เมื่อความรวยทำร้ายสุขภาพท่าน
เมื่อความรวยทำร้ายตัว
โดย นพ.กฤษดา ศิรามพุช
คนมีสตางค์ทำอะไรไม่ผิด?
ถ้าคิดใหม่คือ...
คนมีสตางค์อาจถูกเชียร์ให้รักษาสุขภาพแบบผิดๆ
ยกตัวอย่างง่ายๆว่า ถ้าท่านยังมีสุขภาพดีก็มีคนมาเชียร์ขายวิตามินและอาหารเสริมทั้วทั้งยุทธภพ
แต่ถ้าลงป่วยเมื่อไรละก้อ
จะถูกเชียร์ให้ตรวจเยอะ ทั้งเจาะเลือด สแกนด์เข้าอุโมงค์ ส่องกล้องและอะไรต่อมิอะไรอีกมาก
เมื่อถึงคราวต้องรักษา ถ้ามีสตางค์มากก็จะมีแนวโน้มว่าท่านจะได้รับข้เสนอของการรักษาที่ " ครอบจักรวาล "
ยาเยอะๆ เอาให้หลายชนิดครอบจักรวาลเข้าไว้ ป้องกันมันไปเสียทุกโลก จนลืมไปว่าคนไข้อาจจะอิ่มยาก่นข้าว
ไม่ค่อยอยากรอดูอาการ แต่ท่านจะถูกพาไปทำการผ่าตัดได้โดยเร็วเพราะท่านมีทุนทรัพย์รองรับเพียบ
มิหน้ำซ้ำต้วท่านเองก็อาจเคลิ้มๆเชื่อไปด้วยว่า ผ่าๆไปเถอะเพราะ " มันจำเป็น "
มีหลายกรณีครับที่คนไข้อยู่ในช่วงคาบเกี่ยวว่ายังไม่ต้องกินยาก็ได้ หรือยังไม่ต้องผ่าตัด แต่เมื่อสตางค์มีที่จะจ่ายได้แล้ว แพคเกจการผ่าตัดพร้อมห้องเดี่ยวสุดหรูเพื่อพักฟี้นก็จะถูกนำมาเสนอ เผลอๆกลายเป็นเรื่องฉุกเฉินรอไม่ได้ไป
แต่ลองไม่มีสตางค์ซิครับ ข้อเสนอเปลี่ยนไปอีกแบบแน่
ยุคนี้มาเก็ตติ้งเทพยิ่งนักครับ
หรือยาที่กินก็จะถูกเชียร์ว่าใช้ยานอกดีกว่า น่าใช้ หายได้ ตบท้ายด้วย " ราคาแพง " ส่วนการผ่าตัดนั้นจะถูกจัดขีันอย่างว่องไวเพื่อให้สบายใจทั้งคนผ่าตัดและสนองนีัด (need) ของผู้มีทรัพย์
ส่วนผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนี่ง10
ภัยสุขภาพของคนมีตังค์การมีเงินมากในสังคมมีการพาณิชย์สูงอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไปครับ ความใส่ใจในเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องที่ดี แต่ท่านก็มีแนวโน้มที่จะตกหลุมดำเลายเป็น
" หนูทดลอง " โดยไม่รู้ตัว
ยกตัวอย่างง่ายๆ มีการทดลองใช้ "สเต็มเซล" ในผู้ป่วยที่มีฐานะร่ำรวยกันมากขี้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับโรคที่ยังไม่มีงานวิจัยรองรับ แต่คนไข้ก็ถูกพูดให้ฟ้งจนเคลิ้มว่าจะเป็น " ความหวังใหม่ " ที่เจิดจรัส แพงแค่ไหนก็ยอมจ่าย และยอมพลีกายเป็นหนูทดลอง แต่อย่าลืมทีเดียวนะครับว่า ถ้ามันเป็นประกายแห่งความหวังจริง แถมยังเป็นการทดลองด้วยก็ไม่น่าจะแพงบ้าเลือดเป็นหลักแสนหลักล้าน
ถ้ายันเป็นแค่การทดลองและอยากให้คนไข้หาย ไม่น่าจะขายแพงกันอุตลุด
ถ้าท่านอยากจะหยุดวงจรนี้ไม่ยากครับ ขอให้อ่านเคล็บลับต่อไปนี้ว่ามีอะไรที่จะเข้ามาหาท่านได้บ้างในชีวิต จะได้ตั้งรับไว้
1) ยาเยอะ มีแนวโน้มจะไดัรับยาที่อ้างว่าเป็น " ยาใหม่ " " ยานอก " จนฟังดูเหมือน "ยาดี" กว่าคนอื่น แต่จริงแล้วยาใหม่นั้นมีหลายชนิดมีผลข้างเคียงที่ยังไม่ทราบแน่ชัดเพิ่งถูกใช้มาไม่นาน แต่คนทีมีตังค์อาจได้สิทธิ "หนูลองยา" นั้นไปก่อนฟรีๆด้วยความเต็มใจก็ได้ครับ
