Group Blog
 
All Blogs
 

ผู้มี(แต่)น้ำใจ (๓)

เรื่องสั้น

ผู้มี(แต่)น้ำใจ (๓)

เพทาย

ผมมาที่มูลนิธิปอเต็กตึ๊งเพื่อจะบริจาคเงิน
แลเห็นทางด้านซ้ายเมื่อขาเข้า ไม่มีคนไปยืนมุงกันเหมือนข้างขวา
จึงเร่เข้าไปยื่นธนบัตรใบละร้อยบาทให้เจ้าหน้าที่หลังลูกกรง ซึ่งเป็นผู้เฒ่าเล่านั้ง
พร้อมกับบัตรประจำตัวเพื่อจะได้ไม่ต้องถามชื่อแซ่ให้ลำบาก
แกรับไปดูแล้วก็ส่งคืนให้พร้อมกับยื่นสมุด ใบเสร็จรับเงินลอดใต้ลูกกรงมาให้เขียนเอง
ไม่ทราบว่าสายตาไม่ดีหรืออ่านหนังสือไทยไม่ออก

ผมเขียนชื่อและจำนวนที่จะบริจาค แล้วจึงเห็นว่า
ใบเสร็จนั้นเป็นของ ศาลเจ้าไต้ฮงกง ไม่ใช่ป่อเต็กตึ๊ง

ผมจึงหวนกลับมาเข้าคิวทางด้านตรงข้าม ส่งธนบัตรพร้อมกับบัตรประจำตัวให้
เจ้าหน้าที่ไปเหมือนเดิม คราวนี้เจ้าหน้าที่เขียนให้เรียบร้อยด้วยอักษรตัวโตลายมืองดงาม
ผมรับมาตรวจดูจึงเพิ่งจะทราบว่า เป็นใบเสร็จของ มูลนิธิฮั่วเคี้ยวป่อเต็กเซี่ยงตึ๊ง
และมีคำอธิบายด้านล่างว่า

เพื่อส่งเสริมในการบำเพ็ญสาธารณกุศล เก็บศพไม่มีญาติ การศึกษา ตั้งโรงพยาบาล และช่วยการสังคมสงเคราะห์ ฯลฯ ขอให้อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก โปรดดลบันดาลให้ท่านผู้มีกุศลจิต จงประสบแต่ความสุขสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล เทอญ

ล่างสุดนอกจากประทับตรายี่ห้อของ ประธานกรรมการ เหรัญญิก ผู้จัดการ และผู้รับเงินแล้ว
มีข้อความที่สำคัญที่พิมพ์ด้วยตัวอักษรภาษาจีนและไทยสีแดงว่า

ใบรับนี้หักภาษีเงินได้ ตามมาตรา ๔๗(๗) แห่งประมวลรัษฎากรได้ (ลำดับที่ ๘๗)

ผมเดินออกมาจากวิหารมาด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ ที่ได้ทำบุญสมความปรารถนา
ก่อนจะถึงประตูออกก็เห็นหญิงชราทั้งหน้าตาและการแต่งกาย นุ่งผ้าถุงสวมเสื้อแบบไทยแท้คนหนึ่ง นั่งยอง ๆ พนมมือหลับตาอยู่

ผมรีบล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบเหรียญบาทที่เหลือเดินรี่เข้าไปหา แต่หญิงชราผู้นั้นไม่ได้แบมือรับอย่างปกติ ก็พอดีมีหญิงกลางคนซึ่งขายนกปล่อย นั่งเก้าอี้อยู่ใกล้ ๆ ตะโกนมาด้วยเสียงกราดเกรี้ยวว่า

"เขาไหว้พระไม่ได้ขอเงิน"

ทั้งผมและหญิงชราผู้พนมมือ ตกใจเกือบพร้อม ๆ กัน ผมรีบก้มตัวลงพนมมือไหว้และบอกขอประทานโทษครับ แล้วก็รีบจ้ำออกประตูมาทันที

ผมเดินเลาะตามถนนเจ้าคำรพ มาโผล่ถนนเสือป่า เลี้ยวออกทางโรงพยาบาลกลาง
พลางก็นึกถึงเหตุการณ์ ที่ทำให้หน้าแตกเหวอะหวะเมื่อกี้ อยู่ในใจ

เกือบไปแล้วไหมล่ะ เกือบจะทำบุญได้บาปเสียแล้ว.

