Group Blog
 
All Blogs
 

เหตุเกิดที่สวนอ้อย

ฉากชีวิต

เหตุเกิดที่สวนอ้อย

“ เพทาย “

เดือนตุลาคมในอดีตที่ผ่านมาเกือบร้อยปีนั้น มีวันอันสำคัญยิ่งอยู่วันหนึ่ง ซึ่งประชาชนชาวไทยทั้งหลาย น้อมรำลึกถึงตลอดมา นั่นก็คือวันที่ ๒๓ ตุลาคม วันปิยมหาราช

เมื่อ ๕๐ ปีที่ผ่านมา การวางพวงมาลา ณ พระบรมราชอนุสาวรีย์ของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ที่ลานพระราชวังดุสิต หรือที่เรียกตามภาษาชาวบ้านว่า ลานพระบรมรูปทรงม้านั้น เป็นไปอย่างธรรมดาไม่มีการจัดระเบียบมากมายนัก ตอนค่ำก็จะมีผู้คนเบียดเสียดเข้ามาชมพวงมาลา และถวายสักการะพระบรมรูปอย่างเนืองแน่น ริมถนนราชดำเนินจะมีร้านขายของกินนานาชนิด และของเล่นประเภทหมวกกระดาษ หน้ากาก หัวโขนและชฎา กับดาบไม้ ปืนจุกไม้ก๊อก มีบรรยากาศคล้ายกับงานภูเขาทอง

รอบในที่ติดกับพระบรมรูป จะตั้งราวปักเทียนและกระถางปักธูปใบใหญ่ มีผู้เฒ่าผู้แก่จุดธูปเทียนสักการะกันหนาแน่นมาก กลิ่นธูปควันเทียนคละคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ เป็นการแสดงความกตัญญู ต่อพระคุณอันมากล้นพ้นที่จะรำพันของพระองค์ท่าน จากผู้ที่อยู่ร่วมสมัยหรือได้ยินได้ฟัง พระบารมีอันแผ่ไพศาลปกเกล้าชาวประชา มาไม่นานนัก

ต่อมาการวางพวงมาลามีการประกวดประชันขันแข่งกันมากขึ้น ทั้งการจัดริ้วขบวนและวงดนตรีนำขบวน จนเกือบจะเป็นการแสดงไปแล้ว ทางราชการได้จึงจัดระเบียบมากขึ้น และบรรยากาศในตอนค่ำก็เปลี่ยนแปลงไป ร้านค้าริมถนนราชดำเนินก็ถอยไปรวมกันอยู่ในบริเวณสวนอัมพร แต่ร้านขายของเล่นที่คล้ายงานวัดนั้นก็สาบสูญไปสิ้น

การจุดธูปเทียนสักการะพระบรมรูปก็ลดน้อยลง จนกระทั่งหมดสิ้นไปในที่สุด เพราะผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคยมากันมากมาย ก็ลดน้อยลงจนเหลือแต่หนุ่มสาวและเด็กในรุ่นหลังเป็นส่วนใหญ่ จนมาถึงปัจจุบันจึงได้มีการรื้อฟื้นการเคารพบูชา ด้วยธูปเทียน ดอกไม้ พวงมาลัย และเครื่องสังเวย ขึ้นมาอีกเมื่อไม่กี่ปีนี้ แต่เป็นไปในทำนองการบูชาเทพเจ้า มากกว่าที่จะรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ดุจกาลก่อน

แต่เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่า พระบรมรูปทรงม้าอันเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงสุดของชาวไทยทั้งปวงมาร่วมศตวรรษนี้ จะมีเหตุการณ์ที่เป็นไปในทำนอง ลบหลู่พระบรมเดชานุภาพเกิดขึ้นได้ ในรอบทศวรรษที่แล้วมานี้เอง

