Group Blog
หน้าบ้านชานเรือน
เรื่องสั้น
เปาบุ้นจิ้น...ผู้ทรงความยุติธรรม
บันทึกของคนเดินเท้า
คุ้ยวรรณคดี สามก๊ก
สังสรรค์สนทนา
ฮ่องเต้ห้าแผ่นดิน
รวมร้อยกรอง
กว่าจะถึงวันนี้
ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ
ธรรมะคือคุณากร
ขุนช้างขุนแผน ฉบับรวบรัด
พระอภัยมณี ฉบับเร่งรัด
คนดีแผ่นดินซ้อง
คนซื่อแห่งกังหนำ
พงศาวดารจีนยุครัตนโกสินทร์
นักรบสองแผ่นดิน
ทหารเสือแผ่นดินถัง
ยอดคนแผ่นดินเหม็ง
คนชั่วแผ่นดินจิ้น
ย้อนอดีต ของ พญาเขินคำ
เรื่องสั้นหรรษา
เรื่องเล่าของคนวัยทอง
เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา
ย้อนอดีต
สัพเพเหระคดี
อะไรก็ได้
บันทึกของผู้เฒ่า
ฝึกหัดวางภาพ
ภาพเก่าเล่าเรื่อง
ผู้เฒ่าเล่าอดีต
เรื่องของคนกับหมาและแมว
พลิกพงศาวดาร
หลานปู่
บันทึกของผู้เฒ่า ๒๕๕๕
เรื่องไม่ขำ
นิทานชาวสวน
หลากชีวิตในพงศาวดารจีน
สยุมภู ทศพล
สามก๊กฉบับคำกลอน
สามก๊กคำกลอนประกอบภาพ
สามก๊กฉบับคำกลอน ขบวนที่ ๒
เก็บตกจากตู้หนังสือ
คุยกับเจียวต้าย
โลกสดใส
ตำนานลิ่วล้อ
คุ้ยสามก๊ก
คลังแห่งปัญญา
ทบทวนนิยายจีน
สามก๊กฉบับคำกลอนขบวนที่ ๓
ทบทวนสามก๊ก
จากคลับสามก๊ก
เรื่องเล่าจากอดีต
จากกระทู้นอกเรื่อง
ภาพในอดีต
นิยายธรรมะ
สามก๊กฉบับมหาอุปราช
ภาพเก่าเล่าอดีต
ยิ้มคนเดียว
สามก๊กฉบับลายคราม
สามก๊กฉบับลิ่วล้อ
All Blogs
ก่อนจะถึงพรุ่งนี้
ความหลังของแม่พลอย
ตายยาก
การให้
ความจำเป็น
อันความกรุณาผปรานี
มิตรภาพที่มีค่า
คน(ไม่)รักรถ
คนเกลียดถนน
ผู้รักษาความสะอาด
ผู้มี(แต่)น้ำใจ (๘)
ผู้มี(แต่)น้ำใจ (๗)
ผู้มี(แต่)น้ำใจ (๖)
ผู้มี(แต่)น้ำใจ (๕)
ผู้มี(แต่)น้ำใจ (๔)
ผู้มี(แต่)น้ำใจ (๓)
ผู้มี(แต่)น้ำใจ (๒)
ผู้มี(แต้)น้ำใจ (๑)
ความเอยความหลัง (๔)
วันนั้น
เพื่อนมนุษย์
รถของเพื่อน
ขาของเพื่อน
เรื่องของอาหาร
เมื่อผมเป็นครู
คนขี้โมโห (๓)
คนขี้โมโห (๒)
คนขี้โมโห (๒)
คนขี้โมโห
เหตุเกิดในโรงแรม (๔)
เหตุเกิดในโรงแรม (๓)
เหตุเกิดในโรงแรม (๒)
เหตุเกิดในโรงแรม (๑)
เรื่องของหญิงบริการ (๓)
เรื่องของหญิงบริการ (๒)
เรื่องของหญิงบริการ (๑)
เรื่องของแท็กซี่ (๓)
เรื่องของแท็กซี่ (๒)
เรื่องของแท็กซี่ (๑)
ของกลางหาย
วายร้ายจนมุม
คนชอบเขียน
วันฝนตก
อยู่เพื่อแมว
เพื่อนเก่า
ผู้น่าสงสาร
แมวหน้าบ้าน
สิ่งที่เหลืออยู่
ความเอยความหลัง (๓)
ความเอยความหลัง (๒)
ความเอยความหลัง
ขอทาน
ค่าของมิตรภาพ (๑)
ค่าของมิตรภาพ (๒)
ภาพหลอน
วันฝนตก