2) หมอเยอะ ยิ่งคุณหมอเยอะก็ใช่ว่าจะยิ่งดีเสมอไปนะครับ เพราะอย่าลืมว่าคุณหมอแต่ละท่านก็มีแนวคิดของตัวเอง มันอาจมาพร้อมกับการเสียเลือดเลือด กินยาเยอะ และที่สำคัญคือตรวจเยอะโดยไม่จำเป็นก็ได้ครับ
3) ตรวจเยอะ นี่คือผลลัพธ์ที่ตามมะหลังจากท่านถูกพาไปตรวจจนช่ำปอดจากแผนกต่างๆสดแล้วแต่ทุนทรัพย์จะอำนวยแล้ว คุณหมอผูัเชี่ยวชาญแต่ละแผนกก็จะพาท่านไปตรวจอย่างละเอียดในสำนักของท่าน ยิ่งมากสำนักท่านก็ต้องเสี่ยงกับการเสียเลือด รับร้งสีเอ็กซเรย์จากการสแกน และหนักไปกว่านั้นคือท่านอาจจะได้รับคำตอบว่า "ตรวจแล้วไม่พบความผิดปกติ " ได้ง่ายๆ
4) เสี่ยงผ่าตัดเยอะ เมื่อพบกับคุณหมอและการตรวจแล้ว การส่งตัวไปผ่าตัดก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว ฟ้งดูว่าทุกการผ่าตัดต้องมีกฏตายตัว แต่ในความจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลยครับ ยกตัวอย่างผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี คุณหมอท่านหนี่งอาจบอกส่องกล้องได้ แต่อีกท่านบอกผ่าธรรมดาปลอดภัยกว่า พูดง่ายๆว่าท่านอาจเสี่ยงผ่าตัดได้มากหากปักใจเชื่อแต่คำแนะนำเดียว
5) สเต็มเซลล์และวิตามินต้านชราเยอะ คนมีเงินในยุคนี้ถูกรุมจากธุระกิจสุขภาพเยอะครับ เพราะของพวกนี้มีราคาสูงและเป็นธุระกิจใหญ่ในวงการสุขภาพมาก จึงถูกนำมาเชียร์ขายกันในหมูผู้มีกำลังซื้อสูง อย่างสเต็มเซลเพื่อนชะลอวัยก็ยังไม่มีงานวิจัยรับรองแตก็ถูกนำมาเชียร์ขายแม้นวงการแพทย์เอง ด้วยคำตอบเพียงอย่างเดียวคือ " เพื่อเงิน"
6) ฮอร์โมนเยอะ คนไม่อยากแก่(แต่มีเงิน) มีความหวังอยู่ในใจลึกๆว่าต้องมีของวิเศษมาชลอวัยได้ จึงทำให้ธุระกิจ "ขายความสวย" มีเม็ดเงินสะพัพมหาศาล เรื่องการฉีดฮอร์โมนแล้วช่วยให้ไม่แก่นั้นมีอยู่่จริงครับ แต่เป็นสิ่งที่ต้องแลกมา ขอท่านที่รักจำคำนี้ไว้ให้ดีครับ ว่าท่านอาจต้องแลกกับ มะเร็ง ที่มาจากฮอร์โมนและแลกกับอันตรายที่มาจากฮอร์โมนสังเคราะห์
7) เสริมสวยกันเยอะ ซื้อคอร์สมาก ยิ่งกระเป๋าคุณหนักก็ยิ่งเป็นเป้านิ่งของการขายคอร์ส สุขภาพต่างๆนาๆ เพราะว่าธุะกิจเสริมสวยอยู่ได้ด้วยการขายคอร์สครีมกวนเองราคาแพงหูฉี่ ดังนั้นถ้าคุณคนที่พร้อมจ่าย คุณก็จะต้องจ่ายอยู่เรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าจะหยุดก็ต่อเมื่อคุณหมดตัวนั้นแหละครับ เรื่องเสริมสวยนี่ต่อให้มีมากเท่ามากก็หมดได้ครับ
8) ถูกเชียร์ให้เป็นหนูทดลองของใหม่(แต่แพง) ยาใหม่ ทรีตเมนต์ตัวใหม่ วิตามินและการล้างพิษแบบใหม่ๆที่แพงแสนแพง เกิดมาเพิ่งเคยได้ยิน อาจมีบุคลากรทางแพทย์ที่ดูน่านับถือมาชักชวนให้คุฯใช้เพราะได้กลิ่นเงินที่อยู่ในกระเป๋าที่ปิดไม่มิด ชีวิตที่พร้อมจ่ายจะเข้าสู่อันตรายก็เพราะเหตุนี้ครับ ถ้าเขาทั้งรักทั้งห่วงสุขภาพของคุณจริงก็น่าจะให้ทดลองโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายมากกว่านะครับ
