Group Blog
All Blog
### ความจริงที่แท้จริง ###








"ความจริงที่แท้จริง"

พวกเราต้องมีหลักยึดในการดำเนินชีวิต

ต้องมีธรรมะความถูกต้องเป็นหลักยึด

 ถ้าเกรงใจกันจะทำให้เกิดความเสียหายได้

 อย่างที่หลวงตาท่านพูดไว้ว่า

ท่านเกรงธรรม ท่านไม่เกรงใจคน

 ถ้าเกรงใจคนธรรมก็แหลก

ที่พวกเราปฏิบัติกันอยู่นี้

ก็ปฏิบัติเพื่อให้มีธรรมะเป็นหลักยึด

 เป็นที่พึ่งของจิตใจ ถ้าใจมีที่พึ่งใจจะสงบ

 ไม่วุ่นวาย เพราะธรรมะเป็นความจริง

 สิ่งอื่นๆไม่เป็นความจริง

พวกเราอยู่ในโลกของความจริง

และความไม่จริง

 ความไม่จริงก็คือสมมุติทั้งหลาย

ไม่เป็นความจริงที่แท้จริง

 เป็นความจริงชั่วคราว สมมุติกันขึ้นมา

ความจริงที่แท้จริงก็คือธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้

ประกอบด้วยธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟทั้งนั้น

 ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย เป็นสิ่งของต่างๆ

ล้วนมาจากธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟทั้งนั้น

พอประกอบกันขึ้นมาแล้ว

 ก็ถูกสมมุติว่าเป็นชายเป็นหญิง

 เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นลูกเป็นหลาน เป็นพี่เป็นน้อง