พรประการที่สาม
ไม่อาจเอ่ยคำลา
แม้ไม่มีคำลา
ยังไม่มีคำลา
คนไม่ทันสมัย
เหตุเกิดบนถนนสายหนึ่ง
วรรณกรรมลอกเลียน
สุราเมระยะ
ชีวิตใหม่
คำพิพากษา (เรื่องเล่าจากจอแก้ว)
รวมเรื่องสั้น ๒๕๕๓
เสียงผู้อ่าน สรรสาระ
ความล้มเหลว
เพื่อนในอากาศ
นี่แหละเพื่อน
มิตรภาพที่เป็นจริง
เรื่องของกระบี่
คนรักเพื่อน
วันรำลึกถึงแม่
เหตุเกิดที่สวนอ้อย
พยาน
อนิจจาความรัก
นักเขียน
ดาวร้าย
ความสำนึก(ผิด)
เขาปรารถนา
ความคิดคำนึง
ความหวังของเขา
ค่าเรื่องของนักเขียน (แก่)
ค่าแรงของนักเขียน (เก่า)
เรื่องของ บก.
จากเพื่อนถึงเพื่อน
ฤๅจะถึงจุดจบ
จุดจบ
คนมีเพื่อน
ลูกของผม
คนอยากเขียน
ควันพิษ
รวมเรื่องสั้น ๒๕๔๘
นี่แหละเพื่อน
ฉากชีวิต
นี่แหละเพื่อน
เจียวต้าย
ผมหอบถุงอันหนักอึ้งขึ้นรถเมล์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต มาลงที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตั้งแต่สามโมงเช้า ขณะนั้นเลยเวลาวิกฤตบนท้องถนนมาแล้ว รถโดยสารปรับอากาศสีส้มสายที่ผมต้องการ จอดเรียงกันอยู่ถึงสี่คัน ผมสาวเท้าไปขึ้นคันหน้าสุด ซึ่งมีที่นั่งว่างอยู่กว่าครึ่ง จึงเลือกนั่งแถวหลังประตูด้านซ้าย เพราะเก้าอี้อยู่สูงใกล้ช่องแอร์มากกว่าแถวหน้า ๆ และไม่โดนแสงแดดตอนเช้าด้วย นาน ๆ ได้เลือกที่นั่งได้ตามใจ ก็เอาที่ได้ประโยชน์มากที่สุด
ไม่ต้องรอสักกี่นาทีรถก็เคลื่อนออกจากท่า เลี้ยวซ้ายขึ้นทางด่วนไปทางเหนือ ผมขยับถุงผ้าใส่หนังสือที่วางพิงตรงปลายเท้า ให้ตั้งอยู่อย่างมั่นคง แล้วก็นั่งมองภาพภูมิประเทศข้างทางจากที่สูงของทางด่วน ด้วยความเพลินเพลิน
ในถุงนั้นมีหนังสืออยู่ด้วยกันสิบแปดเล่ม เล่มเล็กสิบเอ็ดเล่มนั้นคือหนังสือรีดเดอร์ไดเจสต์ภาษาไทย หรือสรรสาระ ซึ่งเป็นหนังสือที่มีสาระความรู้มากมายทั่วโลก ที่อ่านง่ายเหมาะสำหรับนักเรียนนักศึกษาที่รักการอ่านเป็นอย่างยิ่ง เพราะเนื้อหาสร้างสรรค์ ยกย่องสรรเสริญผู้ทำความดี ผู้กล้าหาญ ผู้ไม่ย่อท้อต่อชีวิต จากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นทุกมุมโลก และยังมีเรื่องขำขันให้คลายเครียดอีกด้วย
ผมกำลังจะเอาไปบริจาคให้โรงเรียนหนึ่งทางแถวดอนเมือง ผมชอบบริจาคหนังสือที่เลิกอ่านแล้วให้กับห้องสมุดต่าง ๆ เมื่อหลายสิบปีก่อนผมเคยส่งหนังสือการ์ตูนตุ๊กตาลังใหญ่ทางรถไฟ ไปให้โรงเรียนวัดสระกำแพง จังหวัดยโสธร เพราะโรงเรียนตั้งอยู่หลังสถานีรถไปพอดี ในปัจจุบันผมก็ส่งหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะไปให้โรงเรียนวัดจันทรสโมสร และมอบหนังสือธรรมะนับร้อยเล่มให้ห้องสมุดของสมาคมหนังสือพิมพ์ที่อยู่ใกล้บ้าน และเคยมอบหนังสือเรื่องจีนให้กับห้องสมุดประชาชนเขตบางซื่อ คลองสาน สวนลุมพินี และวัดอะไรก็จำชื่อไม่ได้ในซอยจรัญสนิทวงศ์ ๓๕
