอง การยินยอมให้นายประสงค์เข้าไปปู้ยี่ปู้ยำหนังสือพิม์แนวหน้าขนาดขาดทุนนับ สิบๆล้านนี้พวกบรรดาพี่น้องนายวารินทร์ไม่เห็นด้วยอย่างหนัก แต่พูดอะไรไม่ได้ ดังนั้นไม่น่าแปลกใจว่าทำไม นสพ.แนวหน้าจึงหลับหูหลับตาตั้งหน้าตั้งตาด่าพวกนักการเมืองที่อยู่ฝ่ายตรง กันข้ามกับป๋าเปรม และนายประสงค์ สุ่นศิริตลอด ความจริงยังมีประวัติส่วนตัวที่โลดโผนของนายวารินทร์อีกมากที่ยังไม่เปิดเผย และจะเปิดเผยในโอกาสอันควรต่อไป รับรองสนุกแน่ถ้านายวารินทร์ยังประพฤติตัวเป็นสมุนรับใช้ ป๋าเปรมอยู่อีก
จากคุณ : alisco20 - [ 20 พ.ค. 52 07:27:05 A:58.8.107.68 X: ]
อดีตผู้อำนวยการแนวหน้าฟ้องผู้อำนวยการแนวหน้างานนี้น่าจะเป็นบทเรียน ของนักบริหารในการประชุมได้ดี
นิตยสารผู้จัดการ( พฤษภาคม 2528)
บาง ทีการที่มีหุ้นมากกว่าคนอื่นแล้วไม่ระมัดระวังตัวเอาคนอื่นออกจากตำแหน่ง บริหารก็อาจจะต้องถูกหมิ่นประมาทเป็นคดีอาญาอย่างเช่นกรณีที่ เผด็จ ภูรีปฏิภาณ ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ข่าวสด และอดีตผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฟ้อง วารินทร์ พูนศิริวงศ์ ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์แนวหน้าคนปัจจุบันเป็นจำเลยในคดีความอาญาในข้อหา หมิ่นประมาท ณ ศาลแขวงพระนครเหนือ
"เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2527 เวลากลางวันในระหว่างการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นบริษัทหนังสือพิมพ์แนวหน้าจกัด ซึ่งจำเลย (วารินทร์ พูนศิริวงค์) เป็นประธานการประชุม จำเลยได้บังอาจนำความเท็จใส่ความโจทก์ว่า โจทก์ไม่มีสมรรถภาพในการบริหารงาน กรรมการผู้อื่นอีก 7 คน ไม่สามารถที่จะบริหารงานได้เมื่อยังมีคุณเผด็จอยู่ในตำแหน่ง จำเลยบังอาจใส่ความโจทก์ต่อไปอีกวา จำเลยไม่สามารถที่จะร่วมงานกับผู้ที่ดักฆ่าจำเลยได้และ "คุณเผด็จไปจ้างคนมาฆ่าผมแล้วผมรู้ด้วยว่าเป็นใคร" จำเลยยังได้แจ้งความไว้กับกองปราบแล้วด้วยทั้งนี้โดยประการที่จำเลยต้องการ ให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียงเกียรติยศถูกดูหมิ่นเกลียดชัง
ข้างบนนี้ก็เป็นคำฟ้องที่ เผด็จ ภูรีปฏิภาณได้ยื่นฟ้องต่อ วารินทร์ พูนศิริวงศ์ ต่อศาลแขวงพระนครเหนือเมื่อปลายปีที่แล้ว
และศาลแขวงก็ประทับรับฟ้องว่าคดีนี้มีมูล
เผด็จ ภูรีปฏิภาณ เป็นนักหนังสือพิมพ์มาตลอดตรั้งแต่แตกเนื้อหนุ่มจนปัจจุบันอายุขึ้นเลข 4 ต้น ๆแล้ว
