Group Blog
All Blog
### ฟังเรื่องราวของเรา ###










“ฟังเรื่องราวของเรา”

การฟังธรรมนี้ก็เป็นการฟังเรื่องของเรา

เราไม้รู้จักตัวเรา

 พระพุทธเจ้าจึงต้องเป็นเหมือนกระจก

 ส่องให้เราเห็นตัวเรา

ตอนนี้เราไม่เห็นตัวเรา

เราไปเห็นคนอื่นว่าเป็นตัวเรา

เช่นร่างกายนี้เป็นคนอื่นไม่ใช่ตัวเรา

 แต่เราไปเห็นว่าเป็นเรา

ขอให้มองอย่างนั้นถูกแล้ว

 มองร่างกายเป็นที่อาศัย เป็นคนรับใช้

เราไม่มีร่างกาย เราเลยต้องใช้ร่างกาย

 เพราะเราอยากหาความสุข

จากสิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้

 สิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้เราต้องใช้

ตาหูจมูกลิ้นกาย ถึงจะเห็นได้ถึงจะได้ยิน

ถึงจะได้ดมกลิ่นลิ้มรส ได้สัมผัส

เพราะว่า ตัวเราเองเมื่อไม่มีรูปร่าง

ตัวเราคือใจคือผู้คิดผู้รู้ คือเรา

 ผู้ที่สั่งให้ร่างกายทำอะไรต่างๆนี้

ไม่ใช่ร่างกาย เป็นคนละคนกัน

คนสั่งกับคนรับใช้

ร่างกายเป็นบ่าว ใจเป็นนาย

ถ้าเราไปคิดว่าร่างกายเป็นเรา

 เราก็จะไม่สบายใจ

เพราะเดี๋ยวร่างกายก็ต้องเป็นอะไร

เดี๋ยวก็แก่ เดี๋ยวก็เจ็บไข้ได้ป่วย

 เดี๋ยวก็ต้องตายไป

 เวลาเราคิดถึงร่างกายที่ต้องแก่

 ต้องเจ็บ ต้องตาย เรารู้สึกอย่างไร

 รู้สึกดีใจหรือเสียใจ รู้สึกเฉยๆ

 เรารับกับความแก่ รับความเจ็บ

 ความตายของร่างกายได้หรือเปล่า

 ไปหาหมอๆบอกเป็นมะเร็งก็ไม่เป็นไร

ถ้ายอมรับได้ก็สบายไม่ทุกข์

 ถ้าไม่ยอมรับก็จะทุกข์

 ถ้าไปอยากไม่ให้มันเป็นอยากให้มันอยู่

 อยากไม่ให้มันเป็นมะเร็ง

 เป็นโรคที่รักษาไม่ได้

ถ้าเป็นโรคก็อยากจะรักษาให้หาย

เพื่อจะได้อยู่ต่อไป

 แต่จะอยู่ไปถึงไหนกัน

 มีใครอยู่เกิน ๑๐๐ ปีกันบ้าง

ถ้าเราสอนว่าแยกตัวเรา

ออกจากร่างกายได้

 ปล่อยวางร่างกายได้

 เราก็จะไม่ทุกข์

 แต่ตอนนี้เรากับร่างกาย

เป็นเหมือนฝาแฝด แฝดสยาม

 เคยเห็นแฝดสยามไหม

 ไปที่ไหนต้องไปด้วยกัน แยกกันไม่ได้

 เพราะมัดติดกัน

 ดังนั้นเราต้องมาผ่าตัดเข้าใจไหม

 ผ่าใจออกจากร่างกาย

 แยกตัวเราออกจากร่างกาย

 ถ้าเราแยกตัวเราออกจากร่างกายได้

 เวลาร่างกายเป็นอะไร

 เราก็ไม่ได้เป็นไปกับร่างกาย

 เราถอยออกห่างได้

เช่นถ้าร่างกายจะตายก็ถอยออกห่าง

ปล่อยให้ร่างกายตาย