หนังสือสรรสาระนี้ก็มีที่มาพิสดารอยู่ คือมีคนแนะนำให้ผมอ่าน ผมก็คิดอยู่นิดหน่อยเพราะค่าสมาชิกแพงมากสำหรับวารสารไทย หนังสือขนาดสิบหกหน้ายก หรือครึ่งหนึ่งของกระดาษ เอ ๔ หนาเพียง ๑๖๒ หน้า ราคาเล่มละ๑๑๐ บาท ผมอ่านแล้วกลัวไม่คุ้มค่า จึงส่งไปให้ลูกชายที่ทำงานต่างจังหวัดอ่านต่อ ปรากฏว่าเขาชอบ จึงสมัครเป็นสมาชิกเอง พอครบปีผมก็เลิกเป็นสมาชิก รอให้เขาอ่านแล้วก็ส่งให้ผมอ่านต่อบ้าง ปีต่อมาทางสำนักพิมพ์ให้สมาชิกรับหนังสือฟรีได้อีกหนึ่งเล่ม จะส่งไปให้ใครก็ได้ เขาก็ส่งมาให้ผมโดยไม่ต้องเสียเงิน พอครบปีสำนักพิมพ์ก็เชิญชวนให้ผมเป็นสมาชิกเอง โดยคิดค่าสมาชิกลดลงเหลือปีละ ๙๙๖ บาท สามารถผ่อนได้สามเดือน และมีการลดแลกแจกแถมหลายอย่าง
บังเอิญผมคิดถึงเด็ก ๆ ในโรงเรียนที่น่าจะได้รับความรู้จากหนังสือฉบับนี้ แต่ไม่มีเงินจะซื้อ และทางโรงเรียนก็ไม่สนใจซื้อ ผมจึงตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกอีกครั้ง แล้วก็ตั้งใจว่าเมื่ออ่านครบปีสิบสองเล่มแล้วก็จะส่งไปให้ห้องสมุดของโรงเรียนใดก็ได้ จะได้คุ้มกับราคาของหนังสือนั้น ปีที่ผ่านมา ผมได้ส่งไปให้ห้องสมุด โรงเรียนวัดราชาธิวาส และปีนี้กำลังจะเอาไปส่งให้ห้องสมุดโรงเรียนในอุปถัมภ์ของกองทัพอากาศ
ผมรีบเอามือคว้าหูจับบนเก้าอี้ตัวหน้า เมื่อรถที่ผมโดยสาร เลี้ยวขวาอย่างแรงและดูเหมือนจะวนกลับ เมื่อถึงโค้งจากทางด่วนลงถนนงามวงศ์วาน ที่ป้ายนี้มีคนลงบ้างขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่เต็มเก้าอี้ที่นั่ง แม้จะเป็นวันศุกร์แต่เลยเวลาที่ผู้คนจะไปทำงานกันแล้ว ผมหมุนช่องแอร์ให้เบี่ยงเบนพ้นจากตัวของผมเพราะรู้สึกหนาว ทั้ง ๆ ที่แสงแดดภายนอกรถแจ่มจ้า เครื่องปรับอากาศของรถโดยสารยูโรสีส้มนี้ ให้ความเย็นสูงสุด คุ้มกับค่าโดยสารที่แพงที่สุด ในกระบวนรถเมล์ของกรุงเทพมหานคร