#########




 

Create Date : 12 ธันวาคม 2558    
Last Update : 12 ธันวาคม 2558 10:31:06 น.
Counter : 833 Pageviews.  

ผู้มี(แต่)น้ำใจ (๒)

เรื่องสั้น

ผู้มี(แต่)น้ำใจ (๒)

เพทาย


วันหนึ่งที่วงเวียนใหญ่ฝั่งธนบุรี ผมพบชายร่างสูงคนหนึ่ง อายุคงจะไม่เกิน ๔๐ ปี แต่หน้าแก่เพราะหนวดเครายาวรกระเกะระกะ
และผมฟูเป็นกระเซิงเหมือนไม่ได้เคยหวีมาตลอดชีวิต

เขานุ่งกางเกงขาสั้นกระดำกระด่าง ดูมอมแมม เหมือนกับไปนอนอยู่ตามทางเท้ามา เพราะเสื้อก็มีความสกปรกพอกัน
จนแทบจะไม่รู้ว่าเดิมเคยเป็นสีอะไร

เขาถือถุงน้ำแข็งใส่น้ำชา เดินเข้ามาในร้านก๋วยเตี๋ยวใกล้สะพานลอย เมื่อนั่งลงที่โต๊ะแรกใกล้ประตูร้าน และหาที่แขวนถุงน้ำแข็งได้แล้ว
ก็หันไปหาเด็กผู้บริการของร้าน ที่เข้ามายืนเมียงมองอยู่ใกล้ ๆ แล้วสั่งก๋วยเตี๋ยวน้ำด้วยเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน

เมื่อเห็นเด็กคนนั้นยังไม่ถอยออกไปจัดการตามสั่ง ก็ควักกระเป๋ากางเกงหยิบเงินซึ่งเป็นเหรียญทั้งหมดออกมาให้
เด็กจึงเดินไปสั่งก๋วยเตี๋ยว

เมื่อได้ของตามที่ต้องการแล้ว เขาก็ลงมือกินอย่างละเมียดละไม ไม่ได้รีบร้อน

ผมมองเห็นเหตุการณ์นั้นตั้งแต่ต้น เมื่อเสร็จธุระในการกินก๋วยเตี๋ยวของผม และชำระเงินแล้ว
ขณะที่จะเดินผ่านชายผู้นั้นก่อนออกจากร้าน ผมก็ก้มหน้าลงไปกระซิบว่า

ผมขอออกเงินค่าก๋วยเตี๋ยวชามนี้จะได้ไหมครับ

ชายขะมุกขะมอมผู้นั้นสั่นศรีษะ

ผมจึงถามย้ำอีกว่าไม่ต้องหรือครับ คราวนี้เขาพยักหน้า

ผมจึงเดินออกจากร้านไปด้วยความผิดหวัง

เขาคงจะเลิกงานแล้ว .




 

Create Date : 12 ธันวาคม 2558    
Last Update : 12 ธันวาคม 2558 10:21:05 น.
Counter : 410 Pageviews.  

