Group Blog
 
All Blogs
 

ความเอยความหลัง

ฉากชีวิต

ความเอยความหลัง

“ เพทาย “

ผมวางนิตยสารขนาดพ็อคเก็ตบุ๊คส์ ฉบับที่ลงพิมพ์เรื่องสั้น ชื่อ อันความกรุณาปราณี ซึ่งได้หยิบมาอ่านซ้ำหลายครั้ง จนแทบจะจำข้อความได้ทุกวรรคนั้น ลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ เรื่องนี้เขียนขึ้นมาจากประสบการณ์ของพยาบาลคนหนึ่ง เมื่อหยิบมาอ่านทุกครั้ง ทำนองเพลงประจำสถาบันแห่งนั้น ก็มักจะแว่วเข้ามาในโสตประสาทของผม

อันความกรุณาปราณี จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเอง เหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุลาลัยสู่แดนดิน……

ผมปล่อยความคิดคำนึงให้ล่องลอยไปยังอดีตที่ไม่ไกลนัก ผู้เขียนเรื่องนี้เป็นสาวน้อยอายุเพียงยี่สิบเศษ ๆ เธอเป็นคนชอบอ่านและใฝ่ฝันที่จะเป็นนักเขียน

เรื่องสั้นนี้เป็นเรื่องแรกของเธอ ถูกส่งมาให้ผมแก้ไขตรวจทาน ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้เป็นบรรณาธิการหรือผู้ช่วยบรรณาธิการ นิตยสารฉบับใดทั้งสิ้น นอกจากจะเป็นนักเขียนเล็ก ๆ ที่เพิ่งประสบความสำเร็จ ได้พิมพ์หนังสือเล่มแรกออกวางตลาดเมื่อไม่นานมานี้เอง

ความศรัทธาของเธอจึงเป็นความภูมิใจของผมเป็นอย่างมหาศาล

ผมพยายามนึกถึงใบหน้าของเธอ แต่ก็นึกไม่ออก จำได้แต่เพียงว่าเธอมีจมูกโด่งคมสัน ราวกับดาราลูกครึ่งในละครโทรทัศน์

เราพบกันหรือที่ถูกเธอพบผมเป็นครั้งแรก ที่บ้านญาติของเพื่อนผม ในงานอะไรก็จำไม่ได้ ที่มีผู้คนมากมายจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

ผมได้ทราบว่าเธอเป็นหลานของใครคนหนึ่งที่มาในงานนั้น โดยที่เราไม่ได้พูดกันเลยแม้แต่ประโยคเดียว

ต่อมาจึงได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง ในงานวันเกิดของเพื่อนคนหนึ่งของเพื่อนผม คราวนี้บังเอิญได้นั่งโต๊ะเดียวกัน

เธอฟังผมคุยถึงเรื่องความสำเร็จในงานเขียนของผม และสนใจในหนังสือที่ผมจัดทำขึ้น เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดแก่เพื่อนคนนั้น

เราจึงได้คุยกันเป็นครั้งแรก และเธอออกปากอยากจะได้หนังสือเล่มนั้นไปอ่านบ้าง เพื่อศึกษาการเขียนเรื่องสั้นแบบที่ผมถนัด ซึ่งมีอยู่หลายเรื่องในหนังสือที่ระลึกวันเกิดนั้น

ผมจึงส่งไปให้เธอทางไปรษณีย์ ถึงที่ทำงานของเธอในวันหลัง
ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในจังหวัดใกล้เคียงกับกรุงเทพมหานคร

เมื่อเธออ่านแล้วก็มีจดหมายตอบขอบคุณ และแสดงความชื่นชมในเรื่องต่าง ๆ ที่ผมเขียน กับขอคำแนะนำในการเขียนเรื่องสั้นแบบนั้นบ้าง

ผมจึงได้แนะให้นำเอาประสบการณ์ในการทำงาน หรือพฤติกรรมที่ได้พบเห็น จากคนไข้ พยาบาล หรือแพทย์ ซึ่งน่าจะมีมากมายหลายแบบ ทั้งสุข เศร้า รันทด น่าเวทนา หรือแม้แต่ขำขัน มาเป็นข้อมูลในการเขียน

ซึ่งเธอก็ได้ทดลองเขียนมาให้ผมตรวจแก้ แล้วผมก็บอกชื่อนิตยสารที่สมควรจะส่งไปให้พิจารณา เพราะเป็นนิตยสารที่เปิดกว้างสำหรับเรื่องของนักเขียนมือใหม่

เพียงแต่ว่ามีผู้ส่งไปมากมายจนต้องรอนานเป็นเวลาหลายเดือน หรือร่วมปี กว่าจะได้รับการพิจารณาลงพิมพ์ หรือทิ้งตะกร้า

ผมเตือนให้เธอใช้ความมานะพากเพียรพยายามในการเขียน และความอดทนในการรอคอยให้มาก

ผมคาดหมายว่าวันหนึ่งเธอจะพบความสำเร็จสมหวังตั้งใจ
แม้ว่าผมจะไม่มีโอกาสได้แสดงความยินดีกับเธอด้วยตนเองก็ตาม

เพราะผมไม่ได้ติดต่อกับเธออีกเลย ตั้งแต่ส่งต้นฉบับเรื่อง อันความกรุณาปราณี คืนไปให้เธอแล้ว

เธออาจจะน้อยอกน้อยใจหรือเสียใจ ที่ผมหายเงียบไปไม่ตอบจดหมายของเธอตามประสาคนช่างคิดช่างฝัน

แต่นั่นก็ถือได้ว่าเป็นบทเรียนบทแรก ในการรอคอยแล้วก็พบกับความผิดหวัง ที่นักเขียนมือใหม่แทบทุกคนจะต้องได้พบ

บางคนต้องพบอยู่เป็นประจำ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กว่าจะประสบความสำเร็จ หรือบางคนก็ท้อแท้เลิกราวางมือไปเลย

ถึงอย่างไรผมก็ได้ช่วยต่อเติมความใฝ่ฝันของเธอ ให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอย่าง ราง ๆ แล้ว

