bloggang.com mainmenu search
สถานที่ท่องเที่ยว : วัดเขียน วิเศษชัยชาญ อ่างทอง, อ่างทอง Thailand
พิกัด GPS : 14° 36' 9.19" N 100° 21' 0.29" E

ดูแผนที่เพิ่มเติม
 






วัดเขียน  วิเศษชัยชาญ  อ่างทอง






วัดเขียน  อ่างทอง  ตั้งอยู่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน้อย  เลขที่  50  หมู่  8  บ้านคลกะพัน  ตำบลศาลเจ้าโรงทอง  อำเภอวิเศษชัยชาญ   จังหวัดอ่างทอง  ห่างจากตัวอำเภอเมืองอ่างทองประมาณ  12  กิโลเมตร



 
 
จากตัวเมืองอ่างทองใช้ทางหลวงหมายเลข  3195   (ถนนสายอ่างทอง-วิเศษชัยชาญ-สุพรรณบุรี )  มุ่งหน้ามายังอำเภอวิเศษชัยชาญ  ผ่านตลาดศาลเจ้าโรงทองถึงสี่แยกคลองชลประทานที่เชื่อมถึงอำเภอโพธิ์ทอง  เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข  3454  ตรงไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร จะเห็น  
วัดเขียน  อ่างทอง  ตั้งอยู่ทางขวามือ
 
 





วัดเขียน  อ่างทอง    เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย  มีพื้นที่โดยรอบรวม 19 ไร่
 





 

วัดเขียน  อ่างทอง   สร้างขึ้นสมัยใดไม่ปรากฎ   แต่มีข้อมูลว่าได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. 2270   สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช   ต่อมาถูกปล่อยให้รกร้างอยู่นาน  เมื่อมีผู้คนมาอาศัยอยู่มากขึ้นกลายเป็นชุมชน  จึงได้มีการบูรณะ  วัดเขียน  อ่างทอง  ขึ้น  เพื่อเป็นศูนย์รวมของชุมชน
 
 
 



สำหรับชื่อ 
วัดเขียน  มีผู้รู้ให้กรุณาให้ความเห็นไว้  2  กรณี  กรณีแรก  เนื่องจากภายในพระอุโบสถมีภาพเขียนที่สวยงามจึงเรียกว่า   วัดเขียน  ตามอย่างโบสถ์เขียนหรือวิหารเขียนที่วัดป่าโมก  จังหวัดอ่างทอง  ตามแนวคิดของสมเด็จฯ  เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์   
อีกกรณีหนึ่งคือ  เดิมวัดนี้ชื่อ  
 วัดเขียน  อยู่แล้ว แต่เพื่อให้สมกับชื่อจึงมีการเขียนภาพไว้ในพระอุโบสถ
 





 
จากหลักฐานทางด้านโบราณสถาน  เช่น  อุโบสถ (เก่า)   ใบเสมา  เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง  พออนุมานได้ว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย  รวมถึงภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถก็เป็นภาพที่เขียนขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลายเช่นเดียวกัน
 
 


 
 
 

พระอุโบสถหลังเดิม  หันหน้าไปทางทิศตะวันออก  มีขนาดย่อม  ก่ออิฐถือปูน  มีประตูทางเข้าทางเดียวทางด้านหน้าพระประธาน  ผนังด้านข้างมีหน้าต่างข้างละ  3  บาน  เป็นหน้าต่างสี่เหลี่ยมเล็กๆ  2  บาน ที่เหลืออีกบานหนึ่งเป็นหน้าต่างหลอก  เสาภายในอาคารเป็นเสาเหลี่ยมติดผนัง  บัวหัวเสาเป็นหัวกลีบยาวซึ่งเป็นลักษณะของบัวหัวเสาในสมัยอยุธยาตอนปลาย  หน้าบันเป็นไม้ขนาดเล็กแกะสลักลวดลายเป็นลายเทพนมและลายกระจังรวน  สันนิษฐานว่าเป็นฝีมือช่างสกุลเมืองวิเศษชัยชาญสมัยอยุธยาตอนปลาย
 