ผู้มี(แต้)น้ำใจ (๑)

เรื่องสั้น ๑๕ บรรทัด

ผู้มี(แต่)น้ำใจ

เพทาย


คราวหนึ่งผมจะนั่งเรือข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยา จากท่าพระจันทร์ไปยังท่าวังหลัง
แต่ผมลงไปที่ท่าไม่ทันเรือที่รออยู่ได้ออกไปอย่างหวุดหวิด
ผมไม่กล้ากระโดดตามเพราะเจียมสังขาร คงยืนรออยู่บนโป๊ะซึ่งไหวโยกเยกนั้นอยู่ครู่หนึ่ง

เรือลำใหม่ก็เข้ามาจอดอีก

คราวนี้ผมคอยให้ผู้คนขึ้นจนหมดแล้วก็ลงไปนั่งรอในเรืออย่างสบาย สักพักหนึ่งพอเรือขยับจะเคลื่อนออกจากท่า
ก็มีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ สองคนวิ่งลงมาตามสะพานที่ทอดอยู่กับโป๊ะ
คนโตอายุประมาสักหกเจ็ดขวบ โดดลงเรือซึ่งกำลังห่างออกจากท่าอย่างว่องไว

ส่วนคนเล็กที่ตามหลังอายุคงประมาณสักห้าหกขวบ ต้องหยุดชะงักไม่กล้าโดดตาม
คงยืนมองเรือที่แล่นห่างออกไปด้วยสายตาละห้อย เกือบจะร้องไห้
ผมก็พลอยโล่งอกไปด้วย เพราะไม่แน่ว่าถ้าผลีผลามโดดตามเรือ

เธอจะปลอดภัยหรือหล่นลงไปในน้ำกันแน่

เมื่อเรือแล่นมาจอดที่ท่าวังหลัง ผมก็ก้าวจากเรือขึ้นบนท่า พร้อมกับผู้โดยสารทั้งหมด แล้วก็เดินไปตามสะพานที่ทอดขึ้นจากโป๊ะ
บังเอิญเด็กหญิงคนโตเดินมาใกล้ผม

ด้วยความเป็นห่วงเด็กหญิงคนเล็ก จึงถามเธอว่าหนูไม่ลงเรือกลับไปรับน้องที่ฝั่งโน้นหรือ
เธอตอบโดยไม่หันมามองหน้าผมว่า เดี๋ยวมันก็มาได้เองหรอกลุ้ง

ผมเลยเลิกห่วง.




 

Create Date : 12 ธันวาคม 2558    
Last Update : 12 ธันวาคม 2558 8:14:38 น.
Counter : 441 Pageviews.  

ความเอยความหลัง (๔)

ความเอยความหลัง (๔)

สังสรรค์ฉันท์มิตร

เจียวต้าย

ผมเดินเข้ามาในถนนนักเขียน ของห้องสมุดพันทิป เป็นครั้งแรกเมื่อกลางเดือน มกราคม ๒๕๔๘ และอีกไม่นานนักก็พบว่า ในถนนนี้มีนักเขียนเรื่องสั้น เรื่องยาว บทกวี และความเรียงอยู่มากมาย ที่เสนอข้อเขียนของตนเป็นประจำ และมีผู้อ่านอีกมากกว่า ที่อ่านเพียงอย่างเดียว ซึ่งติดตามอ่านมาเกือบทุกเรื่องอย่างเหนียวแน่น นับเป็นจำนวนร้อยคน หรือร้อยนามแฝง ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงผู้ที่อ่านเงียบโดยไม่ออกความเห็นอีกด้วย
เขาเหล่านั้นคงจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย เพิ่งจะได้มาพูดคุยสังสันทน์กันในหน้าจออินเตอร์เนตนี้เอง ต่อมาจึงอยากจะรู้จักตัวตน ของคนที่มีรสนิยมใกล้เคียงกันนอกเหนือจากที่ได้พบกันบ้างในงานหนังสือประจำปี จึงได้เกิดการพบปะกันเป็นกลุ่มย่อย ๆ ซึ่งในรอบปี
ที่ผ่านไปผมได้คุ้ยหามาบันทึกไว้หลายรายการ

รายแรกดูเหมือนจะเป็นการร่วมทำบุญเข้าพรรษา ที่วัดปทุมวนาราม เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๔๘ มีผู้ไปร่วมงานมากมาย

รายต่อมาเป็นการไปพักผ่อนที่ สวนห้อมล้อมดาว จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ ๓๐-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๘ มีผู้ร่วมขบวนพอสมควร

ถัดมาเป็นการพบปะพูดคุยกันเพียงหกคน ที่ภัตตาคารพงหลี อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๔๘ เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ – ๒๒.๐๐ น.