 เป็นสามีเป็นภรรยา เป็นกษัตริย์

 เป็นประชาชน เป็นนายกฯ เป็นรัฐมนตรี

 เป็นส.ส. เป็นสมมุติทั้งนั้น

เป็นความจริงชั่วคราว พอร่างกายหยุดทำงาน

ธาตุทั้ง ๔ ก็จะแยกออกจากร่างกายไป

 เอาไปเผาก็เหลือแต่ขี้เถ้า

ไม่มีแล้วคนๆนั้น นายคนนั้น จะเป็นใครก็ตาม

 เพราะความจริงที่แท้จริงก็คือ

 เป็นเพียงดินน้ำลมไฟ เท่านั้นเอง

ถ้ารู้อยู่กับความจริงที่แท้จริง ว่าโลกนี้

เป็นการรวมตัวของธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ

 เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง มีเกิดมีดับ

มีการเปลี่ยนแปลง

 ไม่มีตัวตน เป็นทุกข์ถ้าไปยึดติด

ว่าเป็นตัวเราของเรา เป็นพ่อเป็นแม่เรา

 เป็นลูกเรา เป็นสามีเรา เป็นภรรยาเรา

 เป็นครูบาอาจารย์เรา ก็จะไม่หลง จะไม่ทุกข์

ถ้าไม่รู้อยู่กับความจริงที่แท้จริง

 คือธรรมะ ก็จะหลงสมมุติ จะยึดติดกับสมมุติ

 พอสมมุติสลายตัวไป หมดสภาพไป

ก็จะเกิดความทุกข์

 เกิดความเศร้าโศกเสียใจขึ้นมา

ขณะที่อยู่ด้วยกัน

ก็ทุกข์ด้วยความวิตกกังวลห่วงใย

 เพราะว่าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

 เพราะมีปัจจัยหลากหลาย

ที่จะทำลายสมมุติ พวกเราจึงควรมอง

ไปที่ความจริงที่แท้จริง

ว่าเป็นเพียงธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ

ไม่มีใครอยู่ในธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ

ผู้ที่มาครอบครองธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟนี้

 ไม่ได้เป็นธาตุ ๔ แต่เป็นธาตุที่ ๕

 เรียกว่าธาตุรู้ คือใจ

ใจเป็นผู้ที่มาครอบครองร่างกาย

พอร่างกายแตกดับไป

 ใจก็แยกจากไปเท่านั้นเอง

จะไปไหนต่อก็ขึ้นอยู่กับความรู้

ความสามารถของใจแต่ละดวง

ก็จะไปได้ ๓ ทางคือ

๑. ไปสวรรค์

 ๒.ไปนรกไปอบาย

 ๓. ไม่ไปไหนเลย

ไม่ไปสวรรค์ ไม่ไปนรก ยุติการไป

เช่นพระพุทธเจ้าพระอรหันต์

ท่านไม่ไปสวรรค์ ไม่ไปนรก

 ท่านหยุดการเวียนว่ายตายเกิด

หยุดการเดินทางของธาตุรู้คือใจ

 ไม่ไปรวมกับธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟอีกต่อไป

เพราะท่านมีความรู้ที่แท้จริง

ว่าการดิ้นรนแสวงหาสมมุติต่างๆนั้น

ไม่มีคุณค่าอะไรเลย

 ไม่เป็นประโยชน์สุขกับจิตใจเลย

 เป็นเพียงธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ

 ที่มีแต่ให้ความทุกข์กับจิตใจ

พอได้ร่างกายมาแล้วก็ต้องแบกหามร่างกาย

 ตั้งแต่วันเกิดไปจนถึงวันตาย

เป็นภาระหนักมาก ภาราหเว ปัญจักขันธา

 ใจเป็นผู้แบกภาระของร่างกาย

 ต้องคอยดูแลเลี้ยงดูร่างกาย

พอออกจากท้องแม่มาก็ต้องหายใจ

 ต้องรับประทานอาหาร ดื่มนม ดื่มน้ำ

 ต้องรับประทานยาเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย

 ต้องหาเสื้อผ้ามาสวมใส่

ต้องคอยชำระร่างกาย

เพราะมีสิ่งสกปรกปฏิกูล

 ที่ถูกขับออกมาจากร่างกายตลอดเวลา

 ถ้าไม่ชำระอยู่เรื่อยๆก็จะส่งกลิ่นเหม็น

ที่ได้ร่างกายมาก็เพราะอำนาจของความหลง

 ไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้มาเป็นทุกข์ ไม่ได้เป็นสุข

 เป็นดินน้ำลมไฟ นานๆจะมีคนฉลาด