 
ในปี พ.ศ. 2516  สมเด็จพระกณิษฐาธิราชเจ้ากรมพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี  เสด็จมาพระราชทานกฐิน  ณ  วัดเขียน  อ่างทอง  เมื่อทรงทอดพระเนตรสภาพความทรุดโทรมของอุโบสถจนทำให้น้ำฝนไหลชะภาพเขียนภายในเสียหายเป็นอันมาก  รับสั่งให้บูรณปฏิสังขรณ์อุโบสถขึ้นใหม่โดยการรักษาสภาพเดิมไว้ส่วนใหญ่แต่รื้อหลังคาเดิมออกเนื่องจากชำรุดมาก จากนั้นได้ก่อผนังขนาบภายนอกเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดกว้าง  7.40  เมตร ยาว  9.60  เมตร ให้คร่อมทับอุโบสถเดิม  เปลี่ยนโครงเครื่องบนใหม่ทั้งหมดทำเป็นหลังคาชั้นเดียวแต่มีชั้นลดเพิ่มเป็น  2  ชั้น  มุงหลังคาด้วยกระเบื้องแผ่นตามแบบปัจจุบัน  แต่ยังคงลักษณะของอาคารหลังเดิมคือมีทางเข้าทางเดียว








 
 



 










ใบเสมา  ใบเสมาทำจากหินทรายสีขาวที่ตั้งอยู่รอบพระอุโบสถทั้ง  8  ทิศ  สันนิษฐานว่าเป็นใบเสมาเก่าสมัยอยุธยาตอนปลาย  ซึ่งลักษณะพิเศษของใบเสมาสมัยนี้คือ  ใบเสมาจะทำด้วยหินทรายขาวทั้งหมดเป็นชนิดใบเสมานั่งแท่น  ซึ่งตั้งอยู่บนฐานสิงห์และฐานบัวกลุ่ม  เนื่องจากใบเสมามีขนาดเล็กและแบบบาง  จึงต้องมีการก่ออิฐถือปูนเป็นฐานรองรับ  มีแถบเส้นกลางขนาดใหญ่เท่าขอบเสมา  ตรงกลางแถบจะมีนมเสมาซึ่งทำเป็นลายประจำยามลักษณะคล้ายทับทรวง  ส่วนอกเสมาเหนือนมเสมาเป็นรูปดอกไม้กลมทั้งสองข้าง  เรียกว่า ตาเสมา  ยอดเสมาทำเป็นรูปมงกุฎครอบท้องเสมาเป็นลายประจำยามครึ่งเดียว  และมีกระหนกตัวเหงาอยู่ที่เอวเสมา  จากลักษณะและรายละเอียดทีปรากฏบนใบเสมาเป็นศิลปะช่วงระยะต้นของปลายสมัยอยุธยา  เนื่องจากการสร้างพระอุโบสถจะต้องมีการกำหนดพัทธสีมาในคราวเดียวกัน  ดังนั้นจึงชื่อว่าพระอุโบสถหลังเก่านี้สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย








 
 
ภายในพระอุโบสถมี  
ภาพจิตรกรรมฝาผนัง  สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นฝีมือช่างในสมัยปลายอยุธยา  ใช้สีสด  เช่น  แดง  น้ำเงิน  และดำ   เป็นพื้น  เพื่อจะตัดเส้นสีทองให้สุกใสขึ้น
 
 




“ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ในสมัยอยุธยาตอนปลายใช้สีเรียบแบนระบายบางๆ
โทนสีส่วนใหญ่เป็นแดงเขียนแบบคตินิยมทั่วไป จิตรกรสมัยโบราณท่านนิยมใช้สีแดงสดเป็นพื้น
เพื่อจะคัดทองคำของพระพุทธรูปในอาคารให้ดูแจ่มใสมลังเมลืองขึ้น
 
จึงนิยมต่อๆ กันมาว่าจะต้องระบายสีท้องฟ้าของปราสาท ภาพไตรภูมิ ภาพสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ให้เป็นสีแดงเชื่อมกันหมด เพื่อที่จะให้เนื้อหาของโครงสร้างภาพเขียนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตลอด
 
จากนี้ในที่อื่นๆ เช่นที่ภายในช่องปราสาทก็เป็นสีแดงด้วย หรือภาพบางอย่าง เช่น ภาพวิวภูเขาต้นไม้
บางทีก็ระบายเป็นท้องฟ้าสีแดงเสียด้วย   ในสมัยรัตนโกสินทร์จะหันมานิยมเขียนแบบธรรมชาติ
คือระบายสีท้องฟ้าด้วยสีเทาดำๆ และเมฆสีขาว เป็นแบบธรรมชาตินิยม (Realism) มากขึ้น
ดังนั้น ในบางตอนก็เขียนรูปเป็นไปในแบบธรรมชาติ แต่บางตอนก็ยังคงแบบฉบับไอเดียลิสม์ (Idealism) แบบเดิมไว้”
 
