"เดินออกกำลังกาย มีประโยชน์มากกว่าที่คิด
เดินออกกำลังกาย
มีประโยชน์มากกว่าที่คิด
แม้ว่า การเดิน จะไม่ได้เผาผลาญพลังงานได้มาก
เมื่อเทียบกับการออกกำลังกายประเภทอื่น ๆ
แต่ถ้าคุณเดินให้ได้อย่างน้อย 10,000 ก้าว/วัน หรือเดินประมาณ 30 นาที
และสะสมให้ได้ 150 นาที/สัปดาห์ จะช่วยในเรื่องของความดันโลหิต
หากเดินอย่างสม่ำเสมอและมากพอในแต่ละสัปดาห์
ร่างกายของคุณก็จะแข็งแรงขึ้นอย่างแน่นอน
การเดิน มีกี่แบบ?
เดินช้า มีลักษณะคล้ายกับการเดินเล่น เดินจงกรม หรือเดินซื้อของ
เดินเร็ว เป็นการเดินเร็วติดต่อกันนานกว่า 10 นาที/ครั้ง
รวมกัน 30 นาที/วัน อย่างน้อย 5 วัน/สัปดาห์
เดินแข่ง คือ เดินเร็วจนกระทั่งพูดไม่เป็นคำ คุยกันไม่รู้เรื่อง
เพราะหายใจไม่ทัน
ข้อดีของการเดิน
เริ่มต้นง่ายและประหยัด
แค่มีรองเท้ากีฬาที่ใส่สบายและเหมาะสมกับเท้าของคุณก็สามารถเริ่มได้ทันที
โดยไม่ต้องซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายราคาแพง ทั้งยังไม่ต้องหาเวลา
หรือสถานที่เฉพาะเพื่อเดิน แค่ปรับให้การเดินอยู่ในชีวิตประจำวันของคุณ
อาทิ เวลาออกไปข้างนอก ก็เลือกวิธีเดินแทนการขับรถหรือขึ้นรถโดยสารแทน
มีแรงกระแทกต่ำ
เหมาะสำหรับคนที่อยากออกกำลังกายแบบเซฟเข่า ลดแรงกระแทก
ระหว่างออกกำลังกาย เนื่องจากมีน้ำหนักตัวมากเกินไป หรือเข่าเริ่มไม่ดี
สลายไขมันในร่างกายได้เร็ว
ไขมันในร่างกายไม่ได้เริ่มเผาผลาญตั้งแต่เริ่มออกกำลังกาย
แต่ต้องออกกำลังกายไปสักระยะจึงจะเริ่มเผาผลาญ ซึ่งการเดิน
ในความเร็วที่พอเหมาะเป็นเวลา 10-20 นาที จะทำให้ไม่เหนื่อย
และส่งผลดีต่อการสลายไขมันในร่างกาย
ช่วยลดความเครียด
การเดิน จะช่วยให้สมองหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินมากขึ้น ซึ่งสารดังกล่าว
มีผลให้คุณอารมณ์ดี หรือจิตใจแจ่มใส นอกจากนี้ การเดินยังจัดว่า
เป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพมากในการขจัดความเครียดถึงขั้น
สามารถรักษาอาการซึมเศร้าได้เลย
ลักษณะการเดินที่ถูกวิธี มีอะไรบ้าง ?
