ทีวีไทย ทีวีสาธารณะ ทีวีของใคร
ในที่สุดเมืองไทยก็มีทีวีสาธารณะเกิดขึ้นมา ด้วยเป้าประสงค์สำคัญคือ เพื่อให้คนในสังคมไทยได้มีสถานีโทรทัศน์ที่สามารถนำเสนอเรื่องราวของประชาชนได้อย่างเต็มที่ แต่มาถึงวันนี้ คนไทยจำนวนไม่น้อยกำลังวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทีวีสาธารณะไม่มีอะไรแตกต่างไปจากฟรีทีวีช่องอื่นๆ เพราะข่าวและรายการต่างๆ ที่นำเสนอไม่มีความแตกต่างกัน มิหนำซ้ำยังดูประหนึ่งว่า ทีวีสาธารณะจงใจจะทำให้สังคมเกิดการแบ่งแยกเป็นฝักเป็นฝ่ายเสียด้วยซ้ำไป ทีมข่าวรุ่นแรกของไอทีวีหลายคนฝากคำถามมาว่า ทีวีไทยยังยึดมั่นนโยบายนำเสนอข่าวอย่างเป็นกลางหรือไม่
ปฐมบททีวีสาธารณะ
1 ปี 3 เดือน หลังสำนักนายกรัฐมนตรียึดคลื่นUHF คืนจากบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) แล้วตัดต่อพันธุกรรมให้ทีวีเสรีกลายเป็นทีวีสาธารณะ โดยในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ จะประกาศรายชื่อคณะกรรมการนโยบายถาวร 9 คนของทีวีสาธารณะ ต่อจากนั้นในวันที่ 15 กรกฎาคม คณะกรรมการนโยบายชั่วคราว 5 คนของทีวีไทย ทีวีสาธารณะแห่งแรกของประเทศ ก็จะหมดหน้าที่ ต้องส่งต่อการบริหารจัดการให้กรรมการนโยบายถาวร
นั่นหมายถึงนายขวัญสรวง อติโพธิ นายอภิชาติ ทองอยู่ นายณรงค์ กล้าหาญ นางนวลน้อย ตรีรัตน์ จะต้องเดินออกจากชั้น 13 อาคารชินวัตร 3 ถนนวิภาวดีรังสิต ที่ตั้งอดีตสถานีโทรทัศน์ไอทีวีหรือทีวีไทยในปัจจุบัน
ยกเว้นนายเทพชัย หย่อง จะยังอยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการองค์กรกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยต่อไปจนถึงวันที่ 15 สิงหาคม หรือจนถึงวันที่กรรมการนโยบายถาวรสรรหาบุคคลเข้ามาทำหน้าที่ผู้อำนวยการองค์กรได้เรียบร้อยแล้ว
กระบวนการตัดต่อพันธุกรรม
ทันทีที่พระราชบัญญัติองค์กรกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยมีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2551 พนักงานทีไอทีวี 1,037 คน ซึ่งมีสถานภาพเป็นพนักงานรับจ้างของกรมประชาสัมพันธ์ก็กลายเป็นคนว่างงานทันที
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ มีการประกาศรายชื่อพนักงานที่ได้รับการว่าจ้างเป็นพนักงานชั่วคราวขององค์กรกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือไทยพีบีเอส ซึ่งเริ่มแพร่ภาพตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม
การประกาศรายชื่อครั้งนั้น พนักงาน 86 คนถูกคัดออก โดย 46 คนเป็นพนักงานฝ่ายข่าว ตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการฝ่ายข่าวลงมาจนถึงระดับบรรณาธิการข่าวและผู้สื่อข่าวสายการเมืองบางคน