(น. ณ ปากน้ำ)

 
 
 




“จิตรกรรมไทยโบราณนั้น มักจะเขียนบนแผ่นผนังที่เตรียมการลงพื้นและทาสีขาวเป็นสีพื้นเรียบร้อยแล้วด้วยสีฝุ่นผสมกาว  สีฝุ่นนั้นเป็นสีจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ดินแดง สีดินขาว สีดำจากเขม่าไฟ ซึ่งการจะนำสีต่างๆ มาเขียนก็จะต้องบดสีด้วยโกร่งอันทำด้วยดินเผาหรือดินเผาเคลือบ ใช้เวลาบดสีประมาณ ๑-๔ ชั่วโมง หากว่าก้อนสีจับตัวแข็งก็จะต้องแช่น้ำไว้สัก ๑ หรือ ๒ ชั่วโมง บางทีจิตรกรผู้เขียนจะนำเอาแอลกอฮอล์เทลงไปด้วย เพื่อให้สีละลายเร็วขึ้น
 
 
สีขาวนั้นจะใช้ปูนขาว เมื่อจะเอามาทาพื้นเป็นการลงพื้นก็จะเอาสีขาวที่บดแล้วมาผสมกับกาวยางไม้ เช่น กาวกระถิน กาวยางสน หรือกาวจากยางบง ในตำราของช่างเขียนบางคน ท่านใช้ดินขาวหรือดินสอพองมาบดละเอียดกับน้ำ แล้วเอากาวจากเม็ดมะขามต้มจนเหนียวเป็นกาวใส่ลงไปด้วย เรียกว่า "ฝุ่น"
 
สีดำน้้นเอาเขม่าจากก้นหม้อ ก้นกระทะในครัว เอามาบดปนไปกับน้ำและกาวธรรมชาติ เสร็จแล้วเป็นสีผสมกาวเรียกกันว่า "เขม่า" ส่วนสีจากดินธรรมชาติอื่นๆ เช่น สีเหลือง สีน้ำตาล สีน้ำตาลเข้มจนแดงจัด หรือสีน้ำตาลไหม้ น้ำตาลเหลือง ก็เรียกตามสีของดินสีนั้นๆ บางทีก็เอาสีจากดินผุหรือหินผุนำมาบดเช่นเดียวกัน แต่จำต้องบดนานเป็นพิเศษ แล้วเอาสีที่บดแล้วแต่ละสีแยกออก เทใส่ภาชนะที่มีฝาปิดได้ เช่น กระปุกหรือโกร่งขนาดย่อม เติมน้ำเล็กน้อยกันสีแห้ง แล้วปิดฝาทิ้งไว้ เมื่อจะใช้ก็เอามาบด แล้วตักเอาปริมาณที่ต้องการมาใส่ภาชนะเป็นจานเขียนสีก็จะมีสีต่างๆ นำมาใช้ได้ทันท่วงที
 
สีบางอย่างจะใช้ในการย้อมผ้า เป็นสีที่ใช้แช่เปลือกไม้หรือแท่งไม้อันเป็นสีค่อนข้างใส ไม่นิยมเอามาเขียนในงานจิตรกรรม หรือสีที่นำมาใช้ในการทำขนม เช่น สีของดอกอัญชัน สีแดงจากไม้ฝาง ฯลฯ นิยมใช้ในการย้อมผ้ามากกว่า
 
สีที่ใช้ในการเขียนรูปจิตรกรรมไทย มักเป็นสีประเภททำจากวัตถุธาตุ เช่น ดินสีต่างๆ หรือหินผุ จะทำให้สีอ่อนแก่ก็โดยการบดสีกับกาวผสมไว้แล้วในโกร่งที่เรียกว่า "น้ำยา"
 
จิตรกรรมที่เขียนตามผนังพระอุโบสถสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยาหรือสมัยอยุธยาตอนต้นนั้นจำกัดในเรื่องการใช้สี เพราะมีสีที่ใช้จากสีวัตถุธาตุธรรมชาติในบ้านเมืองเรา เช่น ฝุ่นขาว เขม่าดำ สีดินแดง สีดินเหลือง มีอยู่เพียง ๔ สีเท่านั้น ต่อมาในสมัยอยุธยาตอนกลางมีสีแปลกๆ ทำจากวัถุธาตุพวกสีฝุ่นจากหินผุ เช่น สีเขียว สีคราม ยิ่งสมัยอยุธยาตอนปลายก็มีสีสดใสอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีกคือ สีเสน สีคราม สีเขียวสด ดังเช่นภาพเขียนในสมุดข่อยวัดหัวกระบือ บางขุนเทียน สมัยอยุธยาตอนปลาย
 