ถ้าเธอมีความมานะอดทนต่อไป ก็คงจะเป็นภาพที่สมบูรณ์ได้ในวันหนึ่ง โดยไม่ต้องมีคำแนะนำจากผมก็ได้

ผมยังระลึกถึงเธออยู่เสมอ และภาวนาให้เธอประสบความสำเร็จตั้งแต่เรื่องแรก ทั้งที่ขาดการติดต่อกับเธอมาหลายเดือน จนนึกใบหน้าของเธอไม่ออกแล้วก็ตาม

และเชื่อว่าอีกไม่ช้า เธอก็คงลืมเลือนเค้าหน้าของผมเหมือนกัน

แต่เรื่องไม่ได้ยุติลงเพียงแค่นั้น เรื่องสั้นของเธอที่ส่งไปให้นิตยสารชื่อดัง ตามที่ผมแนะนำนั้น ได้ลงพิมพ์ห่างจากวันที่เธอส่งไป เพียงเดือนเดียว

ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่ผมซึ่งเขียนส่งไปเป็นประจำ ยังได้ลงบ้างหายเงียบบ้าง
และเรื่องที่ได้ลงก็มักจะห่างจากวันที่ส่งเป็นเวลาหลาย ๆ เดือน

เธอรีบเขียนมาขอบคุณผมอย่างมากมาย ซึ่งผมก็ได้แสดงความยินดีด้วย จากใจจริง แล้วก็ให้กำลังใจแก่เธอ ที่จะทำงานที่เธอรักนี้ต่อไปได้ดีขึ้น

จากนั้นเธอก็ยังคงเขียนจดหมายมาคุยอีกหลายครั้ง เธอเล่าถึงความเพ้อฝันในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งความว้าเหว่ ความเศร้า ความรัก และความผิดหวังของเธอ ซึ่งผมก็ไม่ได้ตอบไปเลย

เธอจึงต่อว่าที่ผมเงียบหายไปเฉย ๆ และอยากจะได้พบผมอีกสักครั้ง แต่ผมก็ต้องทำเฉยเสีย ด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้ง ๆ ที่ความรู้สึกของเธอที่มีต่อผมนั้น ยังความชุ่มชื่นให้แก่จิตใจของผม อย่างที่ไม่เคยได้เป็นเช่นนั้นมานานหนักหนาแล้ว

เธอคงจะเอือมระอากับความนิ่งเงียบ ของผมเต็มที จดหมายของเธอจึงห่างลงและในที่สุดก็หายไป

รวมทั้งไม่มีต้นฉบับเรื่องสั้นของเธอ มาให้ผมช่วยตรวจแก้อีกเลย

จนเวลาได้ล่วงเลยไปกว่าครึ่งปี ผมจึงได้รับการติดต่อจากเธออีกครั้ง เมื่อบ่ายวันหนึ่ง

ผมไม่จำเป็นต้องเดา หรือตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้รับอย่างไม่คาดฝัน เพราะภายในซอง สีนวลและมีกลิ่นหอมนั้น

ก็คือบัตรเชิญเพื่อเป็นเกียรติในงานแต่งงาน ระหว่างเธอ กับนายทหาร สังกัดหน่วยที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเดียวกันนั้นเอง

และจากวันนั้น จนถึงวันที่ผมระลึกถึงเธอนี้ เวลาก็ผ่านไปสิบปีพอดี

เธอจะเขียนเรื่องสั้นได้สักกี่เรื่องแล้ว

หรือมีมีลูกกี่คนแล้วหนอ.


###########





 

Create Date : 26 เมษายน 2558    
Last Update : 26 เมษายน 2558 7:47:09 น.
Counter : 617 Pageviews.  

ขอทาน

เรื่องสั้นที่สุด

ขอทาน

ใน พ.ศ.๒๕๕๘ ที่กำลังจะมีกฏหมายฉบับใหม่ ออกมาประกาศใช้
คือกฏหมายห้ามขอทาน ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก ๑ ปี

ทำให้ผมคิดถึงเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง ซึ่งเขียนไว้เมื่อ ๑๐ ปีมาแล้ว

คือ เรื่องสั้นที่สุด

ผมเดินลงจากสะพานลอย ที่ทอดยาวมาจากสถานีรถไฟฟ้า
ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมฺ
ผ่านหญิงไม่สาวคนหนึ่งนั่งอยู่กับพื้น
เธอเป็นคนพิการมองไม่เห็นปลายเท้าของเธอ
ที่นั่งเหมือนขัดสมาธิหรือพับเพียบอย่
แต่แขนทั้งสองข้างขาดด้วนอย่ต่ำกว่าข้อศอก

ผมเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง เพื่อหาเศษเหรียญให้ทาน
ตามความเคยชิน แต่เหลือเหรียญห้าบาทเพียงอันเดียว
ผมไม่เคยให้ขอทานทีละห้าบาทมาก่อน

จึงตัดสินใจเดินลงมาจนสุดบันได แวะเข้าไปทำธุระเบา ๆ
ในห้องสุขา ทั้ง ๆ ที่ยังไม่จำเป็น
เหลือเงินทอนสองบาท

แล้วรีบสาวเท้าก้าวขึ้นบันไดสะพานลอยด้านเก่า
เมื่อไปถึงที่ซึ่งหญิงพิการผู้นั้นนั่งอย่ ก็ต้องชะงัก
ไม่กล้าเอาเหรียญสองบาทนั้นให้ทานแก่เธอตามความตั้งใจ

เพราะเบื้องหน้าของเธอมีกระบะเต็มไปด้วยสลากกินแบ่ง
และขายตามราคาเสียด้วย

เธอไม่ใช่ขอทานอย่างที่ผมคิด
ก็เมื่อกี้เธอไม่ได้กางกระบะออกนั่นเอง

ผมหย่อนเศษเหรียญบาทสองอันลงในกระเป๋ากางเกงตามเดิม

และเดินกลับบ้านด้วยความผิดหวัง.

