Group Blog
 
All Blogs
 

เรื่องของหญิงบริการ (๑)

เรื่องสั้น

เรื่องของหญิงบริการ

เจียวต้าย

เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๔ วันที่ ๒๖ เมษายน เวลาประมาณ ๐๓.๐๐ น. นายร้อยเวรสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ ได้รับแจ้งทางโทรศัพท์จากโรงพยาบาลเพชรเวช คลองตัน ว่ามีคนกระโดดตึกจากชั้น ๔ ของแฟลต ในซอยสุขุมวิท ๓๘ แขวงคลองตัน เขตพระโขนง ถึงแก่ความตาย ขณะนี้ศพอยู่ที่โรงพยาบาล ให้ไปทำการสอบสวนชันสูตรพลิกศพด้วย

นายร้อยเวรพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิร่วมกตัญญู จึงรีบรุดไปที่โรงพยาบาลก็พบศพของหญิงสาวผู้หนึ่ง อายุประมาณ ๓๐ ปีเศษ ในสภาพคอแขนขาหักหลายท่อน กระโหลกศีรษะยุบมีเลือดโทรมกาย อยู่ในชุดเสื้อติดกับกระโปรงดำดอกขาว ภายหลังการสอบสวนได้ความชื่อ น.ส.ประยงค์ (นามสมมุติ)อดีตนางแบบถ่ายภาพศิลปของนิตยสารรายเดือนฉบับหนึ่ง ปัจจุบันเป็นพนักงานนวดเบอร์ ๒๒๒ ประจำสถาน อาบอบนวด ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง

ซึ่งได้เช่าอยู่ที่ห้องพักหมายเลข ๑๘ของแฟลตที่เกิดเหตุ หลังจากมอบศพให้มูลนิธิร่วมกตัญญูนำไปส่งโรงพยาบาลตำรวจแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการสอบปากคำ นายวิชัย (นามสมมุติ) อายุ ๒๗ ปี ซึ่งอยู่ในห้องเดียวกัน ได้ความว่า

นายวิชัย กับ น.ส.ประยงค์ ได้อยู่กินกันอย่างลับ ๆ มาได้ ๙ เดือนแล้ว ต่อมาในระยะหลังทั้งคู่มักจะมีเรื่องระหองระแหงเป็นปากเสียงกันเสมอ เพราะฝ่ายหญิงเกิดความหึงหวงระแวงว่าฝ่ายชายจะไปมีรักใหม่

จนกระทั่งคืนวันเกิดเหตุ นายวิชัยได้ไปรับ น.ส.ประยงค์ หลังเลิกงานแล้วพากันไปกินอาหารดื่มเหล้าจนเมาทั้งคู่ แล้วก็กลับมาที่ห้องพัก แต่แทนทั้งคู่จะพากันหลับนอนต่างก็เปิดฉากทะเลาะกัน ด้วยเรื่องเดิมอีก จนในที่สุดนายวิชัยเกิดความรำคาญจนทนไม่ไหว เลยบอกว่าจะเป็นฝ่ายไปเอง แล้วลุกขึ้นไปเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า

น.ส.ประยงค์เห็นดังนั้น จึงบอกว่ากับนายวิชัยว่าไม่ต้องไปหรอก ตนจะไปเอง แล้วก็เดินออกจากห้องในชุดที่กลับจากทำงาน แล้วก็หายเงียบไป

กระทั่งครู่ใหญ่ต่อมานายวิชัยเกิดเอะใจ เห็น น.ส.ประยงค์ออกจากห้องไปนานไม่กลับมา จึงเที่ยวออกเดินตามหาบนแฟลตทุกชั้นก็ไม่พบตัว จึงลงไปที่ชั้นล่างก็พบว่า น.ส.ประยงค์ นอนอยู่ที่พื้น แต่นายวิชัยคิดว่ายังไม่ตายจึงรีบพาไปส่งโรงพยาบาล แต่เธอได้สิ้นใจเสียแล้ว