ต่อจากนั้นอีก 4 เดือน พนักงานฝ่ายข่าวโดยเฉพาะผู้สื่อข่าวและผู้ประกาศเริ่มทยอยลาออกอีกประมาณ 40 คน เนื่องจากเป็นกลุ่มพนักงานที่ได้รับผลกระทบด้าน "แนวทาง"และ "แนวคิด" ในการทำงานมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งที่ว่างลงและตำแหน่งที่เพิ่มขึ้นในโครงสร้างเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายทีวีสาธารณะ ต่างก็ถูกแทนที่ด้วยบุคลากรจากกลุ่มเอเอสทีวี เครือเดอะเนชั่นและกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่ากบฏไอทีวี ที่ไม่ต้องผ่านการสอบคัดเลือก แต่เข้าไปได้ด้วยสัญญาจ้างแบบชั่วคราวหรือฟรีแลนซ์ เช่น กลุ่มที่เรียกตัวเองว่ากบฏไอทีวี ได้แก่ น.ส. ชมพูนุช คงมล เป็นบรรณาธิการข่าวภูมิภาค, น.ส. อรพิน ลิลิตวิศิษฏ์วงศ์ บรรณาธิการโต๊ะข่าวธรรมาภิบาล, น.ส. นาฏยา แวววีรคุปต์ ผ้ช่วยบรรณาธิการบริหาร ดูแลโต๊ะข่าวประชาสังคม, น.ส. กรุณา บัวคำศรี ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร ทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการข่าวภาคเช้า
นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ อดีตหัวหน้าข่าวสายความมั่นคงหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์และบรรณาธิการศูนย์ข่าวอิศรา เป็นบรรณาธิการข่าวการเมือง, นายอภิชาต บัวทอง อดีตผู้สื่อข่าวเอเอสทีวี เป็นผู้ช่วยบรรณาธิการข่าวการเมือง , นายเถกิง สมทรัพย์ นายกสมาคมนักข่าววิทยุโทรทัศน์ กรรมการผู้จัดการบริษัทวอชด็อกของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายข่าว, นายประกาศิต คำพิมพ์ อดีตผู้สื่อข่าวเอเอสทีวีที่เข้ามาทำงานแล้วแต่ยังไม่รู้ว่าอยู่ในตำแหน่งใด
ไอทีวีมีพนักงานฝ่ายข่าวรวม 380 แต่ทีวีไทยในขณะนี้มีพนักงานฝ่ายข่าวเกือบทะลุ 400 แล้ว และยังคงรับพนักงานเข้ามาเรื่อยๆ ขณะที่ผลการสอบคัดเลือกซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม มีบุคคลภายนอกและอดีตพนักงานไอทีวีผ่านการคัดเลือกรวม 629 คน กลับยังไม่มีการดำเนินการใดๆ โดยอ้างว่าโครงสร้างตำแหน่งและเงินเดือนยังไม่ลงตัว
ขณะเดียวกันก็มีรายงานถึงความแตกต่างระหว่างอัตราเงินเดือนของพนักงานไอทีวีเดิมกับพนักงานที่เข้ามาใหม่ ปัญหานี้ถูกหยิบยกขึ้นในที่ประชุมพนักงานเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม นางนวลน้อย ตรีรัตน์ หนึ่งในกรรมการแสดงความกังขาว่ามีปัญหาเช่นนี้ในหน่วยงานได้อย่างไร ขณะที่นายเทพชัยรับปากว่าจะนำเรื่องนี้กลับไปพิจารณา
สื่อต้องเลือกข้าง?
ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 สื่อใหญ่สำนักหนึ่งที่เคยพร่ำสอนนักข่าวทั้งรุ่นใหม่และเก่าว่า ต้องเสนอข่าวด้วยความเป็นกลางและต้องเสนอข่าวสองด้าน ก็กลับเดินทวนกระแสสำนึกของตนเองโดยประกาศว่า "ในบางสถานการณ์ สื่อต้องเลือกข้าง"
ฉะนั้น ในวันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม ซึ่งเป็นอีกวันหนึ่งที่ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะวิกฤติ เพราะการเผชิญหน้าระหว่างรัฐบาลหุ่นเชิดกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ชมทีวีไทยจึงได้เห็นสกู๊ปข่าว "เอเอสทีวี-สื่อเลือกข้าง" ที่ว่าด้วยบทบาทของเอเอสทีวีทั้งในช่วงข่าวเที่ยง ข่าวค่ำ และข่าวดึก ในค่ำวันเดียวกันก็มีการถ่ายทอดสดการปราศรัยของแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์
มีข่าวเบื้องลึกจากทีวีไทยว่ารายการ "ที่นี่ทีวีไทย" มีคอนเซ็ปต์ว่า "เพื่อเป็นช่องทางให้ชนชั้นกลางได้ระบายแค้น" ที่เริ่มแพร่ภาพออกอากาศครั้งแรกในคืนวันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน ความคิดเช่นนี้ทำให้นักข่าวที่ทราบเรื่องหันมาตั้งคำถามว่า "เขาทำข่าวกันอย่างนี้หรือ ไม่น่าเป็นไปได้เพราะข่าวไม่ควรเลือกเข้าข้างใครทั้งสิ้น"
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่วันที่ 1กุมภาพันธ์ ที่กรรมการนโยบายชุดนี้เข้ามาบริหารงานตามอำนาจในพระราชบัญญัติองค์กรกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย เรตติ้งของทีวีสาธารณะซึ่งกลายพันธุ์มาจากทีวีเสรีที่เคยมีเรตติ้งเป็นลำดับที่ 3 จากฟรีทีวีทั้งหมด 6 ช่อง ก็ร่วงลงไปอยู่ในอันดับที่ 4 แต่เรตติ้งอาจไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวลสำหรับทีวีสาธารณะ เพราะกรรมการนโยบายชั่วคราวบางคนเคยประกาศว่า "ไม่จำเป็นต้องมีเรตติ้ง"
ภาวะทางการเงิน
มีรายงานว่าตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2551 ที่กฎหมายทีวีสาธารณะมีผลบังคับใช้จนถึงขณะนี้ มีงบประมาณดำเนินการจากภาษีเหล้า-บุหรี่ ไหลเข้าสู่องค์กรนี้แล้วประมาณ 100 ล้านบาท
ขณะที่กรรมการนโยบายชั่วคราวชุดนี้วางแผนการพัฒนาองค์กรไว้ 2 โครงการใหญ่ คือ ย้ายที่ทำการสถานีในช่วงปลายปีจากตึกชินวัตร 3 ถนนวิภาวดีรังสิต ไปที่ตึกจามจุรีสแควร์ สามย่าน หากบริษัทเอสซีแอสเสทไม่ต่อสัญญาเช่าตึกชินวัตร 3 ซึ่งจะหมดอายุลงในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ คาดว่าต้องใช้งบประมาณไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท โดยเปรียบเทียบจากค่าใช้จ่ายในการย้ายสถานีไอทีวีจากตึกเอสซีบี สี่แยกรัชโยธิน ไปที่ตึกชินวัตร 3 ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อปีต้น 2546 ซึ่งบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) เสียค่าใช้จ่ายในครั้งนั้นกว่า 200 ล้านบาท
รวมทั้งโครงการปรับปรุงศูนย์ข่าวต่างจังหวัดอีก 4 ศูนย์ ต้องใช้งบประมาณจัดตั้งศูนย์ละ 20 ล้านบาท ตั้งเป้าไว้ว่าศูนย์ข่าวเหล่านี้จะมีเวลาแพร่ภาพข่าวสารในพื้นที่ของตัวเองวันละ 2 ชั่วโมง