##########

๑๕ มกราคม ๒๕๔๘




 

Create Date : 25 เมษายน 2558    
Last Update : 27 เมษายน 2560 17:40:08 น.
Counter : 489 Pageviews.  

ค่าของมิตรภาพ (๑)

ฉากชีวิต
ค่าของมิตรภาพ
“ เพทาย “

น้ำใจแห่งมิตรอันควรอารี ก็คือคนที่เขามีเมตตา
รู้จักเกื้อกูลและอุดหนุนซึ่งกันดังว่า
ต้องทำใจรักกันไว้ดีกว่า เมื่อเราเกิดมาถือว่าญาติเดียวกัน...............

วันนั้นผมก้าวเข้าไปในธนาคาร เมื่อเวลาได้ล่วงไปบ่ายมากแล้ว จึงหยิบบัตรคิวได้เบอร์ ๑๒๗ แล้วก็ต้องรอให้เจ้าหน้าที่เรียกตามระเบียบ เมื่อพนักงานสาวในช่องที่ ๓ เงยหน้าขึ้นเห็นผม เธอก็ยกมือไหว้และยิ้มอย่างดีอกดีใจ ผมพลิกบัตรให้เห็นหมายเลข เธอก็พยักหน้าบอกว่า

“ รอเดี๋ยวนะคะ จวนถึงแล้ว “

แล้วเธอก็ก้มหน้าง่วนอยู่กับแป้นคอมพิวเตอร์ตรงหน้า ต่อไปตามปกติ ผมจึงถอยออกมาหาที่นั่งคอยข้างฝาผนัง เมื่อเอนหลังลงพิงพนักเก้าอี้แล้ว ผมก็คงเห็นแต่เพียงหน้าผากและแนวผมม้าของเธอางที่ผมเคยเห็นมาเป็นเวลานานเท่านั้น

**********

ดูเหมือนจะเป็นเวลานานมากกว่าสิบปี ที่ผมเป็นลูกค้าของธนาคารแห่งนี้ แต่เป็นคนละสาขา หลังจากที่ได้ย้ายสมุดฝากจากสาขาซึ่งใกล้ที่ทำงาน มายังสาขาที่ใกล้บ้านของผมแล้ว ผมก็ได้พบหน้าเธอเป็นประจำทุกเดือน

ผมสะดุ้งในใจตั้งแต่ได้พบเธอครั้งแรก ว่าเธอเป็นเจ้าหน้าที่คนเดียวที่ยิ้มให้ลูกค้า อย่างสดชื่นแจ่มใส อย่างที่ออกมาจากใจจริง ไม่ใช่ยิ้มตามสโลแกนของธนาคารที่แปะไว้ข้างฝา ผมรีบเดินเข้าไปหาเธอเพราะสมัยนั้นยังไม่มีบัตรคิว และผมก็รอเข้าคิวทุกครั้งที่ผมไปฝากไปถอนหรือไปลงรายการ ที่ช่องสอง นี้ทุกครั้ง

คงจะเป็นเทศกาลปีใหม่ปีหนึ่ง ที่ผมอยากจะตอบแทนความมีน้ำใจของเธอ ผมจึงหาหมูแผ่นจากร้านแถวนั้นใส่กล่องเป็นของขวัญปีใหม่ให้เธอ ซึ่งเธอยิ้มรับและไหว้ขอบคุณ ทำให้ผมปลื้มมากที่ตั้งใจดีต่อเธอ และเธอไม่ปฏิเสธ

ผมเพียงแค่อยากจะตอบแทนความมีน้ำใจ ที่เธอมีต่อผมซึ่งเป็นลูกค้าที่ไม่สำคัญคนหนึ่ง และเพื่อแสดงให้เห็นว่า เมื่อคนเราได้กระทำความดีแล้ว ย่อมได้รับผลดีตอบแทน เท่านั้นเอง

หลังจากนั้นเมื่อผมไปติดต่อใช้บริการของสาขาธนาคารแห่งนั้น ซึ่งเป็นแห่งเดียว เพราะผมจะไม่ไปที่อื่นเลย ทั้ง ๆ ที่เขาใช้คอมพิวเตอร์ออนไลน์แล้วก็ตาม ผมจะต้องหาสิ่งของหรือขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปฝากเธอเสมอ ซึ่งบางทีเธอก็เตรียมของไว้ให้ตอบแทนผมบ้างเหมือนกัน

คราวหนึ่งผมถามเธอว่าชอบอ่านหนังสือไหม เธอบอกว่าชอบอ่านเหมือนกัน ตั้งแต่นั้นผมจึงมอบหนังสือให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่เธอทุกปี แต่ไม่กล้าถามว่าอ่านแล้วชอบหรือไม่ชอบ เพราะเป็นเรื่องที่ผมเขียนเองทั้งเล่ม

ความจริงผมไม่ได้ไปติดต่อกับเธอบ่อยนัก ที่แน่ ๆ คือวันสิ้นเดือน เพราะต้องไปถอนเงินเพื่อเอาไปส่งธนาณัติ บริจาคให้สาธารณกุศลหลายแห่ง แต่ละแห่งเป็นเงินจำนวนไม่มากนัก ต่อมาจึงรวมกันเป็นเดือนละแห่งเดียว และหมุนเวียนไปทุกเดือนจนครบสิบสองแห่งทั้งปี

นอกนั้นก็เป็นการเอาสมุดไปลงรายการที่ถอนทางเอทีเอ็มบ้าง ไปลงรายการเงินรางวัลที่ถูกสลากออมสินบ้าง ไปถอนเงินก้อนใหญ่เอามาทำธุรกิจ แล้วเอาเงินก้อนเล็กไปผ่อนใช้คืนตามเดิมบ้าง และเกือบทุกครั้งผมต้องหาของติดมือไปฝากเธอเสมอ