จาก พิมพ์ไทยสมัย มานะ แพร่พันธุ์ มาเป้นคอมลัมนิสต์ชื่อดังที่ใช้ชื่อวา "พญาไม้" ในหนังสือพิมพ์บ้านเมืองและดาวสยามในยุคก่อนและหลัง 14 ตุลา จนในที่สุดรวบรวมหุ้นกับเพื่อนฝูงทำหนังสือพิมพ์ชื่อแนวหน้า โดยพึ่งพาอาศัยโรงพิมพ์ของหนังสือพิมพ์บ้านเมือง
วารินทร์ พูนศิริวงศ์ เป็นคนขายตั๋วเครื่องบิน และคร่ำหวอดมาในธุรกิจการบิน จนกระทั่งประสบความสำเร็จในการตั้งบริษัทรับส่งของทางอากาศที่ชื่อ เวิร์ล เอ็กซเพรส ขึ้นมา
ในต้นปี 2525 นักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งที่กำลังหาทุนกับนักธุรกิจที่อยากมีหนังสือพิมพ์ไว้เป็นบารมี ก็โคจรมาพบกันโดยความจำเป็น
เผด็จ ภูรีปฏิภาณ จำเป็นต้องหาแหล่งทุนในการทำหนังสือพิมพ์
วารินทร์ พูนศิริวงศ์ จำเป็นต้องหาคนทำหนังสือพิมพ์เป็นมาร่วม
การจดทะเบียนสมรสก็เริ่มด้วยการเพิ่มทุนจาก 1 ล้านบาท เป็น 9 ล้านบาทในปลายเดือนพฤษภาคม 2525
หลัง จากนั้นอีกไม่ถึงปีก็เพิ่มทุนจาก 9 ล้านบาทเป็น 18 ล้านบาทในปลายปี 2525 และต่อมาอีกไม่ถึงปีก็เพิ่มทุนจาก 18 ล้านบาทเป็น 27 ล้านบาทในปลายปี 2526 แบ่งออกเป็น 270,000 หุ้น ๆ ละ 100 บาท
วารินทร์ พูนศิริวงศ์ ในที่สุดก็ถือหุ้นทั้งของตัวเองและครอบครัวในจำนวน 149,455 หุ้นหรือ 55% ยังไม่นับพรรคพวกที่อยู่ข้างตัวเอง
ส่วนเผด็จ ภูรีปฏิภาณก็ยังคงถืออยู่ 10,799 หุ้นเหมือนเดิมตั้งแต่ปี 2525 ไม่เปลี่ยนแปลง
ความ ขัดแย้งระหว่างนักหนังสือพิมพ์ที่ชื่อเผด็จ ภูรีปฏิภาณ กับนักธุรกิจชื่อ วารินทร์ พูนศิริวงศ์ ได้มีมาตลอดในรูปแบบของการบริหารงาน ซึ่งเป็นเรื่องของนโยบายกับวิธีการปฏิบัติตลอดจนวิธีการทำงานที่มักจะสวนทาง กันอยู่เสมอ จนการเผชิญหน้ากันคงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ในวันหนึ่งข้างหน้านั้น
และแล้ววันนั้นก็มาถึง
ในวันที่ 10 สิงหาคม 2527 ก็ได้มีการเรียกประชุมวิสามัญขึ้นมา
ในวันนั้นมีผู้เข้าร่วมประชุมดังนี้
1. วารินทร์ พูนศิริวงศ์
ผู้ถือหุ้น
2. บริษัทสัณฑวัตน์ จำกัด โดย วารินทร์ พูนศิริวงศ์ ผู้รับมอบอำนาจ 10,000 หุ้น
3. ธาตรีพรหม จาตุรงคกุล 15,000 หุ้น
4. อุดมศักดิ์ อุชชิน โดย วารินทร์ พูนศิริวงศ์ ผู้รับมอบอำนาจ 2,500 หุ้น
5. ผาณิต พูนศิริวงศ์ 30,000 หุ้น
6. วรินทร์ พูนศิริวงศ์ โดยวารินทร์ พูนศิริวงศ์ ผู้รับมอบอำนาจ 7,155 หุ้น
7. ชูพงศ์ มณีน้อย โดย วารินทร์ พูนศิริวงศ์ ผู้รับมอบอำนาจ 9,000 หุ้น