9) ผู้หวังดีมีเยอะ ผู้หวังดีมีที่ว่ามีทั้งจากคุณหมอเองและผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับถือ พูดถึงสรรพคุณการรักษาแบบต่างๆทั้งล้างพิษ,คีเลชั่น,ฉีดวิตามิน,กินฮอร์โมน,สแกนเลือด,ฉีดสเต็มเซลล์ให้หนุ่ม,ร้อยไหม ใช้สารพักวิธีที่เอามาแนะนำยามท่านป่วย ก็ขอให้ท่านใช้เทคนิคดูง่ายๆก็แล้วกันครับว่า "ถ้ามันดีจริงก็น่าจะถูกใช้ในโรงเรียนแพทย์ด้วย" เพราะของดีต้องมีสากลถูกไหมครับ
10) กินของดีซ้ำซาก ของดีจะเป็นผู้ร้ายได้ถ้าได้รับมากเกินไป คนมีสตางค์มักมีแนวโน้มกินดีอยู่ดี มีแนวโน้มที่จะมี ไขมันเกาะตับ นอนไม่หลับเพราะอยู่ดีก, ติดอัลกอฮอล์จากไวน์และบรั่นดี ฯลฯ นอกจากนั้นมีความสบายอาจทำให้ลืมออกกำลังกายซึ่งเป็นวิธีล้างพิษง่ายๆชั้นมาตรฐาน ในบางท่านกินโสม,หูฉลาม,ถั่งเฉ้าหรือสมุนไพรราคาแพงบ่อยครั้งจนได้รับโลหะหนักและยาฆ่าเมลงตกค้างอย่างไม่รู้ตัว ดังนั้นการกินดีอยู่ดีมากเกินไปอาจจำเป็นต้องแลกด้วยชีวิตได้ แก้ง่ายๆคือ "กินอย่างพอดี " ดีกว่าครับ
หลายท่านที่มีสตางค์บอกว่า "เสียตังค์ไม่ว่าถ้าหาย" หรือขอให้หายป่วยเถิด ท่านที่รักทราบไหมครับว่า ความคิดนี้เองที่ทำลายสุขภาพของเราได้ เพราะในโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งนำเครื่องมือที่ยังไม่ถือว่าเป็นมาตรฐานในการรักษามาใช้รักษามะเร็ง,รักษาโรคและสแกนหาโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งที่รู้ดีว่ามันไม่ใช่เครื่องมือมาตรฐาทางการแพทย์ แต่ด้วยคนไข้ที่มี "สตางค์ถึง" ก็จะถูกบรรจงเชียร์ให้ใช้ทดลอง
ต้องดูให้ดีนะครับ เพราะหลายอย่างมีผลข้างเคียงแต่ถูกปิดเงียบไว้
เสียตังค์น่ะไม่ว่าครับ แต่ถ้าเสียสุขภาพนี่มันไม่คุ้มกันเลยครับ
ถึงบรรทัดนี้หลายท่านอาจรู้สีกว่าการแพทย์มันต้องมีหลังการทั้งการให้ยาและการผ่าต้ดย่อมต้องมีกฏเกณท์
ถูกอยู่ครับ แต่มันไม่ตายตัว
คำสำคัญอยู่ที่ "ขี้นกับวิจารณญาณของแพทย์"
มันก็เหมือนกับเวลาท่านเป็ฯหวัด ท่านก็ยังรู้สีกว่าไม่ต้องกินยาได้ แต่เพื่อนรอบข้างอาจบอกให้ท่านรีบกินยาดีกว่า เห็นไหมครับแม้ตัวท่านเองก็ยังมีความคิดต่างออกไปได้
จีงไม่น่าแปลกที่คุณหมอต่งคนก็ต่างคิอของต้วเองแม้ในหลักใหญ่จะเหมือนกันแต่ในทางปฏิบัติแล้วต่างกันแน่นนอนครับ เขาจึงเรียกว่าการประกอบโรค"ศิลปะ" เพราะมันเป็นศิลป์เฉพาะบุคคลจริงๆ ขอท่านที่รักอย่าคิดว่าสิ่งนี้มีหมอเท่านั้นที่ทำได้นะครับ
ตัวท่านเองต่างหากครับคือศิลปินที่เก่งสุด นพ.กฤษดา ศิรามพุช,พบ.(จุฬา )
ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุวัฒน์นานาชาติ
American Board of Anit-aging Medicine
newyorknurse
หมอก็คือคนธรรมดาที่เรียนมาไม่ใช่เทวดา บางทีหมอก็ไม่ได้รู้ไปทั้งหมด
เดินตามทางพระพุทธเจ้า เดินสายกลางดีที่สุดค่ะ
newyorknurse Health Blog ดู Blog