โควิด 19 บทเรียนที่ได้จากเวลาผ่านไป 3 ปี ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต
โควิด 19 บทเรียนที่ได้จากเวลาผ่านไป 3 ปี
ยง ภู่วรวรรณ
ราชบัณฑิต
11 ธันวาคม 2565
จากระยะเวลาที่ผ่านมา 3 ปี เราได้เรียนรู้ เกี่ยวกับโรคโควิด 19 และ
เปลี่ยนแปลงความเข้าใจมากขึ้น ดังนี้
1 โรคโควิด 19 เป็นแล้วเป็นอีกได้ การติดเชื้อซ้ำ หรือมีอาการของโรคซ้ำ
เกิดขึ้นได้ เหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่ RSV ไม่เหมือนกับโรคหัด ตับอักเสบ
เอ สุกใส ที่เมื่อติดเชื้อแล้วจะมีภูมิต้านทานป้องกันโรคตลอดชีวิต
2 ภูมิคุ้มกันหมู่ที่มีการพูดกันมาก ในระยะแรก เพื่อหวังจะยุติการระบาดของโรค
ไม่สามารถใช้ได้กับ covid-19 ถึงแม้ว่าประชาชนเกือบทั้งหมดมีภูมิต้านทาน
โรคก็ยังเกิดอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้หายไปไหน
3 โรคโควิด 19 จะเป็นโรคตามฤดูกาล สำหรับประเทศไทยจะมีจุดสูงสุดของ
การระบาดในเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน และช่วงที่ 2 ในกลางเดือน
พฤศจิกายน ถึงเดือนกุมภาพันธ์ แต่จะน้อยกว่าในช่วงแรก
4 ความหวังที่จะใช้วัคซีนในการยุติการระบาดของโรค หรือควบคุมการระบาด
อย่างในปีแรกที่คาดหวัง จึงไม่สามารถใช้ได้
5 วัคซีนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่มีวัคซีนตัวไหนเป็นวัคซีนเทพ อย่างที่ตอนแรก
ทุกคนเรียกร้อง วัคซีนทุกตัวไม่แตกต่างกัน เพียงแต่ลดความรุนแรงของโรคลง
ลดอัตราการเสียชีวิต
6 ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจากวัคซีน ไม่ว่าจะสูงต่ำที่ตรวจวัดกัน ไม่สามารถที่
จะมาป้องกันการติดเชื้อได้ ไม่มีความจำเป็นต้องตรวจวัดภูมิต้านทาน
ยกเว้นในการศึกษาวิจัยเท่านั้น
7 การดูแลที่สำคัญคงจะต้องเน้นกลุ่มเสี่ยงเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันการเสียชีวิตด้วยวัคซีน ต่อไปจะต้องเน้นกลุ่ม
เปราะบางเช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่
8 การตรวจวินิจฉัยว่าติดเชื้อหรือไม่ ปัจจุบันใช้เพียง ATK ก็เพียงพอ
ถึงแม้ว่าจะมีความไวต่ำกว่า realtime RT -PCR ด้วยข้อจำกัด
เรื่องค่าใช้จ่ายและระยะเวลา เราหมดเงินไปมากแล้ว
9 สิ่งสำคัญที่ต่อไปจะเน้นการรักษาในกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะการ
ใช้ยาต้านไวรัส ที่มีประสิทธิภาพ และเป็นไปได้ต้องการที่ดีกว่าในปัจจุบัน
การศึกษาในประชากรกลุ่มเล็กส่วนใหญ่จะได้ผลดี แต่เมื่อมาใช้จริง
กับบมีประสิทธิภาพน้อยกว่าการศึกษา เช่นเดียวกันกับวัคซีน การทดลอง
ได้ผลดีแต่เมื่อใช้จริง ประสิทธิภาพน้อยกว่าการทดลองมาก
10 ระยะเวลาการกักตัว น้อยลงมาโดยตลอด ระยะแรกต้องเข้มงวด
เรื่องการแพร่กระจายให้เป็นศูนย์ แต่ปัจจุบันโรคติดต่อง่าย จึงใช้มาตรการ
เข้มงวดและระเบียบวินัย การกักตัวอยู่ที่บ้าน ไม่ใช่โรงพยาบาลหรือ
โรงพยาบาลสนามแล้ว โรงพยาบาลจะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการมากเท่านั้น
เหมือนในภาวะปกติ
11 ในอนาคตเมื่อประชากรส่วนใหญ่ติดเชื้อ ก็จะเกิดภูมิต้านทานแบบลูกผสม
จะมีประสิทธิภาพในการลดความรุนแรงของโรคได้เป็นอย่างดี การฉีดวัคซีนบ่อย
จะไม่มีความจำเป็น ไวรัสเองก็จะเปลี่ยนพันธุกรรมไปเรื่อยๆ ภูมิคุ้มกัน
ที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้
12 กลุ่มประชากรที่ยังไม่มีภูมิต้านทานหรือไม่เคยติดเชื้อและไม่เคย
ได้รับวัคซีนเลย จะเป็นกลุ่มเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิด ขึ้นไป จนกว่าจะได้
รับวัคซีนหรือการติดเชื้อ อย่างไรก็ตามการติดเชื้อในวัยเด็ก ความรุนแรง
น้อยกว่าในวัยผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ ในวัยเด็กช่วง 6 เดือนแรก จะได้รับ
ภูมิบางส่วนส่งต่อจากมารดา เหมือนโรคทางเดินหายใจทั่วไปเช่น RSV
และก็จะเริ่มไปติดเชื้อหลัง 6 เดือนไปแล้ว
13 ระยะเวลาต่อไป ชีวิตก็จะเข้าสู่ภาวะปกติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และโรคนี้
ก็จะเป็นโรคทางเดินหายใจโรคหนึ่ง เช่นเดียวกับโรคทางเดินหายใจอื่นๆ
ที่เกิดจากเชื้อไวรัส
14 ทุกชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป และเชื่อมั่นว่า ความรุนแรงของโรคมี
แนวโน้มที่จะลดลงเหมือนกับโรคทางเดินหายใจเช่นไข้หวัดใหญ่ RSV
15 องค์ความรู้ใหม่ด้วยงานวิจัย ยังจำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
เพื่อใช้ความรู้นั้นในบริบทของประเทศไทย
Klaibann Blog newyorknurse
จนถึงวันนี้ก็มีแต่ข้อสันนิษฐานว่าเกิดจากธรรมชาติหรือหลุดจากห้องแลป
มีตัวตายตัวแทนออกมาอยู่เรื่อยๆ
เมื่อมนุษย์มีความใกล้ชิดกัน ย่อหย่อนการป้องกันเมื่อไหร่ก็จะเกิดการระบาดขึ้นเป็นรอบ ไม่รู้จักจบสิ้น แม้อาการโรคจะไม่รุนแรงเท่าตอนแรกก็ตาม