ทัวร์ทนายอ้วน ... เที่ยวไปตามใจฉัน - พาไปเที่ยววัดเงี๊ยวกลางเมืองเชียงใหม่ - วัดป่าเป้า, เชียงใหม่ วัดป่าเป้า ตั้งอยู่เลขที่ ๕๘ บริเวณแจ่งศรีภูมิ ถนนมณีนพรัตน์ ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ในสมัยก่อนมีพื้นที่ ทิศเหนือห่างจากวัด 100 วา ทิศใต้จดคูเมือง ทิศตะวันออกห่างจากวัด100 วา และทิศตะวันตกห่างจากวัด 100 วา แต่เดียวนี้ มีพื้นที่ดินเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีเนื้อที่ ๑๐ ไร่ ๘๑ ตรางวา และภายนอกกำแพงเป็นธรณีสงฆ์วัดมี ๑ ไร่ ๒ งาน ๗๓ ตรางวา รวมทั้งสิ้น ๑๑ ไร่ โดยประมาณ บริเวณวัดป่าเป้าเคยเป็นคุ้มเก่า (วังเก่า) ของพระเจ้ากือนาธรรมิการาชเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ในเชื้อเจ้าเจ็ดตนมาก่อน หลังจากพระเจ้ากือนาธรรมิการาชได้สวรรคตลงไปแล้ว อัครมหาเสนาบดีแสนผานองได้นำพระศพของพระเจ้ากือนาเข้าไปในเมืองทางด้านกำแพงตรงข้ามวัดพราหมณ์ (ซึ่งต่อมาเป็นที่ตั้งของวัดป่าเป้าจนถึงทุกวันนี้) เพื่อที่จะทำพิธีแต่งการฌาปนกิจศพของพระเจ้ากือนา หลังจากงานพระศพก็ไม่ได้มาดูแลที่คุ้มเก่าทางนอกกำแพงเมืองอีกเลยเพราะติดพันอยู่กับสงครามด้านอื่นๆอยู่ คุ้มเก่า (วังเก่า) ของพระเจ้ากือนาธรรมิการาชจึงชำรุดทรุดโทรมลงกลายเป็นที่รกร่างว่างเปล่า มีหมู่ไม้นานาพันธ์ชนิดขึ้นเต็มไปหมด ในบรรดาหมู่ไม้ทั้งหลายโดยเฉพาะ ไม้ต้นเป้า ( ต้นเป้า นี้เป็นยาสมุนไพร) มีมากกว่าหมู่ไม้ทั้งหลายภายหลังมีชาวเงี้ยว (ไทใหญ่) ขออนุญาตสร้างวัดต่อเจ้าผู้ครองนครในสมัยนั้น จึงอนุญาตให้ไปแพ้วถางป่าไม้เป้าที่คุ้มเก่า (วังเก่า) นอกกำแพงเมืองทิศตะวันออกเฉียงเหนือตรงข้ามแจ่งศรีภูมิ จึงทำการสร้างวัดขึ้น เรียกชื่อว่า เชตวันวิหารบ้าง เวฬุวันวิหารบ้างจนมาถึงสมัยพระเจ้ากาวีละเป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ มีการปรับปรุงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง จึงมีการไปกวาดต้อนผู้คนในหัวเมืองทิศต่างๆ เช่น ฝาง เชียงราย เชียงคำ เชียงของ เมืองปู เมืองสาต เมืองกาย เมืองพะยาก เมืองเลน เมืองโก เมืองยอง เมืองเชียงตุง เมืองขอน เมืองยู้ เมืองหลวง เมืองวะ เมืองลวย เมืองตองกายเมืองสิบสองปันนา ( เมืองโก เมืองเลน เมืองวะดังปรากฏอยู่ในอำเภอสันทรายทุกวันนี้) ทิศตะวันตกจนถึงฝั่งแม่น้ำสาลวิน (น้ำคง)มี เมืองยวม เมืองขุนยวม เมืองแม่ฮ่องสอน เมืองแหง เมืองปาย