ความจริงเคยมีนิยายปรัมปราที่เล่าสืบต่อกันมาว่า พระบรมรูปทรงม้าที่ประดิษฐานอยู่ ณ ลานพระราชวังดุสิตนี้ เดิมทีมียอดพระมาลาเป็นทองคำ แต่ในกาลครั้งหนึ่ง ได้มีผู้ยากจน ค่นแค้นไปกราบบังคมทูลขอเด็ดเอาไปขายกินเสีย โดยที่พระองค์ท่านก็พระราชทานแต่โดยดี จนต่อมากรมศิลปากร หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับอนุสาวรีย์ได้อ้างหลักฐานว่า พระมาลาที่ทรงกับเครื่องแบบเต็มยศทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์นั้น มีพู่ขนนกและไม่มียอดแหลม ไม่ว่าจะเป็นโลหะชนิดใดทั้งสิ้น สังเกตได้จากพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งทรงฉายในที่ต่าง ๆ เรื่องดังว่าจึงได้กลายเป็นนิทานโคมลอยไปในที่สุด

แต่คราวนี้เกิดเรื่องจริงขึ้นมาจนได้ แม้ว่าค่อนข้างจะเหลือเชื่ออยู่สักหน่อย คือในกลางดึกของคืนวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๒๓ ขณะที่ใกล้จะถึงงาน วันปิยมหาราช ซึ่งกรมศิลปากร จำเป็นต้องบูรณะตกแต่ง องค์พระบรมรูปทรงม้าเป็นประจำ ด้วยการทำความสะอาดลงรักสีดำ และนำพวงมาลัยคล้องคอม้า เจ้าหน้าที่จึงได้ตั้งนั่งร้านขึ้นไป เพื่อจะดำเนินการดังกล่าว ก็มีชายไทยชื่อ สมชาย (นามสมมุติ) อาชีพขับสามล้อเครื่อง กับ นาย น้อย (นามสมมุติเหมือนกัน) ซึ่งเป็นเพื่อนเกลอ ทั้งคู่ดื่มเหล้ากันมาได้ที่ดีแล้ว ก็ไต่นั่งร้านขึ้นไปช่วยกันถอดพระแสงกระบี่ ออกจากแผงอานม้า ด้านซ้ายของพระบรมรูป ในเวลาค่อนรุ่ง แล้วก็เอาไปห่อกระดาษซุกซ่อนไว้ ที่ต้นไทรใหญ่ใบหนาทึบและมีรากดกแถวสวนอ้อย ซอยหน้าวชิรพยาบาล ซึ่งอยู่ในบ้านอันกว้างขวาง ที่ในอดีตสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เคยเป็นบ่อนตีไก่กัดปลาประจำตำบล แต่ในขณะนั้นได้ดัดแปลงเป็นห้องเล็ก ๆ ให้ครอบครัวของโชเฟอร์สามล้อเครื่อง เช่าพักอาศัยอยู่นับสิบราย ห่างจากบ้านของผมไม่ไกลนัก

พอวันรุ่งขึ้นสองนายก็แอบหอบหิ้วพระแสงกระบี่ ซึ่งยาวเกือบ ๒ เมตร หนัก ๖๐ กิโลกรัม มูลค่ามหาศาล แค่เฉพาะเนื้อโลหะซึ่งเป็นทองสัมฤทธิ์ก็มีราคาประมาณสิบล้านบาท ไปขายที่ร้านค้าของเก่าแถวหน้าไปรษณีย์กลาง ถนนเจริญกรุง ได้เงินมาแบ่งกันเพียง ๒,๕๐๐ บาท แล้วก็แยกย้ายกันหลบหนีอาญาแผ่นดิน ไปคนละทิศ

เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลดุสิต ซึ่งได้รับแจ้งความจากเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบของกรมศิลปากรแล้ว ก็ได้รีบออกติดตามควานหาตัวคนมือไวใจกล้าทั้งสองนายอย่างกวดขัน และในเวลาอันรวดเร็วเพียงสามวันต่อมา ก็ตะครุบตัวนายสมชายได้ที่บ้านเพื่อน แถวซอยสันติสุข ถนนประชาสงเคราะห์ ได้โดยละม่อม