บางครั้งเป็นวุ้นอันเล็ก ๆ รูปหัวใจ บางครั้งเป็นเนื้อสวรรค์ บางครั้งเป็นหมูหยอง บางครั้งก็เป็นขนมเอแคร์ ซึ่งต่อมาผมก็ฝากให้เธอแบ่งแก่เพื่อนที่นั่งเคียงข้างเธอทั้งช่องหนึ่งและช่องสามด้วย แต่บางคราวก็เปลี่ยนเป็นพวงกุญแจ ห้อยรูปต่าง ๆ ส่วนหนังสือนั้นให้เมื่อขึ้นปีใหม่หรือวันเกิด ไม่ใช่วันเกิดของเธอเพราะผมเองก็ไม่รู้ แต่เป็นวันเกิดของธนาคารนั้นเอง

ผมไม่รู้ว่าเธอจะคิดอย่างไรกับการกระทำของผม เพราะผมไม่ได้ทำอะไรให้มากไปกว่านั้น ไม่เคยคุยกับเธอนอกเรื่องธุรกิจของธนาคาร ไม่เคยไปดักรอเวลาเลิกงาน ไม่เคยชวนไปกินข้าวกลางวัน เพราะเธอกินในสำนักงานนั้นเอง บางครั้งบางคราวผมจึงเอาขนมครกหรือแป้งจี่แถวหน้าสำนักงานนั้น ไปฝากเธอเป็นอาหารกลางวัน

ผมไม่เคยรู้ชื่อของเธอ ไม่รู้บ้านที่อยู่และสถานะทางครอบครัวของเธอ นอกจากสังเกตเห็นว่าเธอมีแหวนเพชรสวยงาม ผลัดเปลี่ยนกันสวมที่นิ้วนางซ้ายอยู่เสมอ ผมมองเห็นเมื่อเธอใช้นิ้วทำงานอยู่กับสมุดฝากของผม หรือเมื่อเธอส่งสมุดคืนให้ผม

ผมคอยมองดูเธอทำงาน ในเวลาที่ต้องรอคิวทุกครั้ง แม้เมื่อเธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่คนอื่น ผมก็อดที่จะมองตามไม่ได้ และผมไม่กังวลที่จะคอยคิวหลัง ๆ เพราะผมอยากอยู่ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นสบาย นั้น นาน ๆ ในบางคราวที่ผมว่าง แม้เสร็จเรื่องที่จะทำแล้ว ผมก็ยังนั่งอ่านหนังสือที่เขาวางไว้บนโต๊ะ จนจบไปเป็นเล่ม ๆ

ผมทำเช่นนั้นเป็นประจำเรื่อยมา จากเดือนเป็นปี และหลายปีต่อมา ผมไม่สามารถจะปฏิเสธได้ว่าผมมีความสุขใจมาก ในขณะนั้น และตลอดวันนั้น ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ทำอะไรที่ชวนให้เห็นว่าผมมีความคิดนอกลู่นอกทางจากความเป็นมิตร เป็นมิตรภาพที่บริสุทธิ์ อย่างที่นักปราชญ์ฝรั่งคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ ผมนึกออกแล้วเขาชื่อพลาโต้ ดูเหมือนจะเรียกกันว่า

พลาโตนิคเฟรนด์ชิฟ

หมายถึงมิตรภาพระหว่างชายหญิงที่ไม่มีความรู้สึกอื่นใดมาเจือปน ผมเชื่อว่าความรู้สึกของตนเองเป็นเช่นนั้น

แล้ววันหนึ่งซึ่งผมไปติดต่อธนาคารตามปกติ เมื่อสิ้นเดือน เธอได้บอกกับผมว่า เธอจะต้องย้ายไปอยู่ที่สาขาซึ่งห่างไกลออกไป ห่างไกลจากที่เดิม และห่างไกลจากบ้านของผม เธอย้ายพร้อมกันทั้งสามคน เบอร์หนึ่งย้ายไปทางทิศใต้ เบอร์สามย้ายไปทางทิศเหนือ และเบอร์สองคือเธอย้ายไปทางทิศตะวันออก ความจริงก็ยังอยู่ในกรุงเทพ แต่ผมรู้สึกเหมือนว่าไกลเสียเหลือเกิน ไกลในความรู้สึกนึกคิดของผม ที่เคยชินกับความใกล้ชิดในจิตสำนึก

คราวนี้เองที่ผมเพิ่งจะกล้าพูดกับเธอนอกเรื่องของธนาคาร ผมถามเธอว่า ธนาคารเขาจะเลี้ยงส่งเมื่อไร เธอบอกว่าไม่มีการเลี้ยงส่งหรอก ผมประหลาดใจเพราะเธอเป็นเจ้าหน้าที่เก่ามาก อยู่ที่นี่มานับสิบปี เวลาย้ายเขาไม่อาลัยอาวรณ์กันเลยหรือ ไม่เหมือนที่ทำงานเก่าของผม เวลามีการเลื่อนชั้นเงินเดือน เลื่อนตำแหน่ง ไปราชการพิเศษ หรือกลับจากราชการพิเศษ หรือย้ายออกนอกหน่วย เป็นต้องมีการเลี้ยงส่งเลี้ยงรับเลี้ยงแสดงความยินดีกันเป็นประจำ

ผมจึงถามเธอไปด้วยความเคยชิน เมื่อเธอตอบเช่นนั้นผมจึงโพล่งออกไปว่า ถ้าอย่างนั้นอนุญาตให้ผมเลี้ยงได้ไหม ผมพูดออกไปแล้วก็นึกรู้คำตอบเป็นอย่างดี เธอปฏิเสธอย่างนุ่มนวล ว่าเป็นการกระทันหันไม่มีเวลา ความจริงผมมีเหตุผลที่จะโต้แย้ง และอ้อนวอนเธอได้ แต่ผมไม่พูด ผมฉุกคิดได้ว่า ผมควรจะต้องรักษาระยะห่างของมิตรภาพนั้นไว้ ให้ยาวนานที่สุด อย่าไปทำลายเสียในตอนนี้

**********

หลังจากวันที่เธอย้ายไปสองสามวัน ซึ่งเป็นวันจันทร์เปิดทำงานเป็นสัปดาห์แรก ในสาขาใหม่ของเธอ ผมจึงดั้นด้นเข้ามาในสถานที่ซึ่งไม่เคยได้ย่างกรายเข้ามาเลยในชีวิต ผมเห็นเธอในลักษณะที่เหมือนเดิม เปลี่ยนนิดเดียวที่เธอนั่งอยู่หลังช่องเบอร์สาม

