Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2565
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
22 ตุลาคม 2565
 
All Blogs
 
SPITI (ปี 3) เทรกย้อนทิศไป Demul







ที่ Demul อาจหาที่พักลำบากหน่อย ช่วงนี้ชาวบ้านเขากำลังวุ่น ๆ กับงานในที่นากันหมด
ก่อนแยกย้ายเดินกันไปคนละทาง นายโปรตุเกสเตือนให้รู้ถึงสถานการณ์ของหมู่บ้านที่หมาย
ของเราที่กำลังจะเดินทางไปเยือนในฐานะของคนที่เคยแวะพักมาก่อน “ส่วนของผมอ่ะ
ไม่ยากเท่าไหร่ เพราะได้คอนแทคจาก kaza ล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว”



 

จาก Lalung ไปถึง Demul ผ่านการเดินทางเข้าถึงนั้น จำเป็นจะต้องเดินลงเนินเขา
ไปสู่พื้นล่างให้ได้เสียก่อน โดยไม่จำเป็นว่าจะเดินไปตามทาง หรือลัดไถลลงเนินไปเรื่อย 
จากนั้นก็เดินข้ามแม่น้ำ Lingti ด้วยสะพานไปอีกฝั่ง กระทั่งเจอกับสะพานไม้ผุพังที่วาง
พาดทางน้ำไหล แล้วเดินขึ้นเนินเขาไปเรื่อย ๆ กระทั่งเจอกับที่ตั้งของหมู่บ้านด้านบน


ถึงเราจะออกมาจากที่พักในช่วงสายของวัน ไล่หลังรถเมล์ที่บึ่งออกจากหมู่บ้าน Lalung
ไปตั้งแต่ไก่โห่ การเดินทางที่ไม่ต้องรีบแข่งทำเวลากับใครก็พาเราลงมาถึงยังด้านล่าง
ตอน 10 โมงเช้า เลยผ่านสะพานข้ามแม่น้ำสะพานแรกที่เป็นพื้นไม้ไปเพราะดูชำรุดเกิน
กว่าจะใช้งานได้ ถัดจากสะพานใหม่ที่มีโครงสร้างเป็นเหล็ก มีหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
ตั้งอยู่ห่างไปจากตรงนั้นไม่ไกล




⭗ สะพานข้ามแม่น้ำ Lingti ทั้งสองจุด




⭗ หมู่บ้าน Rama ที่ตั้งอยู่ถัดไปไม่ไกลจากสะพานใหม่
 



หมู่บ้าน Rama ที่ว่าไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่เพราะอยากเข้าไปสำรวจพื้นที่อื่น ๆ ที่ไม่ใช่จุด
ท่องเที่ยวบ้างและที่สำคัญก็คืออยากพักเหนื่อยก่อนออกแรงเดินขึ้นเขาที่มีคนเตือนไว้ว่ามันชันมาก
ด้วยแหละ หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่กลางทางระหว่าง Demul และ Lalung แต่ด้วยตำแหน่งของสะพาน
ที่เลยพ้นห่างจากนี้ไปหลายเมตร  บางทีนักเดินทางก็อาจผ่านเลยจากไปโดยที่ไม่แวะด้วยซ้ำ

มีผู้คนอยู่เพียงไม่กี่รายในช่วงเวลานี้ สาวชาวบ้านรายหนึ่งเดินจูงเด็กผ่านมาและไม่ได้ทักทายอะไรเรากลับ
หลังจากที่พยายามโบกมือส่งให้อย่างเก้ ๆ กัง ๆ ให้เห็นจากระยะไกลก่อนเดินเข้าหมู่บ้าน แต่แล้วเธอก็ออก
มาจากที่พักอีกครั้งตามเสียงทักทาย ในครั้งนี้เดินมาพร้อมกับญาติอีกคน เมื่อไม่รู้จะเริ่มคุยอะไรกันดีเราเลย
หยิบเอาแผนที่มากางเพื่อถามถึงชื่อตำแหน่งที่กำลังยืนอยู่ 

“ที่นี่คือ หมู่บ้าน Rama”

สาวชาวบ้านอีกรายที่สื่อด้วยภาษาอังกฤษคล่องแคล่ว
ช่วยลงพิกัดให้รู้และคาดเดาถึงที่หมายถัดไป

“เธอจะเดินไปที่ Lalung ใช่มั้ย?”

เมื่อบอกถึงจุดหมาย ซึ่งเป็นทิศทางตรงกันข้ามกับที่ผู้คนเขาเลือกใช้กันว่าจะไปที่ Demul
พันดอล ที่ทำหน้าที่เป็นล่ามจำเป็นให้ก็ถามถึงเรื่องน้ำที่มีอยู่ในกระบอกของเรา อาสาเอา
ไปเติมเพิ่มให้ หลังจากส่งกระบอกน้ำให้เธอก็เข้าไปยังบ้านอีกหลังที่อยู่ตรงข้ามกัน ตะโกน
คุยกับเจ้าบ้านที่นั่งด้านใน คาดว่าคงเป็นญาติกัน ก่อนยื่นส่งกระบอกน้ำที่เติมน้ำอุ่นจนเต็ม