สาเหตุที่ น.ส.ประยงค์ ไดโดดตึก ๔ ชั้นฆ่าตัวตายครั้งนี้ นอกจากมีเรื่องโกรธเคืองกับนายวิชัยแล้ว เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าอาจจะมาจากความกลัดกลุ้ม เกี่ยวกับปัญหาเรื่องที่ดินบ้านเดิมที่จังหวัดอยุธยา ซึ่งได้ขายไปแล้วแต่ผู้ซื้อไม่ยอมจ่ายเงิน ซ้ำแฟนกำลังจะทิ้งไปอีก ทำให้กลุ้มใจหนักเข้า จึงหาทางออกด้วยการจบชีวิตตนเอง อย่างน่าอนาจเช่นนี้

เรื่องนี้เกิดจาก ความรักเป็นพิษ หญิงสาวที่คิดจะกลับตัวกลับใจ มีครอบครัวเป็นตัวตนแต่ไม่สมหวัง จึงเอาชีวิตของตนเป็นเครื่องสังเวยความรัก.




 

Create Date : 02 สิงหาคม 2558    
Last Update : 2 สิงหาคม 2558 8:13:47 น.
Counter : 771 Pageviews.  

เรื่องของแท็กซี่ (๓)

เมื่อเวลา ๐๐.๓๐ น. ของวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔ นายร้อยเวรสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ ได้รับแจ้งทางโทรศัพท์ว่า มีรถแท็กซี่วิ่งเข้าชนร้านตัดเสื้อ ในซอยกล้วยน้ำไท ถนนพระราม ๔ แขวงคลองเตย เขตพระโขนง มีคนขับตายอยู่ในรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิร่วมกตัญญู จึงไปยังที่เกิดเหตุ ก็พบรถแท็กซี่สีฟ้าหลังคาขาว จอดอยู่ในลักษณะพุ่งเข้าชนร้านตัดเสื้อ โดยประตูด้านคนขับเปิดอ้าอยู่ และมีร่างของชายคนขับหงายศรีษะตกไปอยู่ด้านล่าง ส่วนขาทั้งสองข้างยังพาดอยู่บนรถ มีบาดแผลถูกยิงด้วยปืนลูกซองพกเบอร์ ๑๒ ที่บริเวณโหนกแก็มซ้าย ๑ นัด กระสุนฝังใน เลือดอาบใบหน้าที่มีรอยเขม่าดินปืนติดเต็มไปหมด แสดงว่าผู้ตายถูกยิงในระยะประชิด

หลังจากเจ้าหน้าที่ดับสวิทช์เครื่องยนต์ที่ยังติดอยู่แล้ว จึงช่วยกันยกศพผู้ตายลงมาค้นร่างกาย พบเงินสดจำนวน ๑๙๐ บาท สร้อยคอแสตนเลสพร้อมพระเครื่อง ๖ องค์ ไฟแช็กแก๊ส ๑ อัน และใบขับขี่ระบุชื่อผู้ตายว่า นายชัยยงค์ อายุ ๓๖ ปี บ้านอยู่ที่แขวงทุ่งวัดดอน เขตยานนาวา เมื่อชันสูตรพลิกศพแล้ว ก็มอบให้เจ้าหน้าที่มูลนิธินำไปส่งให้สถาบันนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ ดำเนินการต่อไป

ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้สอบปากคำ นายสุรินทร์อายุ ๓๗ ปี อาชีพขับรถบรรทุกเล็ก ผู้เห็นเหตุการณ์ ได้ความว่าก่อนเกิดเหตุตนกับเพื่อ ๒-๓ คน นั่งคุยกันอยู่บนรถ ซึ่งจอดอยู่หน้าตลาดกล้วยน้ำไท ได้เห็นรถแท็กซี่คันดังกล่าววิ่งผ่านไปช้า ๆ บนรถมีชายวัยรุ่นนั่งด้านหน้าหนึ่งคน เบาะหลังสองคน พอถึงที่เกิดเหตุก็มีเสียงดังปัง พร้อมกับรถแท็กซี่คันนั้นก็วิ่งพุ่งเข้าชนร้านตัดเสื้อดังกล่าว เสียงดังสนั่น หน้าหม้อรถฝังฝากระดานเข้าไปครึ่งคัน แล้วจึงจอดนิ่งโดยเครื่องยนต์ยังติดอยู่