เธอเงยหน้าขึ้นมาเห็นผม ก็รีบยกมือไหว้และยิ้มอย่างปิติยินดี ผมพลิกบัตรให้เธอเห็นหมายเลข ๑๒๗ เธอก็พยักหน้าและบอกว่า

“ รอเดี๋ยวนะคะ จวนถึงแล้ว “

ผมถอยไปนั่งรอที่เก้าอี้ข้างผนังห้อง และเริ่มคิดถึงเรื่องราวระหว่างผมกับเธอที่ผ่านมา ผมคิดอยู่อย่างเพลิดเพลิน จนไม่ได้ยินเสียงเรียกของเจ้าหน้าที่เบอร์สี่ และผู้ที่นั่งข้างเคียงต้องสะกิด

ผมส่งสมุดฝากให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้น เพื่อลงรายการที่ผมถอนทางเอทีเอ็ม เธอเปิดสมุดแล้วยิ้มพราย เมื่อเห็นว่าสมุดของผมเป็นสาขาไหน เธอพูดผ่านรอยยิ้มนั้น

“ แหม........ตามมาถึงนี่เชียวหรือคะ “

ผมรู้สึกหน้าชา เพราะคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินประโยคนี้ ผมคงจะทำไม่ถูกต้องไปแล้วกระมัง ที่รีบร้อนมาที่นี่ในวันนี้ ห่างจากวันที่เธอย้ายเพียงแค่คั่นด้วยวันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น ผมคงจะทำผิดไป ในสายตาของคนอื่น แต่ใจผมคิดว่าไม่ผิด ผมเป็นเพื่อนของเธอ ผมมีสิทธิ์ที่จะอยากรู้ว่าเธอมีความสุขสบายดีกับเก้าอี้ตัวใหม่ของเธอหรือไม่ ผมไม่น่าจะทำผิดนะ

ผมรับสมุดคืนแล้วบอกลาเธอ ใช่.......เธอที่อยู่เบอร์สาม ด้วยถ้อยคำอย่างไรก็จำไม่ได้เสียแล้ว เพราะสมองมึนไปหมด ประโยคที่ว่า ผมผิด ผมไม่ผิด ก้องกังวานอยู่ในสมอง ผมพยายามที่จะหาเหตุผลมาหักล้างกัน อยู่ตลอดเวลาที่เดินมารอรถเมล์ที่ป้าย

ในที่สุดก็เกิดความกระจ่างแจ้งในกมล

ผมรู้จักกับเธอที่สาขาใกล้บ้านผม เมื่อสิบปีก่อน และติดต่อมาตลอดทุกเดือน นับเป็นเวลามากว่าร้อย สองร้อยครั้ง ผู้คนในสาขาแห่งนั้นเห็นหน้าผมทุกครั้ง จึงไม่แปลกใจในความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของผม ที่แสดงถึงวัยที่เพิ่มขึ้น เวลาสิบปีเป็นเวลาที่นานมาก สังขารของคนย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

ผมไม่ทราบว่าเธออายุเท่าไร แต่ผมก็ไม่เคยเห็นเธอเปลี่ยนแปลงเลย ซึ่งผมเชื่อว่าเธอก็คงไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของผมเช่นเดียวกัน แต่เจ้าหน้าที่ในสาขาใหม่ เธอเพิ่งจะเคยเห็นหน้าผม เธอจึงยิ้มและพูดว่า

“ ตามมาถึงนี่เชียวหรือคะ “

เธอคงจะเวทนาผมที่พยายามลากสังขารมาจากสาขาเดิม ทั้ง ๆ ที่สาขาใกล้บ้านนั้นก็ยังไม่ได้เลิกล้มไปไหน เธอไม่ได้เข้าใจซึ้งถึงเหตุผลในจิตใจของผมหรอก เธอดูจากสภาพภายนอกของผมเท่านั้น เธอน่าจะพูดว่า ตามมาถึงนี่เชียวหรือคะ คุณตา...........

น้ำเสียงอันนุ่มทุ้มของ สมยศ ทัศนพันธ์ ผู้ล่วงลับไปแล้ว กังวานแว่วอยู่ในสมองของผม

...........น้ำใจแห่งมิตรอันควรอารี ก็คือคนที่เขามีเมตตา..........

มิตรภาพอันบริสุทธิ์ระหว่างผมกับเธอ จะเป็นไปไม่ได้เชียวหรือ ในเมื่อ.............

อีกไม่ถึงสามสิบปี อายุของผมก็จะครบร้อยแล้ว.

######

ตัดเป็นเร่ื่องสั้น ๒๕๕๘




 

Create Date : 25 เมษายน 2558    
Last Update : 9 ธันวาคม 2558 19:18:42 น.
Counter : 611 Pageviews.  

ค่าของมิตรภาพ (๒)

ฉากชีวิต

ค่าของมิตรภาพ (อีกครั้งหนึ่ง)

เพทาย

เธอลูบคลำหนังสือปกสีเขียว ที่พิมพ์ด้วยกระดาษโรเนียวขนาดมาตรฐานในมือ อย่างใจลอย
พลางหวนระลึกไปถึงเจ้าของหนังสือ ซึ่งเป็นผู้เขียนเรื่องข้างในทั้งหมด ตั้งแต่เขายังแข็งแรงดีอยู่

เขาเป็นลูกค้าขาประจำ ในเรื่องการถ่ายเอกสาร จากร้านของเธอ
ซึ่งเป็นร้านที่รับถ่ายเอกสาร พิมพ์เอกสาร และให้เช่าเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นรายชั่วโมง
ซึ่งไม่ค่อยมีเด็กเข้ามาเช่าเล่นเกมส์ นอกจากนักศึกษาจากสองมหาวิทยาลัย ที่ตั้งอยู่ใกล้เคียง
มาพิมพ์ตำรับตำรา หรือถ่ายเอกสารทำรายงานส่งอาจารย์ เป็นส่วนมาก
เพราะตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ ใกล้สี่แยกซึ่งเป็นที่ตั้งของ ศูนย์โทรศัพท์ ของบริษัท ที.โอ.ที
.ติดกับหมู่บ้านเก่าแก่แห่งหนึ่ง ในย่านนั้น