อย่างพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ความจริงนี้

มารู้ว่าใจเป็นผู้หลงแบกธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ

 เป็นเวลาอันยาวนาน พอเสียธาตุ ๔ ไป

ก็หามาใหม่ ไปเกิดใหม่

ทำอยู่อย่างนี้มาเป็นเวลาอันยาวนาน

ต้องทุกข์กับการแบกหามธาตุ ๔

มาอย่างโชกโชน น้ำตาที่ได้หลั่งออกมานี้

 ในแต่ละภพแต่ละชาติ ถ้าเอามารวมกันแล้ว

ท่านว่ามันมากกว่าน้ำในมหาสมุทร

 แสดงว่าร่างกายที่ใจได้มาแบกนี้

 มีจำนวนมากมายมาก

คิดดูสิว่าชาติหนึ่งจะหลั่งน้ำตาออกมา

ได้ถึงขันหนึ่งหรือไม่

 แล้วต้องใช้น้ำตากี่ล้านกี่แสนล้านขัน

ถึงจะได้น้ำเท่ากับน้ำในมหาสมุทร

นั่นแหละคือจำนวนร่างกาย

คือธาตุขันธ์ ธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ

ที่ใจได้แบกมา และจะแบกต่อไปเรื่อยๆ

 ถ้าไม่สอนใจให้ฉลาด ให้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง

เป็นเพียงธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ไม่มีตัวตน

ไม่ใช่ตัวเราของเรา

 ตัวเราไม่ได้อยู่ในธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ

ไม่ได้อยู่ในร่างกาย ร่างกายไม่ได้ให้ความสุข

 มีแต่จะให้ความทุกข์

มีเกิดแล้วก็ต้องมีแก่มีเจ็บมีตายตามมา

ถ้าสอนใจอยู่เรื่อยๆก็จะปล่อยวางร่างกายได้

จะเข้าสู่ความสุขที่แท้จริงคือความสงบ

ที่เกิดจากการปล่อยวางร่างกายของตน

และของคนอื่น ปล่อยวางสิ่งของต่างๆ

ไม่ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้มาให้ความสุข

 เพราะความสุขที่ได้กับความทุกข์ที่ได้ไม่คุ้มกัน

 ความสุขที่ได้นี้ได้เพียงเล็กน้อย

 แต่ได้ความทุกข์มากกว่าหลายร้อยเท่า

ถ้ามีความรู้ที่ถูกต้องคือมีปัญญา

 ก็จะเบื่อกับสิ่งต่างๆในโลกนี้ จะไม่อยากได้

ไม่อยากมีอยากเป็น อยากได้อย่างเดียว

ก็คือความสงบ ที่เป็นความสุขที่แท้จริง

 เป็นความสุขที่เหนือกว่าความสุขทั้งหลาย

ที่สิ่งต่างๆและบุคคลต่างๆในโลกนี้

จะสามารถให้ได้

ความสุขนี้ชนะความสุขทั้งปวง

 ความสุขนี้แหละคือรสแห่งธรรม

 ที่ชนะรสทั้งปวง

 ธรรมก็คือความรู้ที่ถูกต้องตามความเป็นจริง

 ที่พวกเราต้องคอยศึกษาอยู่เรื่อยๆ

การศึกษาเบื้องต้นก็เกิดจาก

การฟังเทศน์ฟังธรรม หรืออ่านหนังสือธรรมะ

 เป็นสุตมยปัญญา เป็นความรู้

ที่เกิดจากการได้ยินได้ฟังธรรม

เช่นรู้ว่าความจริงกับความไม่จริงเป็นอย่างไร

 ความไม่จริงก็คือสมมุติทั้งหลาย

ความจริงก็คือธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ

ที่ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน เป็นทุกข์ถ้าไปยึดติด

 พอทราบแล้วก็ต้องเอามาพิจารณาอยู่เรื่อยๆ

 เจริญอยู่เรื่อยๆ ถ้าไม่พิจารณาต่อก็จะลืมได้

 เวลาไปทำกิจกรรมต่างๆ

 จะไม่มีเวลามาคิดถึงความจริงที่แท้จริงนี้

จะไปคิดกับความจริงที่ไม่แท้จริง

ไปคิดเรื่องข้าวของเงินทอง เรื่องบุคคลต่างๆ

ไปตามความหลง ความยึดติดความอยากได้

 อยากรักษาให้สิ่งต่างๆอยู่กับตนไปนานๆ

ก็จะลืมความจริงที่แท้จริงไป

การฟังเพียงอย่างเดียว ยังไม่สามารถทำให้

ใจเห็นความจริงได้ตลอดเวลา

