ทนายอ้วนทัวร์ - พาไปชมบ้านโบราณที่ - พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณ จังหวัดเชียงใหม่ ตอนที่ 2 สถานที่ท่องเที่ยว : พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณ จังหวัดเชียงใหม่, เชียงใหม่ Thailandพิกัด GPS : 18° 47' 31.93" N 98° 57' 46.49" E ดูแผนที่เพิ่มเติมหายไปซะนานเลยครับ ไม่ได้หายไปไหนนะครับ ไปหาวิธีลงรูปให้เยอะๆ ในบล็อกเดียวอ่ะครับ จนแร๊วจนรอดก็ยังไม่มีโปรแกรมที่ถูกใจ ก็เลยต้องใช้วิธีการเลือกรูปให้เหลือน้อยเอาครับ อิอิอิคราวที่แล้วพาไปเที่ยวเรือนได้แค่ 2 เรือนเองครับ เดี๋ยวมาต่อเรือนหลังที่ 3 กันเลยนะครับพิพิธภัณฑ์เรือนโบราณ จังหวัดเชียงใหม่ เรือนหลังที่สามเป็น เรือนกาแล(อุ๊ยผัด) สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. 2460 เดิมตั้งอยู่ที่อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเรือนกาแลที่ขนาดเล็ก ยกพื้นสูง มีความยาวเพียง 3 ช่วงเสาเท่านั้น แต่ละช่วงเสามีความยาวน้อยกว่าเรือนกาแลแบบอื่น การขึ้นเรือนนี้ค่อนข้างลำบากครับ เพราะหน้าบันไดแคบมากๆ ถ้าไม่ระวังให้มีหวังได้ตกลงไปจุกแอ๊กที่พื้นแน่ๆครับสภาพของเรือนก็เก่ามาก มีบริเวณที่ทำท่าจะพังแหล่มิพังแหล่ ไม่กล้าเดินไปถ่ายรูปเยอะครับ เดียวทะลุลงไปที่พื้น อิอิอิเมื่อขึ้นบันไดเรือนมาแล้วทางขวามือจะเป็น "ชานแดด" ต้องเดินขึ้นยกพื้นขึ้นไปถึงจะถึงห้องนอนครับ ด้านซ้ายเดาว่าคงจะเอาไว้วาง "น้ำต้น" หรือคณโฑใส่น้ำดื่มสำหรับแขกครับ หลังคามุงด้วยแป้นเกร็ดเช่นกันพอขึ้นยกพื้นไปแล้ว ด้านซ้ายเป็นห้องโล่งๆ มีผนังด้านเดียวถัดไปเป็นเรือนครัวเล็กๆ ขวามือเป็นส่วนที่อยู่อาศัยยาวไปจนถึงหลังเรือนลักษณะเด่นของเรือนหลังนี้คือมี "หัมยนต์" ติดด้านบนของประตูห้องนอนไว้เพื่อทำหน้าที่เป็นยันต์อันศักดิ์สิทธิ์ที่ป้องกัน และขับไล่อันตรายต่าง ๆ จากภายนอก ตามความเชื่อของชาวล้านนา มูลนิธิจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์และอาจารย์ศิริชัย นฤมิตรเรขการ ได้ให้การสนับสนุนการอนุรักษ์และนำมาสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง ณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2537เรือนหลังต่อมาคือ เรือนพื้นบ้านล้านนา (อุ๊ยแก้ว) เดิมเป็นของอุ๊ยอิ่น และอุ๊ยแก้ว ธาระปัญญา ตั้งอยู่บ้านสันต๊กโต (สันติธรรม) แจ่งหัวลินใกล้ๆ กับถนนห้วยแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นรูปแบบเรือนของคนที่อาศัยใกล้เวียงเชียงใหม่ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ลักษณะการจัดพื้นที่ใช้สอยยังเป็นแบบบ้านชนบทแต่ทำฝาและประตูหน้าต่างแบบใหม่เป็นเรือนเครื่องผูกแบบเดียว ลักษณะเป็นเรือนแฝด สร้างด้วยไม้เนื้อแข็ง ยกพื้นสูง มีบันไดขึ้นทางด้านหน้าและหลัง ขึ้นมาบนเรือนแล้วจะมีที่วางน้ำต้น มีนอกชานแล่นตลอดหน้าส่วนที่ใช้อยู่อาศัยจนถึงหลังบ้านที่เป็นส่วนของเรือนครัว ระเบียงสามารถเลื่อนปิดเปิดได้ คาดว่าเพื่อป้องกันลมหนาวครับมี 2 ห้องใหญ่ๆ ใช้เป็นส่วนที่อยู่อาศัย ด้านหลังเป็นเรือนครัวหลังคาเป็นหน้าจั่ว 2 อันเชื่อมต่อ มุงกระเบื้องดินขอ มี ฮ่อมริน (ทางเดินระหว่างเรือน 2 หลัง) ยาวตลอดห้องนอนทั้ง 2 ห้อง เหนือฮ่อมรินเป็นฮางริน (รางระบายน้ำฝน) ในจุดที่หลังคาทั้ง 2 อันมาบรรจบกัน