นายสมชายให้การรับสารภาพว่า เหตุเกิดขึ้นจากการที่ได้เอาเงินของภรรยา ที่ให้ไปวางประกันหาเช่ารถตุ๊กใหม่จำนวน ๓๐๐ บาท ไปกินเหล้ากับเพื่อนเสียจนหมด จึงไม่กล้ากลับบ้านมือเปล่า และเกิดความคิดวิตถารที่จะขโมยพระแสงกระบี่ไปขาย เพราะนึกว่าคงจะมีบางส่วนที่เป็นทองคำอยู่บ้าง แต่เมื่อขายได้เงินมาแล้ว ก็ไม่มีความปกติสุขเลยทั้งเวลากินเวลานอน ได้ยินแต่เสียงเหมือนคนเดินลากโซ่ตรวน รบกวนอยู่ในจิตใจตลอดเวลา ครั้นหลับก็ฝันเห็นสมเด็จพระปิยมหาราชทรงชี้หน้าทวงพระแสงกระบี่อยู่ทั้งคืน เป็นที่ทุกข์ทรมานใจอย่างยิ่งยวด

เรื่องก็เป็นอันจบลงด้วยดี เป็นที่โล่งหัวอกหัวใจของประชาราษฎร์ ที่จงรักภักดีต่อองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง โดยทั่วหน้ากัน สำหรับผู้ที่กระทำผิดโดยความโลภเพียงชั่วครู่ รวมทั้งผู้ร่วมมือ ก็ได้รับโทษตามสมควรแก่กรณี

นับว่าเป็นคดีตัวอย่างของเมืองไทยอีกคดีหนึ่ง ที่ผมจะได้จดจำเอาไว้เล่าขาน ให้ลูกหลานได้ฟังในภายหน้า อีกนับร้อยปีทีเดียว

ถ้าไม่ตายเสียก่อน.

##########

เหตุเกิดที่พระบรมรูปทรงม้า
“ วชิรพักตร์ “
วารสารสยามอารยะ
ตุลาคม ๒๕๓๘




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2552 20:35:15 น.
Counter : 656 Pageviews.  

พยาน

เรื่องสั้น

พยาน

เพทาย

นายจุ้ยเป็นกรรมกรใช้แรงงาน หาเช้ากินค่ำด้วยการรับจ้างทั่วไป

เมื่อเขาได้งานเป็นลูกมือช่างก่อสร้างตึกแถวสี่ชั้นยาวสิบห้อง จึงมีที่พักอาศัยอยู่ในเพิงที่บริษัทปลูกให้ชั่วคราว

เขามีเมียคนหนึ่งชื่อสาย เป็นลูกจ้างในงานก่อสร้างนี้ด้วยกัน

เธอมีลูกชายติดมาคนหนึ่งอายุแปดขวบ ชื่อทุย ซึ่งไม่ได้เรียนหนังสือ

วันหนึ่งวันหนึ่งก็วิ่งเล่นอยู่แถวใกล้ใกล้กับที่ก่อสร้างนั้น กับเพื่อนวัยเดียวกันซึ่งเป็นลูกของกรรมกรด้วยกัน

ครอบครัวนี้ก็พออยู่พออาศัยไปได้ในแต่ละวัน

แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยได้ดูแลเอาใจใส่ครอบครัวสักเท่าไรนัก โดยเฉพาะลูกเลี้ยงที่ไม่เคยเคารพยำเกรงเขาเลย แต่ต้องยอมอยู่ในอำนาจของเขา ด้วยการลงมือลงเท้าอยู่บ่อยบ่อย

ในพื้นที่ใกล้เคียงกับสถานที่ทำการก่อสร้างอยู่นั้น มีร้านซ่อมรถยนต์อยู่ร้านหนึ่ง

วันหนึ่งเจ้าของร้านซ่อมรถยนต์ได้ไปแจ้งตำรวจว่า ถูกผู้ร้ายเข้าไปลักทรัพย์ซึ่งเป็นเครื่องมือซ่อมรถ หลายรายการ คิดเป็นมูลค่าสี่พันบาท