ดังนั้นหลังจากได้ยินได้ฟังแล้ว

ก็ต้องเอามาใคร่ครวญพิจารณาอยู่เนืองๆ

ในเวลาที่ไม่ต้องคิดเรื่องภารกิจการงานต่างๆ

 ก็ควรคิดถึงความจริงที่แท้จริงนี้อยู่เรื่อยๆ

 ว่าเราอยู่ในโลกของธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ

ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ แม้กระทั่งร่างกายของเรานี้

 ก็เป็นดินน้ำลมไฟ

ผู้พิจารณานี้ไม่ได้เป็นดินน้ำลมไฟ

 แต่เป็นธาตุรู้ เป็นผู้รู้ ที่มีชื่อสมมุติว่าใจ

 เป็นผู้ที่มาครอบครองร่างกาย

 แล้วก็ใช้ร่างกายนี้ไปครอบครองสิ่งต่างๆ

 ต้องคอยสอนใจว่า

 ทุกสิ่งทุกอย่างมีวันสิ้นสุดลง

ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของเรา

 หรือร่างกายของคนอื่น

จะต้องมีวันหมดสิ้นไป ต้องสลายไป

ถ้าคิดอยู่เรื่อยๆ ก็จะไม่หลงยึดติด

ไม่อยากได้สิ่งต่างๆ มาให้ความสุขกับเรา

 เพราะความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น

 ความจริงจะให้ความทุกข์กับเรา

ได้อะไรมาแล้วใจจะทุกข์กับสิ่งนั้นทันที

ทุกข์เพราะไปยึดติดว่าเป็นของเรา

 สิ่งที่ไม่ใช่เป็นของเรานี้เราจะไม่ทุกข์ด้วยเลย

 บ้านคนอื่นจมน้ำเราก็ไม่ทุกข์

แต่ถ้าเป็นบ้านของเราจะทุกข์ขึ้นมาทันที

 เพราะไปยึดว่าเป็นของเรา

จึงต้องคิดเสมอว่าไม่มีอะไรเป็นของเรา

 ทุกอย่างที่มีอยู่นี้

เป็นของยืมมาใช้ชั่วคราวเท่านั้นเอง

ร่างกายนี้ก็ยืมเขามา ยืมดินน้ำลมไฟมา

 ต่อไปธาตุ ๔ ในร่างกายก็จะต้องแยกทางกันไป

สมบัติข้าวของเงินทองบริษัทบริวารบุคคลต่างๆ

เราก็ต้องจากเขาไป หรือไม่เช่นนั้น

เขาก็ต้องจากเราไป จึงไม่มีอะไรเป็นของเรา

 สัพเพ ธัมมา อนัตตา สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง

มีเกิดมีดับ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

 สัพเพ สังขารา อนิจจา

 สิ่งทั้งหลายในโลกนี้เป็นความทุกข์

 สัพเพ สังขารา ทุกขา

พอยึดว่าเป็นของเราจะเกิดความทุกข์ทันที

พอเป็นพ่อเรา แม่เรา ลูกเรา สามีเรา

ภรรยาเรา ก็จะทุกข์ทันที

ถ้าเป็นของคนอื่นจะไม่ทุกข์

ถ้าอยากจะอยู่อย่างมีความสุข

ไม่มีความทุกข์ ก็ต้องไม่หลงยึดติดสิ่งต่างๆ

 แม้แต่ร่างกายของเรา ให้คิดเสมอว่า

เป็นเพียงธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ

ลทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มาจากธาตุ ๔

 ดินน้ำลมไฟทั้งนั้น มารวมกันแล้ว

 ไม่นานก็แยกจากกันไป

ไม่ว่าจะสร้างอะไรกันขึ้นมา

 ใหญ่โตขนาดไหนก็ตาม

เวลาจะค่อยๆทำลายไปหมด

 อาณาจักรต่างๆที่มีในอดีต

ก็เสื่อมสลายหายไปหมด

เหลือแต่ซากปรักหักพังไว้เป็นอนุสรณ์

นานๆเข้าไปก็จะไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย

แม้แต่โลกนี้ก็เช่นเดียวกัน

สักวันหนึ่งก็จะต้องสูญสลายไป

มีสิ่งเดียวที่ไม่ได้เสื่อมสลายไป ก็คือธาตุรู้

เป็นธาตุรู้อยู่เสมอ เพียงแต่ว่าจะรู้แบบไหน

 รู้จริงหรือรู้หลง

ถ้ารู้หลงก็จะผลิตความทุกข์ให้กับธาตุรู้

 ถ้ารู้จริงก็จะไม่ผลิตความทุกข์ จะรู้เฉยๆ

จะไม่ยึดติดว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นตัวเราเป็นของเรา