 เราไม่ต้องไปตายกับร่างกาย

 ไม่ต้องไปเจ็บกับร่างกาย

ไม่ต้องไปแก่กับร่างกาย

 แต่ถ้าเราแยกใจ แยกตัวเรา

ออกจากร่างกายไม่ได้

 เวลาร่างกายเป็นอะไร

เราก็จะรู้สึกเป็นไปกับร่างกาย

 เวลาร่างกายแก่เราก็จะรู้ว่าเราแก่

 เวลาร่างกายเจ็บ เราก็จะรู้สึกว่าเราเจ็บ

 เวลาร่างกายตาย เราก็จะรู้สึกว่าเราตาย

 แต่ความจริง

 เราไม่ได้แก่ ไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ตาย

นี่คือปัญหาของพวกเรา

 ยังติดอยู่กับร่างกาย

ยึดติดอยู่กับร่างกาย

 แล้วเราต้องทุกข์ไปกับร่างกาย

 ถ้าเราแยกออกจากร่างกายได้

 เหมือนกับร่างกายของคนอื่น

 ร่างกายคนอื่นนี้เขาเป็นอะไร

เราไม่ทุกข์กับเขาใช่ไหม

 ร่างกายคนอื่นแก่ คนอื่นเจ็บ คนอื่นตาย

เราจะเฉยๆ เพราะเราไม่รู้จักเขา

 ไม่ได้มีการยุ่งเกี่ยวกับเขา ยึดติดกับเขา

 แต่ถ้าเป็นร่างกายของคนที่เรารู้จัก

 แล้วเรารัก  เราไปยึดติดกับเขา

 เขาเป็นอะไรเราก็ไม่สบายใจ

ได้เหมือนกัน เพราะว่าเรามีความอยาก

ให้เขาไม่เป็นอะไร

 พอเขาเป็นอะไรเราก็ไม่สบายใจ

ความไม่สบายใจของเราเกิดจาก

ความที่เราไปยึดติดกับคนต่างๆนี่เอง

 พอเราไปยึดติดกับอะไรแล้ว

 เรามักจะอยากให้เขาดี

อยากจะให้เขาอยู่

ไม่อยากให้เขาเสีย

ไม่อยากให้เขาเป็นอะไรไป

เราจะไม่สบายใจไปกับเขา

 เช่นคนที่ใกล้ชิดเราใกล้ตัวเรา

 สามีภรรยา พ่อแม่ บุตรธิดา

 ทั้งๆที่เขาก็ไม่ใช่เป็นตัวเรา

 แต่เราก็ยังไปทุกข์กับเขาได้

 เพราะอะไร เพราะเราอยากให้เขาดี

 อยากให้เขาสบาย

 อยากให้เขามีความสุข

 อยากให้เขาไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

 แล้วเราไปเปลี่ยนแปลงได้หรือเปล่า

ถ้าเรายอมรับความจริงว่าเขาต้องแก่

ต้องเจ็บ ต้องตาย เขาต้องเป็นอะไร

ไปสักอย่างหนึ่งวันใดวันหนึ่ง

ถ้าเรายอมรับ

 เราจะเฉยๆ เหมือนเรายอมรับฝนตก

 เวลาฝนตกนี้เราเดือดร้อนไหม

ตกก็ปล่อยเขาตกไป

 แต่ถ้าเราอยู่ข้างนอกไม่มีร่ม

เราอาจจะเดือดร้อน

เพราะเราจะอยากจะไม่ให้ฝนตก

 แต่ถ้าเราคิดว่าเป็นการอาบน้ำ

มันก็ไม่เดือดร้อน

 เวลาเราอาบน้ำก็เหมือนฝนตก เปิดฝักบัว

 เวลาอาบน้ำเปิดฝักบัวทำไมไม่เดือดร้อน

 แต่เวลาที่เราไม่มีร่มกางและฝนตก

ทำไมเราเดือดร้อน

เพราะเราไม่อยากเปียก

 แต่ถ้าเราอยากเปียกก็ไม่เดือดร้อน