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมาสอบสวนที่เพิงพักของลูกจ้างก่อสร้างนั้น

และได้ความว่ามีกรรมกรคนหนึ่งได้หายไปโดยมิได้ลาออก ซึ่งเป็นพิรุธว่าน่าจะเป็นคนร้ายรายนี้

แต่ผู้ควบคุมการก่อสร้างก็ไม่สามารถจะบอกรายละเอียดของที่อยู่คนร้ายได้ เพราะไม่มีหลักฐานอะไรเลย

นอกจากสำเนาบัตรประชาชน ที่ระบุว่ามีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดภาคอิสาน

แล้วเรื่องก็เงียบไป

แต่อยู่มาประมาณเดือนหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับแจ้งความเรื่องของร้านซ่อมรถยนต์หาย

ก็มาคุมตัวนายจุ้ยไปสอบปากคำที่สถานีตำรวจท้องที่นั้น เพราะสงสัยว่าเขาจะมีส่วนรู้เห็นกับคนร้ายที่หนีไป

เขาปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นอย่างใดเลย และไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคยกับ ผู้ร้ายที่หนีไปด้วย

ตำรวจที่เป็นเจ้าของคดี สอบสวนอยู่สองวันนายจุ้ยก็ต้องยอมรับสารภาพอย่างไม่มีทางปฏิเสธ

เพราะพยานปากเอกที่ยืนยันว่าเขาร่วมมือกับคนร้ายที่หนีไป

ก็คือเด็กชายทุย ลูกเลี้ยงของเขานั่นเอง

เจ้าหนูให้การยืนยันว่าพ่อเลี้ยงของเขาเอาของที่ขโมยมาได้ ให้เขาเอาไปขายที่ร้านรับซื้อของเก่า ซึ่งพ่อเขารู้จักกันดี

เพราะพ่อเขาได้เคยลักเล็กขโมยน้อย มาหลายปีแล้ว ตามแต่จะหาได้จากสถานที่ใกล้เคียงกับ ที่ทำงานก่อสร้างที่เปลี่ยนไปเรื่อยเรื่อย

แต่ไม่ถูกจับได้เพราะไม่มีใครสงสัยเขา

“ แล้วคราวนี้ทำไมจึงมาแจ้งตำรวจให้จับพ่อล่ะ “

ตำรวจถาม

“ ก็เมื่อคืนนี้พ่อกินเหล้าเมาแล้วตีแม่ พอหนูไปช่วยแม่ พ่อก็เตะหนูกระเด็นเลย “

เด็กชายทุยชี้แจงด้วยน้ำตาอาบแก้มในที่สุด.


#############




 

Create Date : 01 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 1 พฤษภาคม 2552 9:28:52 น.
Counter : 508 Pageviews.  

อนิจจาความรัก

เรื่องสั้น

อนิจจา........ความรัก

เพทาย

เขานอนอยู่บนเตียงที่นอนหนา อากาศเย็นสบาย จากเครื่องปรับอากาศที่ส่งเสียงครางแผ่วเบา

เขานอนลืมตามองเพดานที่ไม่สูงนัก แต่ภาพที่เขาเห็นไม่ใช่โคมไฟดวงกลมแสงสลึมสลือดวงนั้น

เขาเห็นใบหน้าของเธอ ซึ่งเมื่อเจ็ดปีที่แล้วเขาหลงใหลใฝ่ฝันเสียจนไม่เป็นอันทำงาน

เขาพยายามทุกวิถีทางที่จะได้เธอมาไว้ในอ้อมแขน และเขาทำสำเร็จ เธอยอมแต่งงานกับเขา

ความรักของเขาและเธอดำเนินไปด้วยดีในสองปีแรก

เขายังจำภาพของเธอที่ต้อนรับเขา ในยามที่กลับจากทำงานตอนค่ำได้ดี

เขาเป็นคนทำงานกลางคืน วันไหนที่ไม่เข้าเวรดึก ก็จะกลับมาถึงบ้านตอนเย็นย่ำ

เธอจะทำอาหารอร่อยไว้คอยกินมื้อเย็นพร้อมกัน

เธอจะชักชวนให้เขาชิมนั่นชิมนี่ ช่วยตักอาหารใส่จานให้เขา หรือบางทีก็ยื่นใส่ปากเขาเลย

ด้วยความเพน้าพะนอเอาอกเอาใจอย่างที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้
...................................................................