ที่หมายของผมก็คือดอนเมือง บริเวณกองทัพอากาศที่กว้างขวางใหญ่โต จะมีโรงเรียนสามัญโรงเรียนหนึ่งที่ตั้งขึ้นโดยอดีตแม่ทัพอากาศเป็นโรงเรียนเล็ก ๆ ที่สอนชั้นประถมให้แก่บุตรของข้าราชการในสังกัด เช่นเดียวกับโรงเรียนของหน่วยอื่น ๆ เช่น ช่างอากาศอำรุง สรรพาวุธบำรุง รถรบอุปถัมภ์ และสื่อสารสงเคราะห์ ที่เรียงรายอยู่แถวถนนทหาร สะพานแดงบางซื่อ แต่ต่อมาได้ขยายกิจการกว้างขวางขึ้นสอนถึงมัธยมปลาย และคงจะหนักแรงในการอุปถัมภ์ค้ำจุน จึงยกให้กระทรวงศึกษา ธิการ สังกัดกรมสามัญศึกษาไป เดี๋ยวนี้ยังมีกรมนี้อยู่หรือเปล่าก็ไม่ทราบ
รถเมล์ที่ผมนั่งแล่นไปได้อยากสะดวกสบาย ตามถนนงามวงศ์วาน จนผ่านถนนประชาชื่นที่แยกพงษ์เพชร ผ่านถนนวิภาวดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จนถึงสามแยกเกษตรที่กลายเป็นสี่แยก มีสะพานลอยรถข้ามจากใต้ไปเหนือ และกำลังขุดทางลอดจากตะวันออกไปตะวันตก จึงเลี้ยวซ้ายมุ่งไปบางบัว สะพานใหม่ แล้วก็ถึงโรงพยาบาลภูมิพล
เพื่อนของผมที่เพิ่งได้รู้จัก หลังจากที่ติดต่อกันทางอินเตอร์เนตมาหลายเดือน เป็นครูอยู่โรงเรียนนี้ ได้บอกกับผมว่าให้ลงรถเมล์ป้ายถัดไปจากโรงพยาบาลภูมิพล เมื่อผมเห็นป้ายชื่อโรงพยาบาล ผมจึงรีบลุกขึ้นกดกริ่ง อย่างเก้เก้กังกังด้วยถุงหนังสือที่แกว่งไปมา คนขับรถก็แสนดีรีบเบรคให้รถหยุดอย่างนิ่มนวล เมื่อผมลงจากรถมายืนอยู่บนทางเท้าแล้วจึงได้รู้ว่าเขาหยุดที่ป้ายเยื้องโรงพยาบาลนิดเดียว ด้วยความหวังดีว่าผมคงจะไปเยี่ยมญาติที่โรงพยาบาลนี้ ดังนั้นที่หมายของผมจึงอยู่ที่ป้ายต่อไป ซึ่งมองเห็นอยู่เกือบสุดสายตา เพราะมีสะพานลอยคนข้ามเป็นที่สังเกต
ผมปลอบใจตนเองว่าป้ายรถเมล์ป้ายเดียวไม่ไกลเท่าไรหรอก แต่ถุงหนังสือที่หนักอึ้งนี่ซิถ่วงแขนเสียตึงในขณะที่ย่างก้าวเดินไปใต้ร่มไม้ของทางเท้า ความจริงหนังสือเล่มเล็ก ๆ เพียงสิบสองเล่มก็คงจะไม่หนักหนา แต่ผมเกิดความโลภขึ้นมาว่า ไหน ๆ ก็เสียเวลาเดินทางมาเกือบสุดเขตกรุงเทพแล้ว ก็เลยเอาหนังสือที่ผมเขียนเอง ลงพิมพ์ในถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป ให้อ่านกันมาตั้งหลายเดือนแล้วนั้น ถ่ายเอกสารลงกระดาษ เอ ๔ เย็บเล่มเรียบร้อย โดยสำนักพิมพ์ ทำเอง ไปให้ห้องสมุดของโรงเรียนนี้พร้อมกันเสียเลย เรื่องของผมก็จะได้มีคนอ่านเพิ่มขึ้นอีกหลายคนจากที่ได้อ่านกันในอินเตอร์เนตตั้งสี่ห้าคนแล้ว
ผมว่าความคิดของผมเข้าท่าดี จึงรวมรวมหนังสือที่เย็บเล่มแล้ว ๗ เล่มคือ เรื่องสั้นของเจียวต้าย ๒ เล่ม บันทึกของคนเดินเท้า ๒ เล่ม สามก๊กฉบับลายคราม ๒ เล่ม และเรื่องสั้นหรรษาอีก ๑ เล่ม ห่อรวมมาด้วยกัน ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุให้ผมต้องหิ้วจนแขนตึงขึ้นสะพายลอยข้ามจากฝั่งซ้าย ไปลงตรงป้ายชื่อโรงเรียนอันเป็นที่หมาย