ทั้งที่ทรัพย์สินที่ทีวีไทยรับมาจากทีไอทีวีนั้น รวมถึงศูนย์ข่าวภูมิภาค 7 ศูนย์ คือศูนย์ข่าวภาคเหนือจังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์ข่าวภาคใต้อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ศูนย์ข่าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือจังหวัดขอนแก่น ศูนย์ข่าวภาคตะวันออกจังหวัดสระแก้ว ศูนย์ข่าวจังหวัดสุราษฎร์ธานี สุโขทัย และอุบลราชธานีด้วย
นโยบายให้แต่ละศูนย์ข่าวมีเวลาแพร่ภาพเป็นของตนเองนั้น ดูเหมือนเป็นนโยบายที่ดีสำหรับการเข้าถึงประชาชน แต่เป็นนโยบายดาบสองคม เพราะเป็นช่องทางหนึ่งสำหรับการสร้างอิทธิพลในท้องถิ่น ซึ่งสถานีโทรทัศน์ของรัฐช่องหนึ่งตระหนักในปัญหานี้ดี
ณ วันที่ 8 มีนาคม 2550 บริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) หมดสภาพการเป็นทีวีเสรีสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีส่งไอทีวีไปอยู่ในความดูแลของกรมประชาสัมพันธ์ พร้อมกับเงินอีกประมาณ 100 ล้านบาทเศษ จากค่าโฆษณาและค่าเช่าเวลา
ฉะนั้น ณ เวลาเที่ยงคืนของวันที่ 14 มกราคม 2551 ที่ทีไอทีวีถูกตัดต่อพันธุกรรม กลายเป็นทีวีสาธารณะแห่งแรกของประเทศ ไทยพีบีเอสจึงมีเงินติดกระเป๋าไปด้วยราว 100 ล้านบาท ทั้งนี้ไม่นับเงินอีก 60 ล้านบาท ที่ถูกจัดสรรไปเป็นค่าสารคดีเสือ-สิงห์-กระทิง-แรด-และงู ซึ่ง จ่ายให้กับบริษัทชื่อฝรั่งแห่งหนึ่ง ที่มีรายงานว่าเป็นของคนโตในกรมบางกรมในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับออกอากาศในวันที่ทีไอทีวีแปรสภาพเป็นทีวีสาธารณะ
ทั้งที่ราคาจริงของสารคดีมือ 3 มือ 4 ชุดนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 20 ล้านเท่านั้น
เงินติดกระเป๋าก้อนนี้ ส่วนหนึ่งเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเงินเดือนพนักงานกับผู้บริหารประมาณ 700 คน และอีกส่วนหนึ่งสำหรับการบริหารจัดการทั้งงานข่าวและงานประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะโครงการสาธารณะสัมพันธ์ใน 9 จังหวัดที่ใช้งบประมาณ 7 ล้านบาท ซึ่งเงิน 7 ล้านบาท รวมถึงค่าตอบแทนที่จ่ายให้ผู้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นในแต่ละพื้นที่ โดยเฉลี่ยรายละ 300 -1,500 บาทด้วย รวมถึงค่าใช้จ่ายสำหรับการประชุมสัมมนาในต่างจังหวัดที่มีเบี้ยประชุมสำหรับกรรมการนโยบายหัวละ 5,000 บาทต่อวัน
เฉลิมชัย ยอดมาลัย (แนวหน้า 8 มิ.ย. 2551)
สรุปโครงสร้างพนักงาน ทีวีไทยพีบีเอส ปัจจุบัน ประกอบด้วย
1. บุคลากรจากกลุ่มเอเอสทีวี 2. เครือเนชั่น 3. กลุ่มกบฎไอทีวี 4. กลุ่มวอชด็อก ของเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ไม่แปลกที่ผู้เขียนถามว่า "ทีวีสาธารณะ... (จริงๆ แล้วเป็น) ทีวีของใคร???)
Create Date : 11 มิถุนายน 2551 |
Last Update : 11 มิถุนายน 2551 15:42:11 น. |
|
4 comments
|
Counter : 574 Pageviews. |
|
|
|