แต่พอสามสี่ปีต่อมา เขาต้องรับเวรดึกมากขึ้น กลับบ้านดึกขึ้นทุกที

เธอก็ยังเตรียมอาหารเย็นไว้ให้เขา แต่เธอเองต้องกินก่อน เพราะรอไม่ไหว

ตัวเขาเองก็ต้องขยักท้อง เหลือที่ว่างไว้กลับมากินข้าวบ้านด้วยความเห็นใจภรรยา

เพราะเธอต้องมานั่งดูเขากิน และชวนพูดคุยหรือซักถามเรื่องต่างต่างด้วยทุกครั้ง

เมื่อเวลาล่วงไปอีกหลายปี เวลากลับบ้านของเขาก็เลื่อนเป็นดึกขึ้นทุกที

เขากลับมาถึงบ้าน เธอก็นอนหลับสนิทไปแล้ว

ข้อสำคัญก็คือไม่มีอาหารเหลืออยู่ในตู้เลยจนเขาต้องออกไปหาอาหารจากร้านรถเข็นในซอยมาระงับความหิว

และเป็นเหตุให้ในเวลาต่อมา เขาต้องกินอาหารเย็นหรือค่ำ ให้อิ่มมาก่อนจะเข้าบ้าน

เมื่อขึ้นเตียงหัวถึงหมอนก็หลับครอกไปเลย
.............................................................................

เขาเบนสายตาจากโคมไฟบนเพดาน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเบาเบาเดินเข้ามาใกล้

สาวน้อยนางหนึ่งแต่งกายด้วยกางเกงกีฬาขายาว สวมเสื้อเชิ้ตสีตามวัน ประคองถาดเครื่องดื่ม และซองขนมกรุบกรอบ เข้ามาวางลงบนโต๊ะเตี้ยเตี้ยข้างเตียง

และพนมมือไหว้เขาอย่างนอบน้อม พร้อมกับยิ้มแย้มน่ารักขณะที่เอ่ยทักว่า

“ เดือนนี้ป๋าหายไปนานนะคะ “

เขายิ้มรับและตอบว่า

“ งานยุ่งเหลือเกินจ้ะ เลิกดึกแทบทุกวัน เลยไม่ได้แวะมา แค่ชั่วโมงสองชั่วโมง ร้านก็ปิดแล้ว “

“ งั้นวันนี้อยู่ถึงสี่ชั่วโมงเลยนะคะ ป๋าคะ “
...............................................................................
...............................................................................

เขาไขกุญแจเข้าบ้านที่เขาอยู่กับเธอมาเป็นเวลาถึงเจ็ดปี เมื่อนาฬิกาข้อมือบอกเวลาตีหนึ่ง

###########





 

Create Date : 30 เมษายน 2552    
Last Update : 30 เมษายน 2552 7:04:11 น.
Counter : 517 Pageviews.  

นักเขียน

เรื่องสั้น

นักเขียน

เพทาย

เขานั่งอยู่บนเก้าอี้เก่าคร่ำคร่า ที่โต๊ะเขียนหนังสือซึ่งชราภาพพอกัน

ตรงหน้าของเขามีกระดาษเปล่าซ้อนกันอยู่สองสามแผ่น

ปากกาลูกลื่นราคาถูกแทรกอยู่ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือขวา

เขากำลังจะเขียนหนังสือ หรือที่ถูกเขาอยากจะเขียนหนังสือ

แต่ไม่มีตัวหนังสืออยู่บนแผ่นกระดาษบนโต๊ะ เพราะเขาไม่รู้จะเขียนอะไร

ถ้าเป็นสมัยก่อน เขาคงจะควักบุหรี่ออกมาจุดสูบ แล้วพ่นควันขึ้นไปบนเพดาน

แต่ในสมัยนี้ เขาเลิกสูบบุหรี่เสียแล้ว ไม่ใช่เพราะกลับจะเกิดโรคต่าง ๆ ที่โฆษณาอยู่ด้านหลังซองบุหรี่ทุกชนิด

แต่เป็นเพราะเขาไม่มีเงินซื้อมากกว่า
...................................................................................
เขาเป็นนักเขียน

เขาเคยเขียนเรื่องสั้นขายมานานแล้ว นานเท่าไรก็จำไม่ได้เหมือนกัน

ได้เงินเพียงเล็กน้อยไม่พอยาไส้ แต่เขาก็อยู่มาได้

ตั้งแต่ตัวคนเดียวจนเดี๋ยวนี้มีเพิ่มขึ้นขึ้นอีกสามชีวิต

คือเมียหนึ่งคนและลูกชายหญิง ไม่เกินเก้าขวบ

ด้วยการที่เมียของเขาร้อยพวงมาลัยขายมาตั้งแต่เริ่มพบกันจนถึงบัดนี้
...............................................................

เขาเขียนหนังสือด้วยดินสอก่อน แล้วจึงเปลี่ยนมาเป็นปากกาลูกลื่น ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

แต่เดี๋ยวนี้นักเขียนทั้งหลายได้เปลี่ยนมาเขียนผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์กันทั้งนั้น

ส่วนเขาไม่มีจะเปลี่ยน ไม่มีแม้แต่สมัยที่ใช้เครื่องพิมพ์ดีด

เขาเขียนเรื่องสั้นไม่กี่หน้า แล้วก็ส่งทางไปรษณีย์ไปยังสำนักงานหนังสือพิมพ์

รายเดือน รายสัปดาห์ รายปักษ์ และรายลอตเตอรี่ เพราะเดี๋ยวนี้ไม่มีเรื่องสั้นในหนังสือพิมพ์รายวันแล้ว

เขาเขียนจนบรรณาธิการที่เคยรู้จักกัน ก็เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนหน้าไปหมดแล้ว

แม้จะมีนักเขียนเรื่องสั้นเพิ่มขึ้นมาทดแทนคนที่หายไปอีกมากมาย

และก็มีหนังสือพิมพ์ชื่อใหม่ ๆ แนวใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีกนับร้อยร้อยชื่อ

แต่เขาก็ไม่มีโอกาสที่จะเขียนเรื่องขายได้มากขึ้น

เพราะเรื่องของเขาไม่ทันสมัยไม่เข้ากับรสนิยมของผู้อ่านในปัจจุบัน

เขาส่งเรื่องไปที่สำนักไหน ก็หายเงียบไปเสียเป็นส่วนมาก

ครั้นเอาเรื่องสั้นเก่าเก่าที่เคยพิมพ์ตามวารสารแล้ว มารวมเล่ม

แต่ไปเสนอที่สำนักพิมพ์ไหน ก็บอกให้รอไว้ก่อน หรือรับไว้พิจารณาแต่ก็หายเงียบไปเป็นปี
. ..........................................................................

แต่เขาก็ยังไม่เลิกเขียนหนังสือ แม้เมียเขาจะเคยค่อนขอดว่าเดี๋ยวนี้นักเขียนไส้แห้งมีเหลือ อยู่เพียงคนเดียวคือเขา

เขาน่าจะเลิกเขียนแล้วมาช่วยเธอร้อยพวงมาลัยขาย จะได้ทุ่นแรงเธอบ้าง

เพราะรายได้จากการขายพวงมาลัยของเธอ ได้ใช้เป็นค่าอาหารการกินทั้งสามมื้อ

ค่าหนังสือเรียน และค่าเครื่องแบบนักเรียนของลูกชายหญิง แม้จะไม่เสียค่าเล่าเรียน

และค่าเช่าบ้านอีกอย่างหนึ่งเท่านั้นที่ไม่ต้องเสีย เพราะเขาสร้างมันมาด้วยสองมือของเขาเอง

จากไม้ฝาลังบรรจุสิ้นค้า ที่เก็บมาจากห้างใหญ่ใกล้ ใกล้นั้น

แต่ก็รวมทั้งค่าเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ขวดดำดำที่เขาดื่มเป็นประจำด้วย
...................................................................................