นายสุรินทร์กับพวกเห็นดังนั้นก็ตกใจคิดว่ายางระเบิด แล้วเสียหลักพุ่งเข้าชนร้านตัดเสื้อ จึงวิ่งเข้าไปจะช่วยเหลือ ก็เห็นชายวัยรุ่นสามคนที่โดยสารรถแท็กซี่มานั้น กำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ข้างรถ เมื่อเหลือบมาเห็นพวกตน กลุ่มวัยรุ่นนั้นจึงผละไปเรียกรถแท็กซี่อีกคันหนึ่ง หนีไปอย่างเร่งรีบ จนกระทั่งพวกตนเข้าไปดูในรถจึงพบว่าคนขับถูกยิงตายคารถเสียแล้ว จึงโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ

หลังจากสอบปากคำนายสุรินทร์กับพวกที่เห็นเหตุการณ์ใกล้ชิดแล้ว เจ้าหน้าที่จึงสันนิษฐานว่า คนร้ายวัยรุ่นสามคนคงจะว่าจ้างรถนายชัยยงค์มาจากที่อื่น เมื่อถึงที่เกิดเหตุซึ่งมืดและเปลี่ยว กลุ่มคนร้ายจึงใช้ปืนจี้นายชัยยงค์เพื่อปล้นทรัพย์ แต่นายชัยยงค์ขัดขืนจึงถูกยิง แต่ก่อนจะสิ้นสติก็ได้หักพวงมาลัยรถพุ่งเข้าชนร้านตัดเสื้อ เพื่อให้กลุ่มคนร้ายได้รับบาดเจ็บด้วย แต่นายชัยยงค์ได้สิ้นใจเสียก่อน รถเลยหมดกำลังเร่ง ชนไม่แรงพอคนร้ายจึงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเลย และพากันหลบหนีไปได้อย่างลอยนวล โดยไม่ได้ทรัพย์สินไปแต่อย่างใดเลย ซึ่งเจ้าหน้าที่คงจะได้ติดตามอย่างกวดขัน เพื่อเอาตัวมาดำเนินคดีต่อไป



##### ######


๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๘




 

Create Date : 01 สิงหาคม 2558    
Last Update : 1 สิงหาคม 2558 16:47:16 น.
Counter : 559 Pageviews.  

เรื่องของแท็กซี่ (๒)

เรื่องสั้น

เรื่องของแท็กซี่ (๒)

เมื่อเวลา ๐๓.๐๐ น.ของวันที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๔ นายร้อยเวรสถานีตำรวจนครบาลทุ่งครุ ได้รับแจ้งว่ามีเหตุรถแท็กซี่ชนเสาไฟฟ้า และตกลงไปในคูน้ำ ที่ถนนราษฎร์พัฒนา แขวงทุ่งครุ เขตราษฎร์บูรณะ จึงรุดไปยังที่เกิดเหตุก็พบรถแท็กซี่สีน้ำเงิน ตกถนนจมน้ำอยู่ในคูข้างถนนครึ่งคัน เห็นมือคนขับโผล่ออกมานอกรถ เจ้าหน้าที่จึงลากรถขึ้นมาจากน้ำ ปรากฏว่าเจ้าของมือถูกอัดอยู่กับพวงมาลัยรถ ถึงแก่ความตายไปแล้ว

ขณะเดียวกันชาวบ้านก็นำตัวชายอีกคนหนึ่งที่ยังอยู่ในอาการมึนเมาสุรา มาส่งให้เจ้าหน้าที่ควบคุมตัว พร้อมกับชายอีกคนหนึ่งซึ่งถูกแทงที่ลำตัวด้วยของมีคมกว่าสิบแผล ชายผู้นี้บอกกับเจ้าหน้าที่ว่า ตนเป็นคนขับรถแท็กซี่ ถูกชายสองคนที่กำลังเมาและเสียชีวิตแล้ว จี้เอารถและทำร้ายร่างกายบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่จึงส่งตัวโชเฟอร์ผู้บาดเจ็บไปรักษาตัว ที่โรงพยาบาลศิริราช และควบคุมตัวชายขี้เมาไว้ กับให้มูลนิธิร่วมกตัญญูนำศพผู้ตาย ส่งสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจดำเนินการต่อไป