สายตามองตรงไปข้างหน้าขณะเดิน ศีรษะและลำตัวตั้งตรง
ไหล่ทั้งสองข้างอยู่ในระดับตรง
แกว่งแขนซ้ายขวาสลับหน้าหลังขนานกับลำตัว มือทั้งสองข้างกำแบบหลวมๆ
มือที่แกว่งสูงระดับอกในลักษณะที่ผ่อนคลาย งอศอกเล็กน้อย ทำมุมประมาณ 90 องศา ระหว่างแขนท่อนบน-ล่าง
จังหวะก้าวเท้าควรสม่ำเสมอ และมีความต่อเนื่อง ไม่ใช่เดินๆ หยุด
อย่างน้อยควรเดินต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 20-30 นาที แต่หากเพิ่งเริ่มต้น
อาจเริ่มที่ 5 นาที แล้วค่อยๆ เพิ่มไปเรื่อยๆ
เวลาเดินให้ส้นเท้าแตะพื้นก่อน แล้วถ่ายน้ำหนักตัวไปที่ฝ่าเท้า
ที่สำคัญควรวางเท้าลงกับพื้นตรงๆ ไม่วางเท้าให้ไขว่กันมากจนเกินไป
ไม่ควรก้าวเท้ายาวจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดความเมื่อยล้า
ที่กล้ามเนื้อต้นขาและสะโพกมากกว่าปกติ
หากต้องเดินขึ้นเนิน ควรเดินช้าลง และเอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย
เมื่อเดินลงเนิน ให้พยายามควบคุมความเร็วก้าวสั้นๆ และวางเท้าให้เบา
เห็นประโยชน์ของการเดินแล้ว คุณก็ลองชวนเพื่อน ชวนคนในครอบครัวมา
เดินไปด้วยกันได้นะคะ จะได้มีสุขภาพแข็งแรงไปด้วยกัน
ขอขอบคุณ
ข้อมูล :เครือข่ายคนไทยไร้พุง
https://www.sanook.com/health/12517/
******
สุภาษิตจีนกล่าวว่า
คนจะแก่ขาแก่ก่อน
เดิน ๆ ๆ เดินให้ได้ทุกวัน
ธรรมชาติกำหนดให้เท้าเป็นผู้รับใช้
ตลอดชีวิต
ชีวิตความร่วงโรยจากการแก่ชรา
จะเริ่มจากเท้าขึ้นมา...
...จงทำให้ขาทั้งสองของท่านแข็งแรง
และคล่องแคล่วว่องไวอยู่เสมอ..
▪︎ในขณะที่เราร่วงโรยลงทุกวัน ขาทั้งสอง
ของเราต้องแข็งแรงอยู่ตลอดเวลา เราไม่
ควรกังวลไปกับเผ้าผมที่เปลี่ยนเป็นสี
ดอกเลา ผิวหนังและผิวหน้าที่เหี่ยวย่น
▪︎วารสารชื่อดังของสหรัฐชื่อ Prevention
ได้สรุปไว้ว่า คนที่อายุยืนยาวนั้น
การมีกล้ามเนื้อขาที่แข็งแรง ถือเป็นปัจจัย
ที่สำคัญที่สุด...
จงออกกำลังด้วยการเดินทุกวัน...
▪︎หากคุณไม่ขยับแข้งขยับขาสักสองอาทิตย์
ความแข็งแรงของขาของคุณขะลดลงไป
10 ปี...จงเดินเถิด...
▪︎มหาลัยโคเปนเฮเก้นที่เดนมาร์ก ได้ศึกษา
พบว่า ไม่ว่าคนหนุ่มหรือคนแก่ หากไม่
เคลื่อนไหวตัวเองเลยราวสองสัปดาห์
จะทำให้กล้ามเนื้อขาอ่อนแอลงไปราว
หนึ่งในสาม ซึ่งจะเทียบเท่ากับการชราภาพ
ลงไปถึง 20-30 ปี...
ดังนั้น จงออกแรงเดินเสมอ...
▪︎เมื่อกล้ามเนื้อขาเราอ่อนแอลง การฟื้นตัว
จะใช้เวลานานมาก แม้ว่าเราจะพยายาม
ฟื้นฟูร่างกายและออกกำลังกายในภายหลัง
ก็ตาม...
จงตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไป...
▪︎ด้วยเหตุนี้ การออกกำลังกายด้วยการ
เดินเสมอ จึงสำคัญมาก
▪︎ร่างกายทั้งร่างและน้ำหนักตัวของเรา
ต่างมีขาทั้งสองประคองเอาไว้
▪︎ขาทั้งสองจึงทำหน้าที่เป็นเสาหลักที่รับ
น้ำหนักทั้งหมดของตัวเรา...จงเดินต่อไป...
▪︎ที่น่าสนใจคือ 50% ของกระดูกและ
50% ของกล้ามเนื้อ ต่างอยู่ที่ขาทั้งสอง
ของเรา...จงอย่าหยุดเดิน...