 สมัยเด็กๆนี้ เวลาฝนตกนี้

เราชอบออกมาเล่นน้ำฝน

 สนุกกันไม่ใช่หรือ

 ดังนั้นความไม่สบายใจของพวกเรา

อยู่ที่ ความอยากของพวกเรา

ถ้าไม่อยากได้อะไรแล้ว

ได้มาก็ไม่สบายใจ

 เวลาอยากได้อะไรแล้ว

ไม่ได้ก็ไม่สบายใจ

ดังนั้นเราต้องมาแก้ปัญหาของเรา

คือเราต้องหยุดความอยากของเรา

อย่าไปอยากกับสิ่งต่างๆ

เพราะถ้าเราอยากแล้วเราจะไม่สบายใจ

 อย่างตอนนี้อยากจะให้ฝนหยุด

ก็จะไม่สบายใจ ฝนตกเสียงดัง

คุยกันไม่รู้เรื่องอยากจะให้ฝนหยุด

 วิธีที่จะทำให้เราสบายใจก็คือ

ถ้าเสียงดังคุยกันไม่รู้เรื่องก็นั่งเฉยๆไป

 นั่งทำสมาธิไป

 เวลาฝนตกนี้เราจะไม่คุยกันนะ

 เพราะคุยกันฟังไม่รู้เรื่อง

 เราก็เลยมานั่งเฉยๆ มานั่งสมาธิ

ถ้าเรานั่งเฉยๆได้ เราก็สบาย

ถ้าเรานั่งเฉยๆไม่ได้

 เราอยากจะลุกไปทำโน่นทำนี่

 เราก็จะไม่สบาย อยู่ที่ว่าเราควบคุม

อยากของเราได้หรือเปล่า

 ถ้าเราควบคุมความอยากของเราได้

เราก็จะสบาย ถ้าเราควบคุมไม่ได้

เราก็จะไม่สบายใจ

ดังนั้นเราต้องมาควบคุม

ความอยากของเรา

วิธีควบคุมความอยาก

ก็ให้เราควบคุมความคิด

เพราะความคิดทำให้เราอยากขึ้นมา

 ถ้าเราไม่คิดมันอยากไม่ได้

ถ้าเราไม่คิดถึงฝน

 เราก็จะไม่มีความอยากให้ฝนหยุด

 แต่พอเราคิดถึงฝนคิดถึงเสียงดัง

 เราก็อยากจะให้มันหยุด

 อยากจะให้มันเงียบ

ถ้าเราไม่ไปคิดถึงฝนคิดถึงเสียง

เราพุทโธๆๆไป

 มันก็จะไม่มีความอยากให้ฝนหยุด

 มันก็จะอยู่เฉยๆ กับฝนได้

ตอนนี้เราลองมาหยุดความคิด

กันหน่อยดีไหม ใช้พุทโธหยุด

ให้ท่องพุทโธๆไป

 หรือว่าให้ดูลมหายใจเข้าออก

อย่าให้คิดอะไร

 ดูว่าลมหายใจเข้า หายใจออก ให้รู้

 ตอนนี้มาหยุดความคิด

หยุดความอยาก

 ใช้พุทโธก็ได้ ท่องพุทโธๆๆไป

อย่าไปคิดถึงอะไร อย่าไปคิดถึงฝน

อย่าไปคิดถึงอะไร แล้วเราจะสบายใจ

หรือไม่ใช่พุทโธก็ให้

ดูลมหายใจเข้าออกก็ได้

 ลมหายใจเข้าก็รู้ว่าหายใจเข้า

 หายใจออกก็รู้ว่าหายใจออก ให้รู้อยู่แค่นี้

รู้อยู่ที่ปลายจมูกหรืออยู่ที่หน้าท้อง

ถ้าดูที่หน้าท้องเวลาหายใจเข้าก็พอง

 เวลาหายใจออกมันก็ยุบ

 ถ้าดูที่ปลายจมูกก็รู้ว่าเข้า ออก

ลองหยุดความคิดสักพัก ลองนั่งเฉยๆดู

 ถ้าเราไม่คิดแล้วจะไม่มีความอยาก

 แล้วเราจะไม่อยากลุก