ผมมองจากปากทางเข้าไปในซอยที่พุ่งตรงลิ่วไปจนสุดสายตา ก็ไม่เห็นวี่แววของตัวโรงเรียน ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณสี่โมงครึ่ง ที่ป้ายรถเมล์ฝั่งนี้ยังมีนักเรียนชายหญิงนั่งรออยู่เป็นกลุ่ม แต่มีบางคนซ้อมมอเตอร์ไซค์เข้าไปในซอยนั้น ผมมองตามไปก็ไม่เห็นเลี้ยวเข้าโรงเรียนจนลับตาไป ผมจึงหันเข้าไปหาตู้โทรศัพท์สาธารณะแถวนั้น กดเบอร์โทรศัพท์ถึงเพื่อนครูของผม ก็ได้รับเสียงตอบอย่างตื่นเต้นดีใจ ทำให้หายเหนื่อยลงได้ เขาบอกให้ผมยืนรอตรงศาลารอรถมอเตอร์ไซด็นั้นแหละเดี๋ยวเขาจะขับรถออกมารับ
ผมยืนรออยู่ไม่นานก็มีรถเก๋งกลางเก่ามาจอดตรงหน้าผม พร้อมด้วยใบหน้าของเพื่อนโผล่ออกมากับมือที่กวักเรียกให้ขึ้นรถ แล้วก็ขับต่อไปในทิศทางที่ไม่ใช่ทางเข้าโรงเรียน เขาบอกว่ายังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่สองยามเมื่อคืน ผมก็ว่าน่าจะเอาหนังสือไปให้ห้องสมุดเสียก่อน เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยเอาไปให้ก็ได้ แล้วเขาก็ขับรถมาจอดใต้ร่มไม้หน้าห้องอาหารของโรงเรียนนายเรืออากาศ แล้วก็พาผมเข้าไปนั่งห้องแอร์ สั่งเบียร์ยี่ห้อแรกของเมืองไทย มาดับความกระหาย ทั้งของเขาและของผมอย่างรวดเร็ว
เขาบอกว่าเขาจะต้องเข้าไปทำธุระในโรงเรียนต่ออีกสักร้อยนาที ขอให้ผมรออยู่ที่ห้องอาหารนี้ก่อน เขาจะรีบกลับมาโดยเร็ว ความจริงผมนึกว่าภารกิจของผมได้สิ้นสุดลงแล้ว หนังสือที่ผมตั้งใจบริจาค ก็ถึงมือผู้รับแล้ว น่าจะกลับได้ แต่มานึกอีกทีว่าผมเดินทางมาชั่วโมงครึ่ง เพื่อจะพบหน้าเพื่อนเพียงสามสิบนาที แล้วก็กลับไปอีกชั่วโมงครึ่ง ทั้ง ๆ ที่เพื่อนอ้อนวอนให้อยู่ ก็ดูจะใจจืดใจดำเต็มที สถานที่นั่งรอนี้ก็เย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ เบียร์ก็เย็นเฉียบด้วยผ่านการแช่อย่างดี ผมจึงตกลงใจที่จะเสียสละเวลารอคอยเขาตามที่ว่า
เพื่อนรีบไปเมื่อเวลาห้าโมงเกือบครึ่ง หลังจากที่เบียร์หมดไปสามขวดในเวลาเพียงสี่สิบนาที เขาสั่งขวดที่สี่มาวางไว้ให้ผม แล้วก็หายไปอย่างรวดเร็วเหมือนขามา ผมสั่งหมูผัดกระเพราราดข้าวมาปูพื้น ค่อยละเลียดกินไปทีละนิด อ่านหนังสือพิมพ์ครบถ้วนทุกคอลัมน์อย่างที่ไม่เคยอ่านละเอียดถึงขนาดนี้ อ่านจนกระทั่งโฆษณาสินค้า เพื่อนของผมก็กลับมา เมื่อเวลาบ่ายโมงครึ่ง พร้อมกับเพื่อนครูอีกคนหนึ่ง เมื่อได้รินแก้วแรกในรอบสอง เพื่อต้อนรับเพื่อนของเพื่อนเข้าสู่วงโคจรแล้ว ก็คุยกันเรื่อยไปทุกเรื่องตามแต่จะนึกได้ โดยผมขอปวารณาไว้ว่าจะกลับไปขึ้นรถเมล์เบอร็เดียวกับขามา ก่อนที่ท้องฟ้าจะมืด