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนได้ความว่า โชเฟอร์ผู้บาดเจ็บชื่อนายยุทธ ชายที่ยังไม่หายเมาชื่อนายสำลี (นามสมมุติ) และชายที่เสียชีวิตชื่อนายป้อม (นามสมมุติ) นายยุทธ ให้การว่าตนเองขับรถแท็กซี่เร่หาผู้โดยสารผ่านมาถึงสามแยก หน้าร้านขายข้าวต้มไม่มีชื่อ แถวอำเภอ พระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ก็เจอนายป้อมกับนายสำลีซึ่งมีอาการมึนเมา เรียกให้ไปส่งที่สถาบันเทคโนโลยี ถนนประชาอุทิศ ในราคา ๓๐ บาท

โดยนายป้อมนั่งคู่กับคนขับ นายสำลีนั่งเบาะหลัง เมื่อรถถึงที่หมายทั้งสองบอกให้ขับเลยเข้าไปในซอยอีกหน่อย นายยุทธเห็นเป็นที่เปลี่ยวจึงไม่ยอมไป นายสำลีชักมีดออกมาจี้ แต่นายยุทธขัดขืนนายสำลีจึงระดมแทงไม่ยั้งนับสิบแผลเลือดไหลโชก ส่วนนายป้อมซึ่งนั่งข้างหน้าก็ล้วงเอาเงินในกระเป๋านายุทธไปหมด แล้วก็ช่วยกันเอาเชือกที่เตรียมมาด้วย มัดนายยุทธ และหามไปยัดใส่กระโปรงท้ายรถ แล้วนายป้อมก็ขับรถไปเอง

เมื่อนายป้อมขับรถมาถึงโค้งที่เกิดเหตุ ด้วยความที่ยังไม่สร่างเมา รถจึงเสียหลักพุ่งเข้าชนเสาไฟฟ้ากระเด็นตกลงไปในคู นายป้อมผู้ขับถูกอัดติดกับพวงมาลัยจมน้ำตาย ทั้ง ๆ ที่มือยังชูอยู่ ชาวบ้านที่วิ่งมาช่วยเหลือได้ยินเสียงทุบประโปรงด้านหลังที่อยู่พ้นน้ำ ก็ช่วยกันเปิดฝาออก ก็พบนายยุทธถูกมัดอยู่ และร้องบอกให้ชาวบ้านจับตัวนายสำลีที่เป็นคนร้ายไว้ นายสำลีก็ยังไม่หายเมาจึงหนีไม่พ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวนายสำลีไว้ดำเนินคดีต่อไป

ส่วนเงินของนายยุทธที่ถูกนายป้อมล้วงเอาไป เป็นธนบัตรใบละ ๒๐ บาทเท่านั้น

นับว่าเป็นความโชคดีของโชเฟอร์ ที่คนร้ายมัดเอาไว้ในกระโปรงหลัง ซึ่งไม่ถูกน้ำท่วม มิฉะนั้นก็คงจะจมน้ำตายตามคนร้ายไปด้วยเป็นแน่.

##########




 

Create Date : 01 สิงหาคม 2558    
Last Update : 1 สิงหาคม 2558 16:36:33 น.
Counter : 827 Pageviews.  

เรื่องของแท็กซี่ (๑)

เรื่องสั้น

ภัยของแท็กซี่

เจียวต้าย


เมื่อ เวลา๐๑.๓๕ น.ของวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๒๔ ขณะที่สายตรวจ สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ออกตรวจบริเวณที่รับผิดชอบ มาจนถึงหน้าวัดช่องลม ถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาหรือรัชฎาภิเษก ก็พบชายคนหนึ่งยืนเลือดโชก อยู่ จึงเข้าไปสอบถามก็ได้ความว่า ชายผู้นั้นชื่อนายจวน อายุ ๔๕ ปี พักอยู่ในซอยสวนพลู มีบาดแผลถูกแทงที่บริเวณกกหูซ้าย ได้รับบาดเจ็บ