เขาไม่เคยฟังเสียงเรียกร้องของเมีย และ อาจจะยักไหล่ไม่ให้เมียเห็นด้วย

เขาจะทำได้อย่างไร นักเขียนต้องกลายเป็นนักร้อยพวงมาลัย

ไม่มีทางจะเป็นไปได้อย่างแน่นอน เขาคิดอยู่ในใจ

เขาต้องเขียนหนังสือ เพราะเขาเกิดมาเพื่อเขียน
หนังสือ

ส่วนวันนี้เมียเขาไปทำงานประจำของเธออยู่ที่ปากซอย ลูกสองคนไปโรงเรียนวัดใกล้บ้าน

ตัวเขานั่งอยู่เดียวดายมานานหลายชั่วโมงแล้ว ก็ยังเขียนไม่ออก

ปากกาดูเหมือนจะแห้งกรัง

..................................................

...................................................

................................................................

เขาได้ยินเสียงวิทยุแหบแหบ ข้างบ้านส่งเสียงแกรกกรากจากการถ่ายทอดรายการออกรางวัลสลากกินแบ่งประจำงวดต้น
เดือน

เขาครุ่นคิดอยู่นิดหนึ่ง

แล้วก็จรดปากกาลงบนกระดาษที่ว่างเปล่านั้น

เลขเด็ดจากอาจารย์นกกระเต็น............สามตัว
บน...............๐๐๗...................


###########











 

Create Date : 24 เมษายน 2552    
Last Update : 24 เมษายน 2552 5:08:17 น.
Counter : 511 Pageviews.  

ดาวร้าย

เรื่องสั้น

ดาวร้าย

เพทาย

เขาเป็นคนรูปหล่อแบบชายงาม ผิวคล้ำไว้หนวดเรียวเหนือริมฝีปาก

เขาเข้ารับราชการครั้งแรกเป็นพลทหารเกณฑ์ และรับราชการต่อเป็นนายสิบ

เขาย้ายจากหน่วยกำลังรบ แถวถนนวิทยุ เข้ามาเป็นเสมียนในหน่วยส่วนกลางแถวสะพานแดง

เขามีความรู้แค่ชั้นมัธยมปีที่ ๖ ซึ่งเป็นระดับสามัญในสมัยนั้น

แต่เขามีลายมือที่สวยงามมากเหมือนคนโบราณ

เขาไม่ใช้เครื่องพิมพ์ดีด แต่เขาจะเขียนบันทึกข้อความ ให้นายลงชื่อด้วยลายมือของเขาทุกเรื่อง

ต่อมาเขาได้ไปช่วยราชการทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ที่สนามเป้า

เขาทำหน้าที่พนักงานกล้องโทรทัศน์ได้ดีเยี่ยม เพราะทำด้วยความรักจากจิตใจ

เหมือนศิลปินที่สร้างงานจิตรกรรม ประติมากรรม หรือดุริยางคศิลป์

ความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนร่วมงาน และผู้บังคับบัญชาเหนือเขา ก็เป็นไปอย่างราบรื่น ได้รับความชมเชยอยู่เสมอ

ในเวลาต่อมาก็ได้เลื่อนตำแหน่ง เป็นผู้กำกับเวที เขาก็ปฏิบัติหน้าที่นี้ได้อย่างหาคนเทียบได้ยาก

นอกจากงานประจำที่เขาทำด้วยความกระฉับกระเฉง ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอย่างว่องไวทันเวลาแล้ว