เมืองต๋วนเมืองต้าฝั่ง เมืองผาปูน เมืองยางแดง เมืองส่วยกะยาง เมืองวัวลาย เมืองกิติ เมืองจ๊อต ฯ เมื่อมีการกวาดต้อนผู้คนเหล่านั้นเข้ามานั้นมีทั้งชาวเงี้ยว (ไต - ไทใหญ่) ก็รวมอยู่ในกลุ่มนั้นด้วยดังนั้น ชาวเงี้ยวก็มาสมทบพวกเก่าๆ จนมีมากขึ้น จึงได้มีการรวมกันบูรณะซ่อมแซมวัดวาอารามที่มีอยู่เก่าขึ้นเรื่อยมาอีก จนถึงต้นรัชสมัยพระเจ้าอินทรวิชยานนท์๒ (เจ้าหลวงตาขาว) เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ ๗ ในปี พ.ศ.๒๔๑๔ กองทัพเชียงใหม่ได้ยกกำลังไปกวาดต้อนผู้คนชาวเงี้ยว๓ บริเวณฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวินแถบบ้านแม่ตะกวน เชลยศึกดังกล่าวมีครอบครัวของแม่เฒ่าต้าว (สถูปบรรจุอัฐิของแม่เฒ่าต้าว ยังปรากฏให้เห็น ในบริเวณข่วงกำแพงแก้ว ด้านเหนือองค์เจดีย์ วัดป่าเป้า) ซึ่งเป็นภรรยาของต้าวหมอ(เงี้ยว) มีพื้นเพดั้งเดิมเป็นคนเมืองลางเคือ แม่เฒ่าต้าวผู้นี้ มีบุตรธิดาทั้งหมด ๖ คน คือ พ่อจางมนแม่จางอ่อง แม่นางนวล แม่นางแก้ววรรณา ส่างสามและแม่นางไหล(บัวไหล) นางแก้ววรรณาและแม่นางบัว ไหลเป็นคนสวยงามต่อมาจึงได้รับเลือกเป็นนางสนมของพระเจ้าอินทรวิชยานนท์ นิยมเรียกกันในสมัยนั้นว่า "หม่อมบัวไหล แม่เฒ่าต้าว และพ่อเฒ่าต้าวหมอ (เงี้ยว) มาตั้งบ้านเรือนอยู่แถวย่านประตูช้างเผือก ต่อมาแม่หม่อมบัวไหล และรวมกับชาวเงี้ยว ( ไทใหญ่ ) ก็ได้เป็นผู้นำทำการ ขออนุญาตบูรณะซ่อมแซมวัดป่าเป้าเป็นการใหญ่ ต่อพ่อเจ้าอินทรวิชยานนท์ พ่อเจ้าอินทรวิชยานนท์ก็โปรดเกล้าอนุญาตให้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๖ อีก เพื่อเป็นที่ประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาต่างๆ เนื่องจากในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๗ รัฐบาลไทยได้ประกาศตั้งมนฑลเทศาภิบาลขึ้น เชียงใหม่ซึ่งเป็นศูนย์กลางของมณฑลแถบนี้เรียกว่ามลทลลาวเฉียง ต่อมาเปลี่ยนชื่อเรียกใหม่ว่มณฑลพายัพ เป็นการยกเลิกฐานะประเทศราชของเชียงใหม่และรัฐบาลได้ประกาศแต่งตั้งให้ เจ้าพยาสุรสีห์วิศิษฐ์ศักดิ์ ดำรงค์ตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลพายัพเป็นคนแรก มีอำนาจสิทธิเด็จขาดในการปกครองดินแดนแถบนี้อย่างเต็มที่ในปี พ.ศ.