เรานั่งคุยกันอย่างเพลิดเพลินไม่นานนักในความรู้สึกของผม บริกรสาวก็ยกเบียร์ขวดที่สิบเอ็ดมาตั้งแล้วบอกว่า เบียร์หมดแล้วค่ะ ผมตกใจรีบหันไปดูท้องฟ้าปรากฏว่ายังสว่างอยู่ แต่นาฬิกาพกในกระเป๋าถือบอกเวลา จะย่ำค่ำแล้ว ข้อสำคัญเบียร์ก็หมดร้านแล้ว เพื่อนของผมพยายามคาดคั้นว่าหมดจริง ๆ หรือ เด็กตัวโตนั้นบอกว่ายี่ห้อนี้หมดแล้ว มีแต่พวกขวดสีเขียว พอเพื่อนอ้าปากยังไม่ทันจะสั่งให้เอามา ผมก็ลุกขึ้นยืนยกมือไหว้ลาอย่างเด็ดขาดไม่ยอมฟังข้อแม้ใดใดทั้งสิ้น
เพื่อนจึงต้องขับรถคันเก่านั้น มาส่งผมที่ป้ายรถเมล์ซึ่งมีผู้คนยืนคอยอยู่มากมาย แล้วก็กลับไปสมทบกับเพื่อนครู ที่ยังนั่งคอยอยู่พร้อมกับแกล้มที่เหลือ ผมรอรถไม่นานก็ได้ขึ้นไปนั่งเก้าอี้ว่าง แม้จะมีผู้โดยสารมากกว่าเมื่อเช้าก็ตาม รถแล่นมาตามถนนพหลโยธินอย่างแช่มช้า จนถึงแยกเกษตรก็ต้องเลี้ยวซ้ายไปทางถนนใหม่ ผ่านแท่งคอนกรีตใหญ่โตสำหรับจะก่อสร้างอะไรอีกก็ไม่รู้ นับได้ห้าสิบกว่าต้นจึงวนกลับมาที่แยกเก่า กว่าจะหลุดพ้นไฟแดงไปได้ต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วก็แล่นย้อนทางเดิมมาที่มาเมื่อเช้า ด้วยความเร็วเพียงครึ่งเดียว จนขึ้นทางด่วนงามวงศ์วาน จึงแล่นได้รวดเร็วปานลมพัด และจอดให้ผมลงที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อเวลาประมาณสองทุ่ม
กระเพาะของผมร้องอุทธรณ์ ให้ผมแวะเข้าไปกินข้าวราดลาบเป็ดเสียหนึ่งจาน กลั้วคออันฝืดแห้งด้วยเบียร์อีกหนึ่งกระป๋อง แล้วจึงกลับมาถึงบ้านอย่างสบาย สดชื่นแจ่มใสทั้งกายวาจาใจ โดยใช้เวลาไปกลับทั้งหมด ในรายการนี้ร่วมสิบสองชั่วโมง
ผมเพิ่งนึกได้ว่าเพื่อนให้หนังสือของเขามาเป็นที่ระลึกเล่มหนึ่ง จึงเอาออกมาจากถุงดูชื่อเรื่องที่หน้าปก มีข้อความว่า
วรรณกรรมเพื่อเยาวชน
ส่งเสริมปีแห่งการอ่าน
แมวปิลาร์
เรื่องแมวแมว เขียนโดยคนรักแมว เพื่อคนรักแมว
GTW
ทันใดนั้นก็มีเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังระรัวขึ้น ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณสามทุ่มครึ่ง ผมยกหูฟังขึ้น ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยมาตลอดวัน
คุณเจียวต้ายกลับถึงบ้านแล้วหรือครับ
ผมตอบขอบคุณ ด้วยความรู้สึกเต็มตื้นในความห่วงใยของเขา
................นี่แหละ เพื่อนของผม.............