และในคืนเดียวกันนั้นเอง ผู้ที่ร่วมกลุ่มพงหลี ได้นัดพบกับอีกกลุ่มหนึ่ง ที่บ้านสวนน้ำแล้วพากันไปต่อที่โรงเตี๊ยม แถวถนนรามอินทรา ตั้งแต่เวลาประมาณ ๒๓.๐๐ น.ไปจนถึงเกือบเช้า

จากนั้นก็มีการพบกันเพียงสองคน ที่สโมสรนายเรืออากาศ ดอนเมือง เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๔๘ เวลาประมาณ ๑๑.๐๐ – ๑๘.๐๐ น.

แล้วก็มีการกลับไปที่ สวนห้อมล้อมดาว นครราชสีมา อีกครั้งหนึ่ง เพื่อดู น้ำตก ม่านฟ้า ซึ่งครั้งก่อนไม่มีน้ำไหล เมื่อวันที่ ๑๙-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ดูเหมือนจะมีผู้ร่วม ไปด้วยกันประมาณเจ็ดคน

ส่วนที่ผ่านไปหยก ๆ เมื่อ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๔๘ เป็นการส่งท้ายปีเก่า ที่ร้าน ซิสเลอร์ เซ็นทรัล ลาดพร้าว มีผู้ไปร่วมงานสิบสามคน

ผมไม่ได้สมัครไปกับกลุ่มนี้ ด้วยเหตุผลหลายประการคือ ผมเป็นคนโบราณไม่เคยเข้าไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เลย ไม่รู้ว่าร้านอะไรตั้งอยู่ที่ด้านไหน ประการต่อมาก็คือ ผมไม่รู้ว่าร้านซิสเลอร์เขาขายอะไรที่ผมกินได้บ้าง ไม่รู้ว่าเขามีเบียร์มีโซดาขายหรือเปล่า

และประการหลังนั้นมีสุภาพสตรีไปกันเป็นส่วนใหญ่ ถ้าผมจะกินดื่มตามรสนิยมของผม จะกลายเป็นตัวประหลาดไปหรือไม่ ส่วนประการสุดท้ายก็คือ ผมมีวัยแตกต่างกับผู้ร่วมงานท่านอื่น ๆ มากเสียจนผมอาจจะอ้าปากค้าง ฟังท่านคุยกันไม่รู้เรื่องก็ได้

ผมจึงต้องสงวนตัวสงวนใจไว้ก่อน แต่เมื่อผมได้อ่านรายงานของท่านที่ไปกันแล้ว ผมก็พลอยมีความสุขไปด้วย และได้ถือโอกาสฝากกลอนไปอ้อนไว้ว่า

อ่านรายงานกลุ่มสังสรรค์มันปนเผือก
หนุกหนานกันเป็นเทือกที่ซิสเลอร์
สิบสามคนหนนี้ที่เพิ่งเจอ
เล่าให้คนอ่านเพ้อเพราะอยากไป

ชาวถนนพบกันแต่ละกลุ่ม
พวกสาวหนุ่มแสนดีจะมีไหน
ส่วนคนแก่ตั้งวงอยู่ห่างไกล
ถูกแยกไว้พวกย้ายที่กินเหล้า

โอ้....อีกนานสักเท่าไรจะได้แจม
ช่วยแต่งแต้มแสงสีสิ้นปีเก่า
ขอบอกน้องพวกพี่ไม่มีเมา
คอยจนเข้าปีใหม่อีกไม่นาน

ปีสี่แปดผ่านไปให้หมดทุกข์
มีแต่สุขสดใสหลายสถาน
ปีสี่เก้าจะเข้ามาอย่ารำคาญ
ท่านผู้อ่านหวังสิ่งใดไม่พลาดเอย.