8. ประสงค์ ธนเศรษฐกร 3,000 หุ้น
9. สุภาพ คลี่ขจาย 2,700 หุ้น
10. บริษัทตัณตกิตต์ จำกัด โดยบุญเนตร ตันตกิตต์ ผู้รับมอบอำนาจ 7,500 หุ้น
11. บริษัท เดกรุ๊ป จำกัด โดยกฤตย์ รัตนรักษ์ ผู้รับมอบอำนาจ 20,000 หุ้น
12. ธวัช ตั้งจิรวงษ์ 15,020 หุ้น
13. วันชัย ชินธรรมมิตร 2,510 หุ้น
14. พัชรี ชินธรรมมิตร โดยวันชัย ชินธรรมมิตร ผู้รับมอบอำนาจ 7,510 หุ้น
15. ปรเมศวร์ วชิรปาน 1,800 หุ้น
16. ไพวงศ์ เตชะณรงค์ 1,800 หุ้น
17. เผด็จ ภูรีปฏิภาณ(เข้าประชุมหลังจากถูกปลดแล้ว) 10,799 หุ้น
การประชุมวันนั้นคือการหงายไพ่กันเพื่อปลดเผด็จ ภูรีปฏิภาณ ออกจากกรรมการและผู้อำนวยการโดยวารินทร์ พูนศิริวงศ์ อ้างว่าไม่อาจจะร่วมงานกันได้
กฤตย์ รัตนรักษ์และวันชัย ชินธรรมมิตรคัดค้านร่วมกันโดยให้เหตุผลผลว่าทั้งคู่เข้ามาถือหุ้นในนี้เพราะ เผด็จเป็นคนชวนและก็ไว้ใจให้เผด็จดูแลผลประโยชน์แทนตนเอง
วารินทร์ก็ บอกว่าได้เคยตักเตือนเผด็จด้วยวาจาหลายครั้ง และเกรงจะถูกทำร้ายก็เลยแจ้งความกับตำรวจไว้แล้ววารินทร์ก็รวบยอดให้ผู้ถือ หุ้นลงมติว่าจะปลดเผด็จหรอืไม่ โดยทั้งกฤตย์และวันชัยเสนอให้ลงคะแนนอย่างเปิดเผยแต่วารินทร์และผาณิต พูนศิริวงศ์ ให้ลงเป็นคะแนนลับ ซึ่งบุญเนตร ตันตกิตติได้รับมอบหมายให้เป็นกรรมการนับคะแนน ในที่สุดเผด็จ ภูรีปฏิภาณก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งในคะแนนเสียง 182,255 ต่อคะแนนเสียง 48,640 โดยสละสิทธิ์ไม่ลงคะแนน 7,500 เสียง
(182,255 คะแนนคือเสียงของผู้ถือหุ้นตั้งแต่หมายเลข 1 ถึง 9 ส่วน 48,640 คะแนนคือเสียงของผู้ถือหุ้นหมายเลข 11 ถึง 16)
เรื่องมันก็น่าจะจบเพียงแค่นั้นถ้าไม่มีการยืนยันกันวา วารินทร์ พูนศิริวงศ์ พูดออกมาว่าเผด็จ ภูรีปฏิภาณ จะฆ่าวารินทร์ พูนศิริวงศ์
เรื่อง ที่ควรจะจบก็เลยต้องไปพิสูจน์กันที่ศาล ส่วนวารินทร์นั้นจะพูดจริงหรอืมไจริงและจะหมิ่นหรือไม่หมิ่นนั้นก็ต้องไปนำ สืบและไปหักล้างพยานกันเอง
สำหรับเผด็จ ภูรีปฏิภาณแล้วเรื่องนี้ก็คงต้องสู้กันถึงที่สุด
ส่วนวารินทร์นั้นอย่างน้อยเวลานี้ก็ยังมีเอกสิทธิ์ทางสภาคุ้มกันอยู่ในฐานะเป็นวุฒิสมาชิกแต่ถ้าพ้นสมัยประชุมเมื่อไหร่ วารินทร์เองก็เห็นจะต้องประกันตัวออกมาสู่คดีกันแน่
ที่มา Gotomanager
Create Date : 21 พฤษภาคม 2552 |
Last Update : 21 พฤษภาคม 2552 20:18:13 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2538 Pageviews. |
|
|
|
| |