ในสมัยอยุธยาตอนปลายสุดหรือรัตนโกสินทร์มีสีสดใสจากจีนเข้ามาขาย เช่น สีแดงแสด สีแดงเสน สีชาด สีเหลืองสด สีเขียวแจ่มใส สีฟ้า ได้แยกผสมเป็นน้ำยาไว้พิเศษ เช่น สีดินแดง ทำจากดินแดงบด  เมื่อมาผสมกับสีชาดหรือสีแดงเสนก็จะมีสีแดงสด มีรสสีแดงฉ่ำ ถ้าจะใช้เป็นสีแดงทึบ เช่น สีน้ำตาลเข้ม ก็เอาเขม่าดำมาผสม หรือจะใช้เป็นสีแดงอ่อน เช่น สีดอกกุหลาบ ก็ผสมกับดินเหลืองและฝุ่นขาวเรียกว่า หงสบาท  คือสีของเท้าหงส์กับนกต่างๆ  สีเขียวเมื่อนำมาผสมกับดินผุหรือผสมกับฝุ่นขาวกลายเป็นสีเขียวอ่อนก็เรียกว่า สีก้านดอกมะลิ  เมื่อแซมเหลืองเข้าไปก็กลายเป็น สีตองอ่อน  เป็นสีเหมือนกับธรรมชาติที่เคยชิน ในภาษาช่างสมัยก่อนจึงมีชื่อสีต่างๆ เช่น สีขาบ คือสีน้ำเงินเหมือนสีนกตะขาบ  สีกรมท่า คือสีน้ำเงินเข้ม เป็นสีผ้านุ่งของข้าราชการกรมท่า  สีกลาโหม ก็คือสีน้ำตาลแดง  สีดอกบัวโรย  สีดอกอัญชัน  สีเขียวหัวเป็ด เป็นต้น” 


น. ณ ปากน้ำ

 


 
 
บริเวณเหนือหน้าต่างของผนังทั้งซ้ายขวาเขียนลายหน้ากระดานรองรับภาพเทพชุมนุมชั้นเดียว ภายในเส้นสินเทา พื้นทาแดงชาด เหนือขึ้นไปเป็นภาพนักสิทธิ์ วิทยาธร เขียนได้สนุกสนานยิ่ง บ้างก็แต่งกายแบบจีนแมนจู ผมเปีย บ้างก็ดำทะมึน บ้างอุ้มมักกะลีผล บ้างก็ยิ้มเริงร่า ห้อยคอด้วยปลัดขิก บ้างก็ยกขวดเหล้าเท
 











 
ด้านหลังพระประธานเขียนลายดอกไม้ร่วงบนพื้นสีดำ  ตอนบนสุดเป็นลายเฟื่องอุบะ















 
ด้านตรงข้ามพระประธานเขียนเรื่องสุธนชาดก 












ผนังด้านซ้าย - ขวา  พระประธานเขียนเป็นเรื่องทศชาติ เท่าที่ปรากฏมีมหาชนก สุวรรณสาม มโหสถ จันทกุมาร วิทูรบัณฑิต และเวสสันดร
 




 














 
เข้าชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย



 
ประตูวัดเปิด  06.00-18.00 น.
 



ประตูโบสถ์เปิด  09.00-10.00 น.  และ  13.00-15.30 น.
 
 








ขอขอบคุณท่านผู้มีอุปการะคุณข้อมูลด้วยครับ





 
วัดเขียน – สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดอ่างทอง


วัดเขียน – วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


วัดเขียน – หนังสือพิมพ์เอกราชนิวส์

 
วัดเขียน – ที่เที่ยว.คอม

 
วัดเขียน  -  สุขใจ.คอม

 
วัดเขียน  -  Abstract การศึกษาจิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถวัดเขียน อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง
โดย จารุณี ภาคเจริญ วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม. (ประวัติศาสตร์ศิลปะ))  สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ  --มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2533


 
วัดเขียน  -  FB  เรือนหลวง

 
วัดเขียน  -  gplace.com

 
วัดเขียน  -  nina.az
 







 
 










134136139
 
Create Date :31 ตุลาคม 2565 Last Update :31 ตุลาคม 2565 13:07:44 น. Counter : 1121 Pageviews. Comments :24