๒๔๔๕ จึงเป็นการสิ้นสุดอำนาจการปกครองของเจ้าผู้ครองนครในอาณาจักรล้านนามาตราบจนทุกวันนี้ภายหลังจาก พระเจ้าอิทรวิชยานนท์ ถึงแก่พิราลัย หม่อมบัวไหลได้สมรสใหม่กับคหบดี พ่อค้าไม้ชาวพม่า ชื่อว่า "หม่องจิ่น" ทั้งหม่อมบัวไหลและ หม่องจิ่นได้เป็นประธานร่วมกับศรัทธาชาววัดป่าเป้าทำการบุรณะปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ ซึ่งในขณะนั้นการขออณุญาติก่อสร้างจะต้องขอโดยตรงลงมายังกรุงเทพฯ โดยสล่าอุ๊ศติ เป็นผู้แทนของศรัทธาในนามของวัดป่าเป้า ขอพระบรมราชานุญาตจากในหลวงรัชกาลที่ ๕ จนในที่สุดได้รับพระราชทานที่ดินส่วนหนึ่ง สำหรับก่อสร้างเป็นพระอุโบสถพร้อมกับพระราชทานใบวิสุงคามสีมาให้แก่วัดป่าเป้า จึงได้ช่วยกันรื้อพระอุโบสถเก่าและก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ขึ้น ทำด้วยไม้สักทั้งหลัง มีสถาปัตยกรรมแบบเงี้ยว , มอญ พม่าดัง ปรากฏอยู่ทุกวันนี้"มีพระราชโองการประกาศแก่ชนทั้งปวงว่า ที่เขตพระอุโบสถวัดป่าเป้า แขวงเมืองนครเชียงใหม่โดยยาวสิบวา กว้างสิบวา สล่าอุ๊ศติ ( เงี้ยว ) ได้กราบบังคมทูลขอเป็นที่วิสุงคามสีมา พระเจ้าแผ่นดินกรุงสยามได้ยีนดีอนุโมทนาอนุญาตแล้ว โปรดให้กรรมการปักกำหนดให้ตามประสงค์ ทรงพระราชอุทิศที่ ให้เป็นวิสุงคามสีมา ยกเป็นแผนกหนึ่งต่างหาก จากพระราชอนาเขต เป็นที่วิเลศสำหรับพระสงฆ์แก่จตุรทิศทั้งสี่ ทำสังฆกรรมต่างๆ มีอุโบสถกรรม เป็นต้น พระราชทานตั้งแต่ ณ วันที่ ๒๔ กันยายน รัตนโกสินทร์ศก ๓๙/๑๒๕ พุทธศาสนากาล ๒๔๔๙ พรรษา เป็นวันที่ ๑๘-๘-๓๒ ในราชกาลปัจจุบันนี้ พระบรมราชโองการนี้ ได้ยังความปลื้มปิติแก่ศรัทธาวัดป่าเป้าเป็นที่สุด ถึงกับได้จัดงานเฉลิมฉลองในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้ท่านเจ้าอาวาสองค์ก่อน (พระหว่านะ)ได้มรณภาพไปแล้วเจ้าอาวาสองค์ต่อมาชื่อว่า อูวิซะยะ เป็นพระชาวเงี้ยว จากเมืองหนิม ร่วมกับ จองน้อยลอก๊ะ จองหวุ่นนะ สล่าอ้าย เป็นอาทิ สร้างถาวรวัตถุเพิ่มเติมให้กับวัดด้วย ในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ มีคหบดีเงี้ยวแห่งบ้านช้างเผือก ชื่อปู่จองคำยี่ได้เป็นประธานร่วมกับเจ้าศรัทธาผู้อื่น คือ แม่จองนางซื้อ แม่เฒ่านายพาราตักก่าจาง แม่จองคำแหลง และสล่าอุ๊ศติ แห่งบ้านวังสิงห์คำ ได้ทำการมอบหมายให้ หม่องโภห่าน เป็นผู้ออกแบบและก่ออิฐถือปูนสร้างคันธกุฎี ขึ้นอีกหลังหนึ่ง ตั้งอยู่ระหว่างวิหารเดิม กับองค์พระเจดีย์ ศิลปะการก่อสร้าง และตกแต่งภายในเป็นแบบไทยใหญ่พม่าผสม(ปัจจุบันทางวัดได้ปรับปรุงและพัฒนาเป็นเป็นพิพิธภัณฑ์)รวมอายุของวัดป่าเป้า ที่สร้างทีหลังตราบจนปัจจุบันนี้ อายุได้ประมาณ ๑๑๖ ปีล่วงมาแล้ว แต่ที่สร้างคราวก่อนนั้นไม่มีประวัติหลักฐานปรากฏแน่ ชัด แต่สันนิษฐานว่า คงอายุมากกว่า ๑๑๖ ปี คือราวประมาณ ๔๐๐ กว่าปีศาสนสถานและปูชนียวัตถุภายในวัด ประกอบด้วยพระอุโบสถ เป็นพระอุโบสถทรงพม่าแบบตึกผสมไม้ หลังคาทรงจั่วซ้อนชั้นขึ้นไปเป็นสถาปัตยกรรมฉานที่เรียกว่า พญาธาตุ โดยเป็นหลังคาทรงสูงซ้อนกันหลายชั้น และชั้นบนสุดจะมียอดแหลม ประดับด้วยไม้แกะสลักฝีมือประณีต เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป 3 องค์ ชั้นล่างเป็นผนังก่ออิฐถือปูน โดยทำปูนปั้นเป็นซุ้มโค้ง บริเวณช่องหน้าต่างแบบศิลปะตะวันตกคันธกุฎี เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ที่มีศิลปะผสมผสานระหว่างพม่าและตะวันตก โดยมีผนังทำปูนปั้นเป็นซุ้มโค้งแบบตะวันตก ส่วนยอดเป็นทรงปราสาทซ้อนชั้นศิลปะพม่า สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2468 ภายหลังได้ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ภายในวัดพระธาตุเจดีย์ เป็นเจดีย์ศิลปะพม่าขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนฐานบัวลูกแก้วอกไก่ มีเจดีย์ประจำมุมทั้งสี่ และมีซุ้มจระนำประดิษฐานองค์พระทั้งสี่ทิศ เชิงบันประดับด้วยมกรปูนปั้น ถัดขึ้นไปเป็นชั้นบัวถลาที่รับปากระฆัง โดยมีฉัตรอยู่ส่วนยอดตุงกระด้าง เป็นตุงที่ทำจากสังกะสีแกะลวดลายอย่างบรรจง เพื่อใช้เป็นครื่องบูชาพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอขอบคุณท่านผู้มีอุปการคุณที่ทำให้การเที่ยวชมวัดป่าเป้าของเราสนุกยิ่งขึ้นครับบล็อกคุณ lovecondo3 - Wat Pa Pao พระธาตุวัดป่าเป้า วัดชาวไทยใหญ่ กลางเมืองเชียงใหม่ เวบไซต์วัดป่าเป้าComingThailand.com - วัดป่าเป้า วัดศิลปะพม่าจากศรัทธาชาวไทใหญ่ท่องโลกเมืองไทย Thailands world - วัดป่าเป้า จังหวัดเชียงใหม่วัด ป่า เป้า - ลานนาทอล์คของดีดอทคอม ทัวร์ทนายอ้วน ............... เที่ยวไป ...... ตามใจฉัน Create Date :29 สิงหาคม 2555 Last Update :29 สิงหาคม 2555 10:44:20 น. Counter : 4272 Pageviews. Comments :2 twitter google Comment *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก ตามไปเที่ยวด้วยคร่า โดย: Hathi 29 สิงหาคม 2555 10:52:40 น. โดย: Kavanich96 30 สิงหาคม 2555 8:46:19 น.
โดย: Hathi 29 สิงหาคม 2555 10:52:40 น.
โดย: Kavanich96 30 สิงหาคม 2555 8:46:19 น.