ชายคาด้านหน้ายื่นยาวกว่าเรือนพื้นถิ่นโบราณ โดยยื่นยาวมาถึง เติ๋น (ชานร่ม) และ จาน (ชานแดด) ไว้ทั้งหมด โครงสร้างเป็นระบบเสาและคานใช้การเจาะช่องเข้าเดือย บาก พาด ผนังเรือนใช้ไม้แผ่นตีซ้อนแนว ส่วนพื้นเรือนปูด้วยไม้ แป้น (แผ่น) โดยมีการยกระดับพื้นห้องนอนและเติ๋นหนึ่งระดับ เพื่อแบ่งพื้นที่ใช้สอยอาจารย์วิถี พานิชพันธ์ ซื้อเรือนหลังนี้ไว้และมอบให้แก่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมูลนิธิยาคาซากิ มหาวิทยาลัยเกียวโต เซกะ ประเทศญี่ปุ่น ได้ให้การสนับสนุนการอนุรักษ์และนำมาสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง ณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2540เรือนกาแล(พญาวงศ์) สร้างเมื่อปี 2440 มีอายุกว่า 114 ปี เป็นเรือนไม้ขนาดกลางใต้ถุนสูง เมื่อขึ้นเรือนไปจะมี "ชานแดด" กว้างขวางมากๆ มีบันไดขึ้นทั้งด้านหน้าและด้านหลังเรือนหลังคาทรงหน้าจั่ว มีกาแลเป็นลักษณะเด่น ถือเป็นเครื่องหมายของความเป็นสิริมงคล ลักษณะเป็นไม้แกะสลักยื่นเลยจากปั้นลมไปไขว้กันที่ยอดจั่วเรือน บนประตูห้องทั้งสองมี "หัมยนต์" เป็นเครื่องรางป้องกันสิ่งไม่ดี เรือนครัวจะอยู่ทางด้านหลังเรือนหลังนี้เดิมเป็นของพญาวงศ์ อยู่ที่อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. 2440 ลูกหลานพญาวงศ์ได้สืบทอดบ้านหลังนี้มาราว 3 รุ่น ต่อมาได้ย้ายไปปลูกไว้ในวัดสุวรรณเจดีย์ จังหวัดลำพูน ต่อมานายแฮร์รี่ วอง ได้ซื้อไว้จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2541 มูลนิธิ ดร.วินิจคุณหญิงพรรณี วินิจนัยภาค ได้ให้การสนับสนุนการอนุรักษ์และนำมาสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง ณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ยุ้งข้าวหลังนี้เป็นยุ้งข้าวของเรือนพญาวงศ์ นำมาปลูกสร้างใหม่ พร้อมกับตัวเรือนกาแล คุณแจ่มจิตต์ เลาหวัฒน์และครอบครัว ได้ให้การสนับสนุนการอนุรักษ์และรื้อย้ายมาปลูก ณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2542เรือนชาวเวียงเชียงใหม่(พญาปงลังกา) เป็นอีกหนึ่งเรือนที่เก่าแก่ สร้างขึ้นเมื่อปี 2439 อายุราว 115 ปี เดิมตั้งอยู่ในเขตกำแพงเมืองเชียงใหม่ เจ้าของเดิมคือพญาปงลังกา ซึ่งมอบเรือนไว้ให้แก่บุตรหลานได้สืบทอดกันมา 5 รุ่น ต่อมาคุณจรัส วณีสอน และน้อง ๆ ได้มอบเรือนหลังนี้ให้แก่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมูลนิธิจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ ได้ให้การสนับสนุนการอนุรักษ์และนำมาสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง ณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2554เป็นเรือนไม้ขนาดกลาง ลักษณะเป็นเรือนหลังคาทรงจั่ว สองจั่วเหลื่อมกัน เรือนสองหลังร่วมพื้น ด้านตะวันตกเป็นเรือนนอนโล่งกว้าง ด้านตะวันออกเป็นเรือนครัว ระหว่างชายคาของเรือนทั้งสองเชื่อมต่อกันเป็นรางน้ำฝนเรียกว่า "ฮ่องลิน" หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผา (ดินขอ) ใต้ถุนสูง ใช้เป็นที่นั่งทำงานและเป็นที่พักผ่อนเรือนพญาปงลังกา เรือนทรงปั้นหยา (อนุสารสุนทร) เรือนไม้ขนาดใหญ่สองชั้น หลังคาทรงปั้นหยาเหลื่อมซ้อนกันอย่างลงตัว ผสมผสานกับหลังคาทรงจั่ว เป็นมุขยื่นออกมาด้านหน้าของตัวเรือน หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผา (ดินขอ) ชั้นบนของตัวเรือน มีระเบียงทางเดินอยู่ด้านหน้าห้องโถงใหญ่ จนถึงด้านหลังบ้านภายในห้องโถงมีบันไดลงสู่ชั้นล่างหลวงอนุสารสุนทร และนางคำเที่ยง ชุติมา ได้สร้างบ้านหลังนี้ให้บุตรชาย คือนายแพทย์ยงค์ ชุติมา เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2467 เดิมตั้งอยู่บริเวณตลาดอนุสารสุนทร อยู่ในความครอบครองของบริษัทสุเทพ จำกัด ต่อมาทายาทได้มอบเรือนหลังนี้ให้แก่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งมูลนิธิจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ ได้ให้การสนับสนุนการอนุรักษ์และนำมาสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง ณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2547 เรือนสุดท้ายในพิพิธภัณฑ์เรือนโบราณคือ ยุ้งข้าวหรือหลองข้าวสารภี สร้างขึ้นเมื่อปี 2450 เจ้าของเดิมคือ พ่อโต (เศรษฐี) ต่อมาพ่อเมืองใจ ทองคำมา แห่งบ้านสันกลาง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ได้ซื้อและทำการปลูกสร้างในรูปแบบเดิมหลองข้าวสารภีหลังนี้ มีรูปแบบโครงวร้างเป็นแบบเดิม มีเสาไม้ 8 ต้น ยกพื้นสูงเพื่อป้องกันสัตว์ และไว้เก็บเครื่องมือการเกษตร มีทางเดินรอบส่วนที่ไว้ใช้เก็บข้าวเปลือก โครงสร้างหลังคาใช้วิธีเจาะเพื่อเข้าเดือยปลายเสา หลังคาเป็นทรงหน้าจั่วลาดต่ำ มุงด้วยกระเบื้องดินเผาปลายตัด เป็นองค์ประกอบสำคัญที่อยู่คู่กับเรือนของชาวล้านนา ใช้เก็บข้าวเปลือกไว้กินได้ตลอดปี ในปี 2550 Professor Han Jurgen Lanshol แห่งมหาวิทยาลัย Georg August Universitat Gottingen ประเทศเยอรมัน กับภรรยา เป็นผู้ออกทุนทรัพย์ในการซื้อและขนย้ายหลองข้าวนี้ มาปลูกไว้ที่ พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา เพราะเล็งเห็นว่าสิ่งปลูกสร้างที่แสดงให้เป็นถึงวัฒนธรรมล้านนาเริ่มลดน้อยถอยลงไป หวังว่าการพาเที่ยว พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณ จะให้ควสามสนุก และความรู้ให้แก่ทุกท่านไม่มากก็น้อยนะครับ-----------------------------------------------------------ขอขอบคุณท่านเหล่านี้ ที่ทำให้การเที่ยวของเราได้ความรู้มากขึ้นครับพิพิธภัณฑ์เรือนโบราณ จังหวัดเชียงใหม่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยStay Chiangmai.comปั้น "พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา" ให้มีชีวิต คมชัดลึกบทความของคุณ นภาวรรณ อาชาเพ็ชร นักประชาสัมพันธ์ สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่พาแอ่ว "เรือนล้านนา" เก่าแก่อายุนับ 100 ปี ภายในพิพิธภัณฑ์เรือนโบราณ จ.เชียงใหม่ โดย ครูทิพย์ Chubby Lawyer Tour เที่ยวไป ..... ตามใจฉัน Create Date :12 กุมภาพันธ์ 2556 Last Update :13 กุมภาพันธ์ 2556 5:24:58 น. Counter : 10315 Pageviews. Comments :2 twitter google Comment *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก โดย: Kavanich96 13 กุมภาพันธ์ 2556 4:43:32 น.เรือนโบราณสวยเนอะ นึกถึงสมัยก่อนที่ยังมีคนอยู่อาศัย คงงดงาม ร่มเย็นมาก โดย: มิลเม 13 กุมภาพันธ์ 2556 11:34:40 น.
โดย: Kavanich96 13 กุมภาพันธ์ 2556 4:43:32 น.
นึกถึงสมัยก่อนที่ยังมีคนอยู่อาศัย
คงงดงาม ร่มเย็นมาก
โดย: มิลเม 13 กุมภาพันธ์ 2556 11:34:40 น.