▪︎ส่วนของข้อต่อและกระดูกที่ใหญ่และ
แข็งแรงที่สุด อยู่ที่ขาทั้งสอง...
จงเดินวันละหมื่นก้าว...
▪︎กระดูกและกล้ามเนื้อขาที่แข๊งแรงและ
ข้อต่อที่ยืดหยุ่นได้ดี เป็นองค์ประกอบ
ที่สำคัญของ "สามเหลี่ยมดุจเหล็ก" ที่ทำ
หน้าที่รองรับน้ำหนักทั้งหมดของร่างกาย
▪︎70% ของกิจกรรมทางร่างกายและการ
เผาผลาญพลังงานของร่างกาย
ใช้ขาทั้งสองเป็นหลัก
▪︎ใครรู้บ้างว่า เมื่อเรายังมีอายุน้อย ต้นขา
ของเราไม่ว่าหญิงหรือชาย สามารถจะยก
รถยนต์ขนาดเล็กที่หนักได้ถึง 800 กก.
▪︎ขาของเราคือ จุดศูนย์กลางของการ
เคลื่อนไหวของร่างกาย
▪︎ขาทั้งสองของเราประกอบไปด้วย 50%
ของเส้นประสาท 50% ของเส้นโลหิต
และ 50% ของระบบโลหิตที่ไหลเวียน
ผ่านเท้าทั้งคู่...
▪︎เท้าทั้งสองจึงเป็นระบบไหลเวียนที่ใหญ่
ที่สุดที่เชื่อมโยงทั้งร่างกายเข้าด้วยกัน..
.จงเดินต่อไป...
▪︎เมื่อเท้าทั้งสองแข็งแรง จะทำให้เลือด
หมุนเวียนได้ดีและกล้ามเนื้อขาเข้มแข็ง
ซึ่งทั้งหมดจะทำให้หัวใจแข็งแรง...
จงเดินต่อไป..
▪︎การชราภาพเริ่มจากเท้าขึ้นไป
ยังส่วนบนของร่างกาย
▪︎เมื่อเราแก่ตัวลง ความแม่นยำและความ
รวดเร็วในการส่งคำสั่งระหว่างสมองกับเท้า
ทั้งสอง จะลดลง...ไม่เหมือนตอนที่ยังมี
อายุน้อย...จงเดินต่อไป...
▪︎นอกจากนั้น ส่วนที่เรียกว่า Bone
Fertilizer Calcium ที่สูญเสียไปตาม
กาลเวลาเมื่อเราแก่ตัวลง จะทำให้คนแก่
กระดูกหัก (bone fractures)ได้ง่าย...
จึงควรเดินต่อไป...
▪︎อาการกระดูกหักของคนแก่อาจนำไปสู่
อาการที่ยุ่งยากซับซ้อนอีกหลายอย่าง
ที่ร้ายแรง อาทิเช่นอาการเส้นเลือด
ในสมองอุดตัน (brain thrombosis)
▪︎รู้กันบ้างไหมว่า 15% ของคนแก่ที่มี
อาการกระดูกต้นขาหัก จะเสียชีวิตไป
ในเวลาไม่เกินหนึ่งปี...
จงเดินทุกวันอย่าได้ขาด...
▪︎การเดินออกกำลัง ไม่มีคำว่าสายไป
แม้คุณจะอายุเกิน 60 ไปแล้ว
▪︎แม้กำลังขาของเราจะเสื่อมลงตามกาลเวลา แต่การเดินถือเป็นภารกิจ
ตลอดชีวิตของเรา...
จงเดินให้ได้ถึง 10,000 ก้าว...
▪︎หากเราเดินเพื่อทำให้เท้าแข็งแรง
จะช่วยให้ขาของเราลดการอ่อนแอลง...
จงเดินตลอด 365 วัน...
▪︎จงเดินอย่างน้อย 30-40 นาทีทุกวัน
เพื่อให้เท้าทั้งสองได้ออกกำลัง
และทำให้กล้ามเนื้อขาแข็งแรงเสมอ
Health blog newyorknurse
สวัสดียามเช้าครับพี่น้อย
ผมชอบเดินมากๆเลยครับ
เป็นการออกกำลังกายที่ผมรู้สึกว่าเหมาะกับตัวผมมากจริงๆ