ลูกค้าคนที่ว่าก็มีบ้านพักอาศัย อยู่ในซอยของหมู่บ้านนี้ ไม่ไกลกันเท่าไร
เขาไม่ได้มาบ่อยนักแต่ก็มาเป็นประจำ สม่ำเสมอ
ตั้งแต่เธอย้ายร้านจากในซอยออกมาเช่าห้องเล็ก ๆ อยู่ริมถนน ซึ่งมีทำเลดีกว่าที่เดิม
และมีนักศึกษาผ่านมากกว่าที่เก่า ซึ่งมีร้านถ่ายเอกสารอยู่หลายรายแล้ว

เขาเป็นคนอารมณ์ดี ช่างพูดเล่นเจรจา มีมุขขำ ๆ อยู่บ่อย ๆ
เอกสารที่เขานำมาถ่าย มักจะเป็นต้นฉบับของเรื่องต่าง ๆ ซึ่งเขาเขียนเอง
บางครั้งบอกว่าจะเอาไปส่งนิตยสาร
บางครั้งบอกว่าจะเอาไปส่งโรงพิมพ์ ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียง
และบางครั้งบอกว่าจะเอาไปส่งโรงพิมพ์เล็ก ๆ โดยจ่ายเงินส่วนตัวเป็นค่าพิมพ์
เขาบอกว่าจะเอาไว้ใช้เป็นหนังสือแจกงานศพในโอกาสหน้า
แต่บางครั้งก็ถ่ายเอกสารแบบทำเองเป็นเล่ม เพื่อแจกเพื่อนฝูงหรือผู้ที่เขาเคารพนับถือ
ในวาระต่าง ๆ เช่น ปีใหม่ หรือวันเกิด เป็นต้น เช่นเดียวกับหนังสือที่อยู่ในมือของเธอเวลานี้

เธอไม่เคยสนใจกับหนังสือ ที่เขาส่งต้นฉบับมาให้ถ่ายเลย
ถ่ายไปตามที่เขาสั่งโดยไม่ได้อ่านข้อความในหนังสือเหล่านั้น
จึงไม่ทราบว่าเป็นเรื่องประเภทใดบ้าง

จนเวลาผ่านไปนานขึ้น เขาจึงยัดเยียดหนังสือบางเล่ม ให้เธอรับไว้เป็นที่ระลึกบ้าง
ซึ่งเธอก็รับไว้ด้วยความเกรงใจในไมตรีจิตนั้น โดยที่ไม่ค่อยมีเวลาอ่าน
เพราะบ้านพักอยู่ไกลจากร้านที่ทำงานนี้มาก บางทีก็วางทิ้งไว้ที่ร้าน
บางครั้งผู้ใหญ่ในบ้านหยิบไปอ่าน แล้วก็วางไว้ที่อื่นบ้าง
และไม่เคยเล่าเรื่องใดให้เธอฟังเลย

การมาเช้าค่ำกลับของเธอ ทำให้หลายครั้งที่เขามีของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ
อย่างเช่น หมูหยอง ข้าวเกรียบ ขนมเค้ก หรือเครื่องดื่มกล่องเล็ก ๆ จากร้านเซเว่นมาฝาก
ซึ่งทำให้เธอเกรงใจมาก แต่ก็ดูเหมือนจะทำให้เป็นกันเองมากขึ้นอีกด้วย
บางครั้งเธอปฏิเสธที่จะรับของฝากพวกนั้น แต่เขาก็ไม่ยอมเอากลับไป คงวางทิ้งไว้ให้จนได้

ด้วยความเกรงใจ บางครั้งบางคราว ที่เธอไปเที่ยวพักผ่อนต่างจังหวัด
จึงมีของเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น พวงกุญแจ หรือปากกาลูกลื่นสีแปลก ๆ มาฝากเขาบ้าง
ซึ่งเขาจะทำท่าทางดีใจ เหมือนได้สมบัติอันมีค่าก็ไม่ปาน

บางครั้งที่เขามีของมาฝาก เธอก็ลดค่าพิมพ์หรือถ่ายเอกสารนั้นบ้าง
ซึ่งเขาไม่เคยสนใจในเรื่องราคาค่างวด เธอบอกไปเท่าไรเขาก็จ่ายเท่านั้น
แต่พอเขารู้สึกว่ามีการลด เขาก็ขอร้องว่าไม่ต้องลดให้เขา แม้เธอจะบอกว่าเรื่องเล็กน้อย
แต่เขาก็ยืนยันว่า เขาไม่ได้มาที่ร้านนี้ทุกวัน และก็ไม่ได้มีของฝากทุกครั้ง
นอกจากเป็นไปตามความเหมาะสม ทั้งเวลาและโอกาส ส่วนงานก็เป็นงาน

เขาพูดด้วยความน้อยใจจนเห็นได้ชัด และดูเหมือนอยากจะพูดอะไรอีก แต่เขาก็หยุดแค่นั้น

เธอจึงจำต้องรับปากว่า ต่อไปจะคิดเต็มราคา ซึ่งเขาก็พอใจ

เวลาผ่านไปเป็นปี และหลายปี ความสัมพันธ์อันดีนั้นก็ไม่ได้งอกเงย พอกพูนขึ้นมาแต่อย่างใด
เขาคงรักษาความเป็นเพื่อนไว้ได้อย่างคงที่ เพราะเธอและเขามีอายุต่างกันมาก
เธอกำลังจะเป็นสาวใหญ่ แต่เขากำลังเข้าสู่วัยชรา