นายจวนให้การว่าตนเป็นคนขับรถแท็กซี่สีเขียวคาดเหลือง ก่อนเกิดเหตุได้รับชายสามคนมาจากสลัมคลองเตย ล็อคที่ ๑ ให้มาส่งแถวที่เกิดเหตุโดยตกลงราคากัน ๑๕ บาท พอมาถึงหน้าวัด ผู้โดยสารก็ให้ขับรถเลี้ยวเข้าไปในซอยเปลี่ยว นายจวนจึงไม่ยอมเข้าไป ชายทั้งสามคนจึงแปลงตัวเป็นโจรช่วยกันล็อคคอ และล้วงเงินในกระเป๋าไปทั้งหมด เมื่อนายจวนขัดขืนก็ช่วยกันซ้อมเสียจนสะบักสะบอม แถมเอามีดแทงกกหูซ้ายเลือดไหลโกรก ก่อนที่จะหลบหนีเข้าวัดไปหลัด ๆ

หัวหน้าสายตรวจจึงนำเจ้าหน้าที่ เข้าไปค้นหาคนร้ายในวัด ปรากฏว่าคนหนึ่งเห็นตำรวจก็วิ่งหนี จึงถูกจับกุมตัวไว้ได้ อีกคนหนึ่งเข้าไปซ่อนตัวในส้วมแต่เคราะห์ร้ายฝาส้วมแตก เลยหล่นลงไปจมอยู่ในสิ่งปฏิกูล ไม่สามารถหนีพ้นมือตำรวยสายตรวจไปได้ ส่วนอีกคนหนึ่งหาตัวไม่พบ

จากการสอบสวน ซึ่งคงจะเป็นเวลาภายหลังที่ให้คนร้ายอาบน้ำแล้ว ก็ได้ความว่าคนร้ายที่ถูกจับชื่อนายน้อย (นามสมมุติ) คนที่ตกส้วมชื่อนายดวง (นามสมมุติ) คนที่หนีรอดไปได้ชื่อนายตี๋ (นามสมมุติ) ทั้งสามคนเป็นกรรมกรก่อสร้างทางด่วนพิเศษ และสารภาพว่าได้เงินค่าจ้างไม่พอใช้ จึงร่วมมือกันปล้นแท็กซี่จริง เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวทั้งสองโจรไว้ดำเนินคดี

และส่งตัวโชเฟอร์ผู้เคราะห์ร้ายไปทำแผลที่โรงพยาบาลตำรวจ และจะได้ติดตามเอาตัวคนที่หนีมาให้ได้โดยกวดขันต่อไป ส่วนเงินของกลางที่ปล้นจี้มานั้น มีจำนวนเพียง ๔๔๐ บาทเท่านั้นเอง ถ้ารอดจากการถูกจับ ก็จะแบ่งกันได้ คนละ ๑๕๐ บาทเท่านั้น แค่ตกส้วมก็ไม่คุ้มแล้ว

##########






 

Create Date : 01 สิงหาคม 2558    
Last Update : 1 สิงหาคม 2558 16:29:51 น.
Counter : 417 Pageviews.  

ของกลางหาย

เรื่องสั้น

ของกลางหาย


เพทาย


เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๓ เวลา ๒๑.๐๐ น. ของวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน น.ส.กัลยา อายุ ๕๒ ปี อาชีขายลอตเตอรี่อยู่ที่ตำบลหัวรอ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดอยุธยา ได้เข้าแจ้งความแก่นายร้อยเวรสถานีตำรวจภูธรเจ้าของท้องที่ มีความว่า

ขณะที่ตนไปช่วยงานที่วิทยาเขตพาณิชย์พระนครศรีอยุธยาอยู่นั้น ได้มีวายร้ายสองคน ได้เข้ามากระชากสร้อยคอทองคำหนักหกสลึง ซึ่งมีจี้ทองคำห้อยอยู่ ขาดติดมือวิ่งหนีไปต่อหน้าต่อตา และหลบหนีไปได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ลงบันทึกประจำวันไว้ และจะได้สืบจับตัวคนร้ายอย่างกวดขันต่อไป