และแล้วเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๘ นี้เอง เจียวต้าย กับคุณGTW และ(คุณ)นายทิวา ก็คบคิดกันจะไปสังสรรค์ฉันท์มิตร ที่เก่าเวลาเพล และให้คุณทิวาชวนใครอีกก็ได้ตามความพอใจ จึงได้พบกันทั้งหมด ๑๐ คน ดังนี้

ที่สิบเจ็ดธันวามาพงหลี
สิบเอ็ดโมงพอดีไม่เหหัน
เจียวต้ายถึงก่อนใครไม่ช้าพลัน
ขมีขมันจัดทำเลห้อง เอ.สี่

ตั้งโต๊ะกลมเก้าอี้วางข้างหน้าต่าง
วิวกว้างขวางเตรียมรับรองพวกน้องพี่
คนถัดมาเพิ่งเห็นหน้า คุณอาร์พี
สวัสดีทักทายกันจำนรรจา

คุณรวี บอกอ รูปหล่อแท้
ผลิตหนังสือทำมือแน่รีบมาหา
อีกเดี๋ยวเดียวนิรนามก็ตามมา
รอไม่ช้าหมอโมโนก็โผล่ร่าง

คุณจันทร์แห้ง เพิ่งรู้ข่าวเมื่อเช้านี้
รีบเร็วรี่มาทันใดห้ามใครขวาง
ท่านตัวใหญ่น้ำใจดีมีสตางค์
ดื่มเบียร์สิงห์ไปพลางกับเจียวต้าย

อีกสักพักศาลาไทยก็ไปถึง
อาศัยพึ่ง คุณทิวา มาที่หมาย
สั่งร้อยปีดื่มแต่น้อยค่อยผ่อนคลาย
เกือบสุดท้ายจึงเห็นหน้าอาจารย์ G

คนที่สิบ จอมยุทธ ณ เมรัย
แต่วันนี้เหตุไฉนไม่ดื่มปี่
นั่งรอบโต๊ะครบแล้วยกแก้วที
ร่วมแสดงความยินดีให้หิ่งห้อย

ขออาศัยอาศรมโคลงเชื่อมโยงเพื่อน
สะกิดเตือนคนช่างฝันคุยกันหน่อย
อีกหลายคนไม่ได้มาพากันคอย
อย่าใจน้อยไว้คราวหน้ามาพบกัน

ขอเกริ่นกล่าวเล่าเรียงแต่เพียงนี้
กินเนื้อที่อาศรมชมรมขยัน
อยากอ่านโคลงศาลาไทยเล่าให้มัน
เจียวต้ายนั้นหลบไปนอนพักผ่อนเอย.

ผมฝากกลอนชิ้นนี้ไว้ในอาศรมโคลงภาค ๑๕๐ แต่เห็นว่ากระทู้นั้นยาวมากแล้ว ผู้สนใจอาจจะหาไม่เจอ จึงยกเอามาไว้ที่นี่อีกครั้ง พอให้รู้ชื่อว่าเป็นใครบ้าง ส่วนหน้าตาจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องคอยดูรูปจากช่างภาพกิตติมศักดิ์ ของเราก่อน ว่าเธอจะนำมาเสนอในกระทู้ไหน และอาจจะได้อ่านสำนวนการบรรยายบรรยากาศ และรายละเอียดอื่น ๆ จากผู้ร่วมขบวนการนี้ เพิ่มขึ้นอีกก็เป็นได้

ผมหวังว่ากลุ่มย่อย ๆ เหล่านี้ อาจจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ ในอนาคตอันใกล้นี้ อย่างน้อยก็คงจะไม่เกินห้าปี เพราะถ้าเลยไปแล้ว ผมก็คงจะหมดโอกาสที่จะมาร่วมวงละครับ สุดท้ายก็ขออวยพรปีใหม่ให้แด่ ทุกคนในถนนนักเขียนอีกครั้งหนึ่ง

ขึ้นปีใหม่สี่เก้าหนาวในจิต
แต่จะคิดสิ่งใดให้สมหวัง
มีความสุขทุกวันคืนชื่นใจจัง
อยู่กระทั่งร้อยปีกว่าอย่าเหี่ยวเอย.