เขาเล่าให้เธอฟังว่าเขาเขียนหนังสือมาตั้งแต่หนุ่ม ๆ ไม่มีชื่อเสียงแต่อย่างใด
จึงต้องเข้ารับราชการในตำแหน่งเล็ก ๆ เงินเดือนพอกินพอใช้ แต่เขาก็เขียนหนังสือเรื่อยไปไม่หยุด

จนกระทั่งเกษียณอายุราชการ จึงมีผู้อ่านมากขึ้น จนมีผู้ส่งชื่อเขาเข้ารับรางวัล จากสมาคมนักเขียน
ไม่ใช่รางวัลดีเด่นอะไร แต่ดูเขาภูมิใจมาก ที่ได้รับรางวัลนี้ก่อนที่จะเลิกเขียนไม่เท่าไร
ถึงกับทำหนังสือที่ระลึก ในวาระนั้น สำหรับแจกจ่ายให้ผู้คุ้นเคย เป็นเล่มพิเศษ

วันสุดท้าย ก่อนที่เขาจะหายหน้าไป เป็นเทศกาลขึ้นปีใหม่
เขามอบหนังสือทำเองให้เธอเล่มหนึ่ง พร้อมกับบอกว่า

หนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องหมายของมิตรภาพ ระหว่างเราทั้งสอง
ต่อไปอีก ๑๐ ปีข้างหน้า ถ้าเธอยังอยู่คนเดียว
หนังสือเล่มนี้จะเป็นเพื่อนเธอ แทนตัวเขา
ซึ่งอาจจะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้


หนังสือเล่มนั้น มีปกสีเขียวอ่อน อันเป็นสัญลักษณ์ของเขาเช่นเคย
มีชื่อว่า ค่าของมิตรภาพ ซึ่งก็คือหนังสือที่อยู่ในมือของเธอเล่มนี้เอง

บัดนี้ นับเวลาที่เขาหายหน้าหายตาไป ก็รู้สึกว่านานร่วมสิบปีแล้ว
เธอยังอยู่ที่เดิม มีชีวิตเหมือนเดิม

ส่วนเขาไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ไหน หรือมีชีวิตอย่างไร
และถ้ายังมีชีวิตอยู่ จะอายุสักเท่าไร

เพราะเขามีอายุแก่กว่าเธอ ร่วมสามรอบ.

##########




 

Create Date : 24 เมษายน 2558    
Last Update : 24 เมษายน 2558 17:58:26 น.
Counter : 597 Pageviews.  

ภาพหลอน

เรื่องสั้น

ภาพหลอน

เพทาย

เขาเป็นคนธรรมะธรรมโม รักษาศีลห้าบ้างตามที่สามารถทำได้ ครบบ้างไม่ครบบ้าง แต่ชอบศึกษาธรรมะจากข้อเขียนของ ท่านอาจารย์ชื่อดังทั้งหลาย เขาเชื่อกรรม แต่ไม่เชื่อนรกสวรรค์ เขาเชื่อการเวียนว่ายตายเกิด แต่เขาไม่เชื่อเรื่องวิญญาณ ภูตผีปีศาจ หรือสัมภเวสี

แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้พบ เรื่องที่เขาไม่เคยเชื่อ เรื่องซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้

ปกติเขาเป็นคนนอนหลับง่ายมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องนอนไม่หลับไม่เกิดบ่อยนัก นอกจากจะมีปัญหาหนักให้ขบคิด และ กังวลจนนอนไม่หลับบ้างเป็นครั้งคราว เขาสวดมนต์ก่อนนอนแบบเด็กนักเรียน สวดที่โรงเรียน จบแล้วพอหัวถึงหมอนไม่ทันห้านาที ก็กรนครอกแล้ว

แต่ ๓-๔ วันที่ผ่านมา ขณะที่นั่งหลับตาสวดมนต์อยู่บนเตียง ก็เกิดภาพให้เห็นเป็นหน้าบุคคลต่าง ๆ มากมาย สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทั้งหญิงชาย เด็กผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ใช่คนที่รู้จักในชีวิตนี้ เข้ามาใกล้หรือถอยห่างออกไปวูบวาบอยู่ จนต้องลืมตาขึ้น

จากแสงสว่างในเวลากลางวัน และแสงไฟฟ้าหัวนอนในเวลากลางคืน ก็มีแต่ภาพฝาผนังห้อง ตู้หนังสือ สิ่งรกรุงรังเช่นที่เคยเห็นมาทุกวัน

ด้วยความที่เป็นคนไม่กลัวผี เขาจึงไม่รู้สึกตกใจ ได้แต่สงสัยว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเป็นคนที่จำความฝันไม่ได้ ในเวลานอนเมื่อฝันจบเรื่องแล้วก็รู้สึกตัว แม้จะไม่ลืมตาก็บอกได้ว่าเรื่องราวเกี่ยวอะไร ถ้ามีบุคคลร่วมอยู่ในความฝันด้วย ก็บอกตนเองได้ว่าเป็นใคร บางคนก็ตายไปแล้ว บางคนก็ยังมีชีวิตอยู่ แล้วพอตื่นเช้าก็ลืมหมด

คราวนี้มาแปลกตรงที่ไม่ได้หลับ ไม่ได้ฝัน ยังนั่งสวดมนต์อยู่แท้ ๆ ดันเห็นภาพใต้หนังตา เป็นสีดำบ้างบางทีก็เป็นสีขาว ปกติเมื่อฝันว่าเดินไปตามทาง หรือตรอกซอกซอยอะไร ก็เห็นภาพข้างหน้าเหมือนที่ตาเขาเห็นตอนตื่นอยู่ เลื่อนผ่านไปเรื่อย ๆ พอเข้าที่มืดก็จะรู้สึกตัว แต่ไม่ลืมตา

ถ้าหลับต่อก็อาจจะเห็นต่อ แต่ไม่ใช่ที่เดิมก็ได้ และเส้นทางเหล่านั้นไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ไม่ใช่เส้นทางที่คุ้นเคยมาตลอดชีวิต และจะไม่ซ้ำที่กัน เพราะจะกลับมาหาจุดเดิมไม่เคยเจอเลย