 แต่ถ้าเราคิดแล้วเดี๋ยวก็อยากจะลุก

 อยากจะให้ฝนหยุด มันก็จะไม่สบายใจ

พยายามนั่งสมาธิไปเรื่อยๆนะ

 แล้วใจจะสบายมีความสุข

แล้วจะปล่อยวางร่างกายได้

ปล่อยวางทุกอย่างได้

 เวลาร่างกายไม่สบายเราก็ปล่อยมัน

 เรานั่งสมาธิไป ทำใจให้สงบ

อย่าไปคิดอะไรแล้วจะมีความสุข

ร่างกายทุกข์ก็เรื่องของร่างกาย

แต่เราไม่ต้องทุกข์ไปกับร่างกาย

เราสามารถมีความสุขได้ตลอดเวลา

 ถ้าเราหยุดคิดได้ หยุดอยากได้

อย่าไปอยากให้มันหาย

อยากไปอยากให้มันไม่เจ็บ

 แล้วมันจะเกิดความทุกข์ทรมานขึ้นมา

 ถ้าปล่อยมันเจ็บไป ปล่อยมันเป็นไป

เราไม่ไปยุ่งกับมัน ไม่ไปอยากกับมัน

เราก็ไม่เดือดร้อน เราก็จะสบาย

อย่างเมื่อกี้เราปล่อยให้ฝนตก

ฝนจะตกก็ปล่อยมันตกไป

 เดี๋ยวมันก็ไปแล้ว

 ทุกอย่างมีเกิดมีดับ

มีใจเราตัวเดียวที่ไม่เกิดไม่ดับ

 เรานี้ไม่เกิดไม่ดับเรามีอยู่ตลอดเวลา

 แต่เราไปติดอยู่กับของที่เกิดดับ

 เราก็เลยทุกข์กับมัน

เวลาเกิดก็ดีใจ เวลาดับก็เสียใจ

แต่ตัวเราเรากลับไม่อยู่กับเรา

 เราอยู่กับเราแล้วเราก็สบายใจ

 เพราะมันไม่ดับมันจะอยู่กับเราไปตลอด

ต้องดึงใจกลับมาอยู่ที่ใจ

อย่าส่งใจไปที่คนนั้นคนนี้สิ่งนั้นสิ่งนี้

 พอส่งไปแล้วก็ไปทุกข์กับเขา

พอเขาเป็นอะไรก็ทุกข์ไปกับเขา

 ดึงใจกลับเข้ามาที่ตัวเราอยู่ที่ข้างในดีกว่า

 พุทโธๆไป นั่งสมาธิไป ใจเข้าข้างใจ

 ใจก็ปล่อยของข้างนอกได้

 ปล่อยคนนั้นปล่อยคนนี้

 ปล่อยสิ่งนั้นปล่อยสิ่งนี้ได้

เขาจะเป็นอะไรก็ไม่เป็นปัญหากับเรา

 แล้วเราก็ไปห้ามเขาไม่ได้

ไปสั่งเขาไม่ได้

 สั่งให้เขาไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่ได้

 สั่งให้เขาเป็นก็ไม่ได้

 ดังนั้นอย่าไปยุ่งกับเขาดีกว่า

อยู่กับความสงบของเราดีกว่า

 มีความสุขมากกว่า

พยายามอย่าคิดนะ ให้ใจมีอะไรผูกไว้

 พุทโธก็ได้ ลมหายใจก็ได้

 มีอะไรควบคุมความคิดให้ได้

คิดแล้วมันวุ่นวาย

 ส่วนใหญ่มันจะคิดไปในทางวุ่นวาย

คิดแล้วก็อยากให้ได้สิ่งนั้นอยากให้มีสิ่งนี้

 พอไม่ได้ก็เสียใจ น้อยใจ

บางทีก็โกรธ อยากให้เขาทำอะไรให้เรา

แล้วเขาไม่ทำให้เรา เราก็โกรธ

 อยากจะได้แล้วไม่ได้ก็เสียใจ ผิดหวัง

 ได้ก็ดีใจเดี๋ยวเดียวแล้วก็อยากจะได้ใหม่

ดังนั้นความอยากมันไม่ได้พาให้เรา

ไปสู่ความพอหรือความสุข