หมายเหตุ

เอาความหลังเมื่อ ๑๐ ปีก่อน มาวางเปรียบเทียบกับปัจจุบัน ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๙
เพื่อให้เห็นกฎของอนิจจัง ครับ.




 

Create Date : 10 ธันวาคม 2558    
Last Update : 10 ธันวาคม 2558 8:31:24 น.
Counter : 720 Pageviews.  

วันนั้น

วันนั้น

เพทาย


วันนั้น..............

เป็นวันที่หก ที่ลูกลืมตาขึ้นมาเห็นโลกอันกว้างเื่าห้องนอนที่แม่นอนมาหลายวันแล้ว
พ่อมาเยี่ยมลูกแต่เช้า แต่ไม่มีลูกนอนอยู่ที่เตียงซึ่งเคยนอน มันว่างเปล่าเหมือนหัวใจของพ่อ

พยาบาลบอกว่าลูกตายเมื่อหกโมงครึ่งเช้านี้เอง

ฟังดูเหมือนเขาพูดกับคนอื่น เหมือนไม่ได้บอกกับพ่อ

หูได้ยินเพียงแว่ว ๆ แต่ใจไม่อยากรับรู้ ประสาทชาไปหมดทั้งร่าง

จบสิ้นกันไปแล้ว ชีวิตที่สั้นแสนสั้น
ลูกชายคนหัวปีที่ใฝ่ฝัน เฝ้ารอคอยมาเป็นเวลานาน
แต่ได้เห็นหน้ากันเพียงห้าวัน

ชีวิตกระจิดหริดนั้นบริสุทธิ์สอาดหมดจด ยังไม่เคยได้ก่อกรรมทำเวรอะไรกับใครเลย
แต่โลกไม่ต้องการ ไม่ต้อนรับ แล้วยังทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมทารุณ จนสุดที่จะทนทานไหว

จิตใจของพ่อชอกช้ำยับเยินเพียงไหน หัวใจของแม่ก็ยิ่งเพิ่มเป็นร้อยเท่าพันทวี

พ่อมอบให้ทางโรงพยาบาล นำศพลูกไปผ่าตัดเพื่อวิเคราะห์โรค
และก็ได้ทราบผลในภายหลังว่า มีเนื้องอกเกาะอยู่ที่ปอด ทำให้การหายใจขัดข้อง
โลหิตจึงได้เป็นพิษ ไม่มีทางที่จะรักษาได้ นอกจากการผ่าตัด
ซึ่งย่อมจะทำไม่ได้กับทารกตัวแค่นี้

ทุกสิ่งทุกอย่างได้สิ้นสุดลงโดยรวดเร็ว

เหมือนท้องทะเลในวันที่อากาศกำลังแจ่มใส

แล้วจู่ ๆ เมฆก็มืดครึ้มพายุพัดกระหน่ำ ฝนตกไม่ลืมหูลืมตา

น้ำหลากท่วมพัดบ้านเมืองพังพินาศ

แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หยุดเงียบหายไป

ทิ้งแต่ร่องรอยปรักหักพังเอาไว้เบื้องหลัง

ทะเลก็กลับเป็นท้องน้ำที่ราบเรียบ เขียวใสอย่างเดิม

เหมือนที่ได้เคยเป็นมาชั่วนิรันดร

พ่อจำวันสุดท้ายนั้นได้อย่างแม่นยำ ไม่มีลืมเลือน

มันเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของพ่อ

แม้เวลาจะล่วงเลยมานานแสนนานแล้วก็ตาม.


#############




 

Create Date : 06 ธันวาคม 2558    
Last Update : 6 ธันวาคม 2558 19:10:51 น.
Counter : 570 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.