แต่คราวนี้ในบรรยากาศที่มืดหรือสว่างนั้น กลับมีหน้าตาของผู้คนมากมายดังที่ว่า เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ แม้ว่าเขาไม่ได้กลัวแต่ก็อยากพิสูจน์ความจริง จึงจะลืมตาขึ้นทันที เพราะไม่ได้หลับ ภาพที่เห็นก็เป็นปกติทุกครั้ง

จนถึงเมื่อคืนนี้ เขาเข้ามุ้งที่ครอบเตียงหวายเล็ก ๆ เพราะไม่ใช่ห้องติดแอร์ และมุ้งลวดชำรุด แล้วก็นั่งเตรียมสวดมนต์ แต่ได้เหลียวมองไปรอบๆ ตัวเพื่อสำรวจว่าทุกอย่างเป็นปกติ แล้วก็หลับตากราบหมอนเริ่มสวดมนต์ พร้อมกับนึกในใจว่า วันนี้จะเห็นภาพเหล่านั้นอีกหรือไม่

ก็ปรากฏว่าความสว่างที่อยู่ในมโนภาพนั้น กลายเป็นเหมือนมุ้ง แล้วตัวเขาออกมาอยู่นอกมุ้ง แล้วมุ้งนั้นก็ขยุกขยิกเหมือนมีคนอยู่ข้างใน เกิดการเคลื่อนไหวไปมาเหมือนคนในนั้นยกมือยกเท้ายื่นหน้า ตุงทางโน้นตุงทางนี้ แล้วก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ ทำท่าคุกคามเขาซึ่งยังสวดมนต์อยู่

ประสาทที่อยู่นอกเหนือความควบคุมของเขา ทำให้เกิดอาการขนลุกซู่ขึ้น ตลอดสันหลังจนถึงท้ายทอย และเส้นผมบนศีรษะ อย่างที่เรียกกันว่า ขนหัวลุกนั่นแหละ รู้สึกในทันทีว่าความกลัวกำลังจะเข้าครอบงำจิตใจ เขาจึงลืมตาขึ้นเมื่อสวดจบบทแล้ว เพราะบทสวดนั้นไม่ยาวไม่ได้สวดพิสดารอะไร ภาพที่เห็นรอบ ๆ ตัวก็คงเหมือนเดิม อาการขนลุกค่อย ๆ สงบลง

เขานั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นเป็นครู่ใหญ่ แล้วก็อยากจะทดลองใหม่ เพราะความจริงนั้นใจไม่ได้กลัว แต่กายมันพาให้ใจที่เข้มแข็งระย่อลงไปเอง จึงหลับตาแล้วเริ่มสวดมนต์บทเดิม เพียงครู่เดียวก็เกิดภาพเช่นเดิม แล้วก็เกิดอาการขนหัวลุกเช่นเดิม ทนอยู่นานกว่าคราวก่อน สวดมนต์เรื่อยไปจนจบบท จึงลืมตาขึ้นก็ไม่มีอะไรเช่นเดิม

ตลอดเวลาเขาไม่ได้นึกว่าเป็นผีหลอก แต่สงสัยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิต เขานั่งพิจารณาหาเหตุผล ก็ไม่สามารถตอบตนเองได้ นอกจากสงสัยว่า อย่างนี้จะเป็นการเริ่มต้น ของโรคประสาทหรือไม่ เพราะเขาเคยพบคนที่เป็นโรคประสาท เห็นโน่นเห็นนี่ ได้ยินเสียงนั่นเสียงนี่ ที่น่ากลัว แล้วก็เกิดความกลัวจนตัวสั่น เพราะมีความเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริง แต่คราวนี้เขาไม่เชื่อว่าจริง ไม่เชื่อว่าฝัน แล้วมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

เขาลงนอนหงาย เพราะปกติจะนอนตะแคงซ้าย เนื่องจากตะแคงขวาไม่ได้ จะเกิดอาการกรดไหลย้อน คิดว่าจะห่มผ้า ห่มบาง ๆ เพราะฝนเริ่มลงเม็ดดังเปาะแปะแล้ว จะดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก

คราวนี้เมื่อเขาหลับตาลง ก็เห็นว่าในพื้นที่ของความมืดนั้น เต็มไปด้วยหน้าตาของผู้คนมากมายหลายเพศหลายวัยเช่นเดิม และทำท่าคุกคามมากกว่าเดิม ดวงตาดุดันน่ากลัว อ้าปากกว้างแสยะแยกเขี้ยว บางทีก็ยื่นเข้ามาใกล้จนหน้าจะชนกัน กางมือเหมือนจะเข้ามาบีบคอ ขนหัวก็ลุกชัน

แต่เขาก็ข่มใจไม่ลืมตาขึ้น ใจก็นึกสวดมนต์จบหรือไม่จบก็ไม่รู้ เขารู้สึกว่าเป็นเวลานานมาก จนกระทั่งผลอยไปเมื่อไร ก็ไม่รู้เหมือนกัน ตื่นขึ้นมาก็เกือบเช้าวันรุ่งขึ้น

แม้เขาจะไม่เชื่อว่าเป็นผี หรือวิญญาณ แต่เขาก็สวดบทแผ่เมตตา และกรวดน้ำ เหมือนอย่างทุกคืน แต่ความวิตกกังวลก็ยังไม่ลดลง

เวลานี้ก็ค่ำแล้ว ตอนสวดมนต์คืนนี้จะเกิดอะไรขึ้นอีก และจะเพิ่มความหวาดเสียวน่ากลัวกว่าคืนก่อนหรือไม่

ถ้าไม่ใช่โรคประสาทแล้วมันคืออะไร เขาคิดวนเวียนอยู่ทั้งวัน และจะรักษาด้วยวิธีใด หรือว่าจะต้องอดทนไปทุกคืน จนกว่าวันหนึ่งสติของเขาจะจะขาดผึง แล้วเกิดความกลัว

จนหัวใจวายไปเลย

###########




 

Create Date : 20 กันยายน 2555    
Last Update : 20 กันยายน 2555 18:11:06 น.
Counter : 1428 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.