เขายังประสานงานของเขากับ เจ้าของคณะละคร และผู้กำกับการแสดง ด้วยความสัมพันธ์อันดี

แล้วโอกาสก็มาถึงเขา เมื่อมีคณะละครโทรทัศน์สนใจ ที่จะมอบบทเล็ก ๆ ให้เขาทดลองแสดง

จากนั้นเขาก็ได้งานเสริมที่ถูกกับบุคลิกของเขาเป็นอย่างยิ่ง

เขาได้รับบทเป็นผู้ร้าย เหมือนกับผู้ร้ายรุ่นก่อนเขา ที่ไว้หนวดเรียวบนริมฝีปากทุกคน

เขาได้ร่วมแสดงภาพยนตร์ทางโทรทัศน์ หลายเรื่อง ที่เด่นดังในยุคนั้น

เช่น พิภพมัจจุราช หุ่นไล่กา เพื่อมาตุภูมิ และ ชุมทางชีวิต

ถึงแม้เขาจะก้าวไปไม่ถึงระดับดารานำ แต่ฝีมือการแสดงของเขา ก็ไม่ด้อยไปกว่าดาวร้ายที่ไว้หนวดทั้งหลาย

ถ้าจะเรียกเขาว่า ดาวร้ายรูปหล่อ ก็ไม่น่าจะเกินความจริงไปสักเท่าใดนัก

และเป็นธรรมดาของนักแสดงที่มีหน้าตาคมเข้ม และมีความสุภาพเรียบร้อย

ต่างจากบทบาทที่เขาแสดงในจอ ราวกับเป็นคนละคน

ย่อมจะต้องมีสาว ๆ มาเป็นแฟนมากกว่าหนึ่งคน

แต่เขาฉลาดพอที่จะเลือกสนิทสนมกับสาวที่ไม่ได้อยู่ในวงการเดียวกัน

เธอเหล่านั้นจึงไม่ทราบเรื่องราวในแง่มุมอื่นเลย

เวลาผ่านมานับสิบปี จนเขาเกษียณอายุราชการ

ความเป็นนักกีฬาและนักเพาะกายของเขาก็ทรุดโทรมลง

โรคภัยเริ่มเข้ามาเบียดเบียนทีละเล็กละน้อย ต้องเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลที่ใกล้บ้านอยู่เสมอ

จนเวลาผ่านไปอีกสามปีหลังจากที่เขาเกษียณอายุ

อาการของเขา ที่รับประทานอาหารไม่ค่อยได้ น้ำหนักลด และอ่อนเพลียแทบจะไม่มีแรงเดิน

ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเดือน

ก็ปรากฏผลว่าเขาเป็นโรคมะเร็ง มาถึงระยะสุดท้ายแล้ว

วันนั้นเขานอนนิ่งสงบ ผมบนศีรษะและหนวดบนริมฝีปาก ที่ขลิบเรียบร้อย ขาวโพลนตัดกับในหน้าของเขา ที่สวมแว่นสายตาอันเดิม ซึ่งไม่มีประโยชน์กับเขาแล้ว

ต่อหน้าญาติและเพื่อนสนิทของเขาหลายคนรวมทั้ง” ผม” ด้วย

หญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งข้าง ๆ ผม ถามเบา ๆ ว่า

“ พี่คะ คนไหนคือภรรยาของเขา “

ผมตอบว่าไม่ทราบ ทั้ง ๆ ที่คิดว่าเธอคงจะไม่เชื่อ แต่ผมก็ยอมผิดศีลข้อสี่

“ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิดเพื่อนเอ๋ย ”

ผมเอ่ยเบา ๆ ในขณะที่รินน้ำลงบนฝ่ามือขวาของเขา

แม้เขาจะไม่เห็น และได้ยินคำพูดของผมแล้ว

แต่ผมคิดว่า คงจะรับรู้ได้ด้วยญาณวิถีของเขา

ในความผูกพันระหว่างเพื่อน และแฟนทั้งหลายของเขา..........อย่างแน่นอน.

###########




 

Create Date : 18 เมษายน 2552    
Last Update : 18 เมษายน 2552 21:46:47 น.
Counter : 522 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.