เวลาล่วงไปสองวัน จนถึงวันที่ ๒๙ เดือนเดียวกัน น.ส.กัลยา ได้นั่งขายลอตเตอรี่อยู่ที่หน้าร้านของตนตามปกติ ก็ได้เห็นคนร้ายสองคนที่ชิงสร้อยไป ซึ่งตนจำหน้าได้ เป็นอย่างดี กำลังจะเดินผ่านไปเข้าร้านทองที่อยู่ใกล้กัน
จึงได้แจ้งให้สายตรวจช่วยจับกุมตัวไว้ได้โดยละม่อม

แต่เมื่อค้นตัวผู้ต้องหา ก็ไม่พบสร้อยของกลางแต่อย่างใด เพราะปรากฏว่าผู้ต้องหาคนที่กำสร้อยคออยู่ ได้เห็นตำรวจเสียก่อน จึงเอาสร้อยคอใส่ปากกลืนลงท้องไปอย่างไม่ค่อยจะสะดวกนัก

ทางพนักงานสอบสวนกับ น.ส.กัลยา จึงได้พาผู้ต้องหาคนที่มีสร้อยหกสลึงอยู่ในท้อง ไปให้นายแพทย์ที่โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาถ่ายเอกซเรย์ ก็พบว่าสร้อยคอของกลางได้นอนสงบนิ่งอยู่ในกระเพาะอาหารของจำเลยอย่างชัดเจน

แพทย์จึงให้จำเลยกินยาถ่าย แล้วให้ เจ้าหน้าที่นำตัวจำเลยกลับมาควบคุมไว้ที่สถานีตำรวจ โดยใส่กุญแจมือติดกับประตูห้องควบคุมด้านนอก และให้จ่านายสิบตำรวจผู้หนึ่ง คอยเฝ้าสังเกตอาการของจำเลยอย่างใกล้ชิด ถ้าจำเลยปวดท้องจะถ่ายอุจจาระก็ให้นำตัวไปถ่ายกลางแจ้งหลังโรงพัก เพื่อนำของกลางมาคืนผู้เสียหาย

พอรุ่งขึ้น น.ส.กัลยา ก็มาสอบถาม เกี่ยวกับสร้อยคอของกลางนั้น คุณจ่าแก ปฏิเสธว่าเมื่อจำเลยถ่ายออกมาแล้ว ก็ไม่มีสร้อยคอเส้นนั้นแต่อย่างใด น.ส.กัลยา จึงแจ้งให้นายร้อยเวรคนเดิมทราบ แล้วพาจำเลยคนเก่าไปเอ็กซเรย์ที่โรงพยาบาลเดิมอีก คราวนี้ไม่ปรากฏว่ามีสายสร้อยในกระเพาะของจำเลยเหมือนคราวก่อน น.ส.กัลยา จึงแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ ตำรวจสถานีนั้นทราบ

ผู้บังคับบัญชาจึงสั่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยมีสารวัตรปราบปรามเป็นประธาน และรองสารวัตรปราบปรามอีกสองนายเป็นกรรมการ และให้รายงานโดยด่วน

คดีนี้ผู้เสียหายขาดทุนอยู่คนเดียว เพราะแม้จะได้ตัวคนร้ายมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ของกลางคืน เหตุทั้งนี้ก็เพราะตนไม่ได้อยู่คอยเฝ้าจำเลยในเวลาถ่ายทุกข์ จึงไม่เห็นด้วยตาตนเองว่า สร้อยของกลางนั้นหายไปได้อย่างไร จะว่าไฟธาตุของจำเลยแรงมากจนสามารถหลอมทองคำหนักหกสลึงให้ละลาย ปนไปกับอุจจาระหมด ก็ดูจะเป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างยิ่ง

แล้วก็ไม่ทราบว่า ป่านนี้จะได้ข้อเท็จจริงกันหรือยัง.

#########




 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 31 กรกฎาคม 2558 6:57:49 น.
Counter : 755 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.