 นี่คือสิ่งที่เราต้องใคร่ครวญอยู่เรื่อยๆ

แต่ในชีวิตของฆราวาสญาติโยม

ที่ต้องทำมาหากิน โอกาสที่จะคิดเรื่องเหล่านี้

 แทบจะไม่มีเลย เพราะมัวแต่คิดเรื่องภารกิจ

การงาน การเลี้ยงดูชีวิตของตนเอง

และของครอบครัว การหาความสุข

ตามอำนาจของกิเลสตัณหา

 จะไม่มีเวลาคิดเรื่องความจริงที่แท้จริงนี้ได้เลย

จะคิดแต่เรื่องของสมมุติอยู่เรื่อยๆ

 คิดถึงเรื่องของสามี ของภรรยา

 ของลูก ของบิดา ของมารดา ของเพื่อน

 ของครูบาอาจารย์ ของคนนั้น ของคนนี้

ล้วนแต่เป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น

ถ้าจะคิดได้บ่อยๆ จำเป็นต้องปล่อยวาง

ภารกิจการงานที่ไม่จำเป็นลงไป

ให้มีเวลาเป็นตัวของตัวเองบ้าง

ให้มีเวลามาคิดพิจารณาถึงความจริงที่แท้จริง

จะได้เป็นจินตามยปัญญา แต่ก็ยังไม่พอเพียง

ต่อการที่จะทำให้ใจรู้ทันความหลง

 ทำลายความหลง ที่คอยดึงใจ

ให้ไปหลงยึดติดกับสมมุติต่างๆได้

ถ้าอยากจะให้ใจทำลายความหลงได้

ก็ต้องพิจารณาตลอดเวลา

พิจารณาทุกลมหายใจเข้าออก

 ถึงจะเป็นภาวนามยปัญญา

 อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพระอานนท์

ให้คิดถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก

ก็คือให้พิจารณาอนิจจังของธาตุ ๔

ดินน้ำลมไฟนี้เอง

ความตายของร่างกายก็คืออนิจจัง

 ถ้าเห็นอนิจจังก็จะเห็นทุกขัง

 เห็นอนัตตา อนิจจังทุกขังอนัตตา

เป็นความจริงที่เกี่ยวเนื่องกัน

ถ้าเห็นว่าไม่เที่ยง ก็จะเห็นว่าเป็นทุกข์

 เป็นอนัตตา พวกเราไม่ชอบของไม่เที่ยง

 ชอบแต่ของเที่ยง อยากจะให้ทุกอย่าง

เที่ยงแท้แน่นอน อยากจะให้เป็นเหมือนเดิม

 ให้เป็นสาวเป็นหนุ่มไปตลอด

 ไม่แก่ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยไม่ตาย

แต่ความจริงไม่สนใจต่อความต้องการของเรา

 ความจริงย่อมเป็นไปตามความจริงเสมอ

 ถ้าต้องการจะยุติความหลง

ที่ทำให้คิดว่าร่างกายเป็นตัวเรา

ว่าร่างกายจะไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย

 ก็ต้องคิดอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกว่า

ร่างกายนี้ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายเป็นธรรมดา

 จะคิดอย่างนี้ได้ก็ต้องปล่อยวาง

ภารกิจอื่นๆทั้งหมด

 จะปล่อยด้วยการออกบวชก็ได้

ถ้าไม่บวชก็ปล่อยที่บ้านก็ได้

 ต้องไม่ทำภารกิจอื่น

นอกจากการเดินจงกรมนั่งสมาธิเท่านั้น

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.....................

กัณฑ์ที่ ๔๓๗ วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๕

 (จุลธรรมนำใจ ๒๘)

"ความจริงที่แท้จริง"







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 30 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2559 12:44:15 น.
Counter : 817 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