 พาไปสู่ความอยากเรื่อยๆ

อยากได้อย่างนี้ก็อยากได้อย่างนั้นต่อ

 อยากได้โน่นแล้วก็อยากจะได้นี่ต่อ

เพิ่มไปเรื่อยๆ เวลาอยากก็ไม่สบายใจ

 หงุดหงิดรำคาญใจ

มาหยุดความอยากหยุดความคิดกัน

แล้วจะสบายใจ จะเย็น จะเบา

 จะไม่ต้องมีอะไร อยู่แบบไม่มีอะไรดีกว่า

ไม่ต้องไปดิ้นรนหาเงินหาทอง

เพื่อจะเอามาใช้

 หามาแทบเป็นแทบตาย

เอาไปใช้เดี๋ยวเดียวก็หมดแล้ว

แล้วเดี๋ยวก็ต้องไปหาใหม่

หามาเท่าไรได้มาเท่าไรก็ไม่พอ

ก็ยังอยากได้อยู่ ถ้ายังมีความอยาก

ก็ยังไม่มีความอิ่ม ถ้าไม่มีความอิ่ม

มันจะสุขได้อย่างไร มันก็หิวอยู่เรื่อยๆ

ถ้าไม่มีความอยากแล้ว มันก็อิ่ม

อย่างเมื่อกี้เรานั่งสมาธิแล้ว

เราหยุดความอยากได้

มันก็อิ่มใจ สุขใจ สบายใจ

พยายามทำบ่อยๆ

วันหนึ่งเรามีเวลาเยอะแยะ

เราไปนั่งดูทีวี ไปนั่งกินขนม

มานั่งสมาธิดีกว่า

นี่แหละความสุขที่แท้จริง

ความสุขที่เป็นของเรา

ไม่มีใครมาแย่งจากเราไปได้

 ความสุขจากแฟนนี้

 เดี๋ยวคนอื่นมาแย่งแฟนไป

เราก็เสียความสุขไปแล้ว

ก็ได้ความทุกข์กลับมา

 สู้เอาความสุขจากการนั่งสมาธิดีกว่า

ไม่มีใครมาแย่งไปได้

ขโมยก็มาขโมยไปไม่ได้

ถ้ามีข้าวของมีเงินทอง

เดี๋ยวขโมยขึ้นบ้านมันก็ขนไปหมด

ความสุขก็หายไปหมด

 กลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา

นี่แหละความสุขที่ไม่ต้องเสียเงิน

 เรากลับไม่เอา ของฟรีๆเรากลับไม่เอา

 คิดว่าของฟรีไม่ดีใช่ไหม

ความจริงของฟรีนี้เป็นของดี

 เราชอบของไม่ดี ของเสียเงิน

ของไม่ดีได้มาแล้วก็ทำให้เราทุกข์กับมัน

 ได้มาแล้วต้องหวงห่วง

 แล้วเวลาจากเราไปเสียใจไหม

 เสียเงินแล้วยังไม่พอ

ยังต้องมาเสียใจกับของที่เราได้อีก

ฉลาดหรือโง่ ดังนั้นของดีนี้ของฟรี

ของที่ต้องเสียเงินนี้ของไม่ดี จำไว้

 อย่าไปเสียเงินซื้อของไม่ดี

ของไม่ดีก็คือทำให้ใจเราไม่สบาย

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...........................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๙







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 12 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2559 6:25:05 น.
Counter : 700 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