###########
ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๒๘ สิงหาคม ๒๕๔๘
Create Date : 03 ธันวาคม 2552
Last Update : 3 ธันวาคม 2552 13:19:44 น.
4 comments
Counter : 516 Pageviews.
Share
Tweet
คุณลุง เพื่อนของคุณลุงมีน้ำใจดีจัง
แต่แหม คุณลุงกับเพื่อนๆ เล่นเบียร์ยี่ห้อแรกของไทย หมดร้านเลย คอแข็งมากนะเนี่ย
หลานคนนี้ ดื่มน้ำเมาไม่เป็นเลยค่ะ จริงๆ ไม่สูบด้วยนะ
โดย:
PANPISA
วันที่: 16 กรกฎาคม 2553 เวลา:18:24:41 น.
เบียร์สิบเอ็ดขวดนั้น ผมคงดื่มไปไม่เกินสามขวดหรอกครับ
เพราะเติมโซดา นอกนั้นเป็นฝีมือของอาจารย์จีทั้งหมดครับ.
โดย:
เจียวต้าย
วันที่: 16 กรกฎาคม 2553 เวลา:19:32:31 น.
นั่งรถไกลเหมือนกันนะครับคุณลุง ขากลับก็กลับสะดวก เป็นผมนะครับกลับไม่ไหว เพราะเมาทั้งรถเมาทั้งเบียร์ คออ่อนน่ะครับ เดี๋ยวนี้เลิกดื่ม มาหลายปีแล้ว เพราะมีโรคประจำตัวน่ะครับ
โดย: วิรุฬห์ IP: 124.120.32.196 วันที่: 31 กรกฎาคม 2553 เวลา:21:59:35 น.
ผมดื่มเหล้ามาแต่หนุ่มจนอายุ ๔๐ ปี เป็นโรคตับโต
จึงเลิกกินเหล้า ดื่มเบียร์เติมโซดาแทน จนถึงบัดนี้
เหลือมื้อละกระป๋องเดียวครับ.
โดย:
เจียวต้าย
วันที่: 1 สิงหาคม 2553 เวลา:9:04:38 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
เจียวต้าย
Location :
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [
?
]
เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
เจียวต้าย
เจียวต้าย
GTW
silverqueen
oreocream
หมอ-ยา-ผู้-น่า-รัก
sugarhut
สีน้ำฟ้า
เปียร์รุส
กริชครับผม
เอ่อ่อ่ะนะคะ
~ เจ๊ล่ะเบื่อ!!!! ~
กลิ่นกาแฟครับ
พิธันดร
จริง
O-HO
i_tua_yung
Handmade
โสมรัศมี
ข้าวโพดแมวติสต์แตก
อาคุงกล่อง
pink-worm
Webmaster - BlogGang
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
Bloggang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
แต่แหม คุณลุงกับเพื่อนๆ เล่นเบียร์ยี่ห้อแรกของไทย หมดร้านเลย คอแข็งมากนะเนี่ย
หลานคนนี้ ดื่มน้ำเมาไม่เป็นเลยค่ะ จริงๆ ไม่สูบด้วยนะ