พร้อมบอกว่า อาม่าชวนให้ไปนั่งดื่มชาด้วยกันด้านใน
 




⭗ อาม่า ผู้ดูแลบ้านหลังนี้กำลังหันไปเตรียมชามาต้มเลี้ยงต้อนรับ


เราเข้ามานั่งอยู่ในบ้านของอาม่า หญิงสูงวัยที่กำลังหุงนึ่งบางสิ่งทิ้งไว้ในซึ้ง และหันมาต้มชาให้กับ
คนแปลกหน้า พลางพูดซักถามกับพันดอลและน้องผู้หญิงอีกคนที่เข้ามานั่งเป็นเพื่อน  เมื่อพูดถึง ชา
ที่ได้ดื่มในหุบเขาสปิติ โดยทั่วไปมักจะทำรูปแบบ Chai ของอินเดียที่เป็นชานมต้ม แต่ก็แทบไม่ค่อย
ได้กลิ่นเครื่องเทศเสียเท่าไหร่ วัตถุดิบที่ใส่ก็เป็นไปตามภูมิภาคของเขานั่นแหละ เจอมากสุดก็ชานมใส่ขิง
(Adrak Chai) แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่ชาใส่นมแบบธรรมดา ๆ แต่ถ้าอยากจะลองดื่มชาแบบพื้นเพเดิมล่ะก็
คงเป็นชาเนย (Butter tea) หรือที่เรียก Solja โซลจา ในภาษาถิ่นและมีความหมายตรงตัวว่าชารสเค็ม    

 

ระหว่างนั่งพัก อาม่าถามไถ่ใว่าจะเดินไปไกลถึงไหน บ้านอยู่ไหน แล้วมายังไง โน่นนี่ถึงจะมีติดขัด
อยู่บ้างในเรื่องการสื่อสาร แต่ดูเหมือนแกก็อยากจะคุยด้วยนาน ๆ เลยล่ะ  ช่วงนั้นจะมีเจ้าเด็กทะโมน
อยู่สองสามราย ที่มาแอบฟังเราคุยกันตรงหน้าประตู พวกเขาชะเง้อมองคนแปลกหน้าที่อยู่ ๆ ก็กลาย
มาเป็นแขกมาเยือนบ้านคุณยายแบบปุบปั่บ  ด้วยความเอ็ดตะโรและแบบเด็ก ๆ ที่แอบมาป่วน ยายก็
ปวดหัว จึงหันไปดุและบอกให้พันดอลปิดประตูบ้านซะเดี๋ยวนั้น

 

หลังดื่มชากินขนม และพูดคุยกันไประยะนึงก็ต้องออกเดินทางต่อ อาม่าให้ Tingmo 
(แบบเดียวกับหมั่นโถวแต่คนที่นี่เรียกมันว่า ทิงโม่) แถมมาอีกสามชิ้น พร้อมราดซอสพริก
ให้เสร็จสรรพ ถึงจะยืนยันว่ามีของกินที่ได้มาจากที่พักเก่าอยู่แล้ว  แกกำชับว่าพกไว้เผื่อ
เป็นเสบียงระหว่างเดินทางเยอะ ๆ ก็เลยเข้าไปกอดแกเพื่อบอกขอบคุณ

พันดอลให้ที่อยู่และเบอร์ติดต่อไว้ เธอบอกว่าถ้ามือถือใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตได้เมื่อไหร่
ก็ทักมาหาทาง whatsapp ได้เลย โอ้โห…เดี๋ยวนี้สัญญาณ 4Gของซิมมือถืออินเดียมา
ไกลถึงหุบเขาสปิติแล้วโว้ยยย


จากหมู่บ้าน Rama ย้อนกลับมายังสะพานข้ามแม่น้ำเพื่อเริ่มต้นเดินทางแข่งกับเวลา
อย่างเต็มรูปแบบ คนพื้นที่บอกว่าปกติจะใช้เวลาเทรกราว ๆ 2 ชั่วโมง คำนวนการเดินระดับ
หอยทากแล้วก็น่าจะคูณสองเผื่อไว้ก่อนเลยละกัน ก่อนที่จะเลี้ยวข้ามสะพานก็เจอนักท่อง
เที่ยวสองรายกำลังนั่งพักพิงกับแท่นปูนเพื่อหลบแดดและพักเหนื่อย หลังเข้าไปทักก็พบว่า
พวกเขาจะเทรกไปที่ Lalung  (เหมือนทุกคนจะใช้เส้นทางเดียวกับนายโปรตุเกสหมดเลย!)


ข้ามฟากไปที่ฝั่งตรงข้าม แรก ๆ ก็ยังดูไม่มีอะไรมาก มีแนวต้นไม้ที่กำลังจะเปลี่ยนสีและเสียง
น้ำจากทางน้ำไหลให้พอรู้สึกผ่อนคลายได้บ้าง ลึกเข้าไปมากกว่านี้มีร่องรอยการวางสายไฟ
ขึ้นเสา น่าจะเป็นเรื่องของการวางระบบไฟฟ้าอะไรประมาณนี้


 

 



⭗ สะพานไม้พัง ๆ ที่เป็นเหมือนกับเป็นด่านแรกในการเทรกขึ้นที่สูง




⭗ เมื่อขึ้นมาได้ระยะหนึ่ง จะเห็นรอยทางเดินที่ภูเขาฝั่งตรงข้ามปรากฏอยู่คงน่าจะเชื่อมไปยังหมู่บ้านสักแห่ง 

 

สะพานพัง ๆ ที่พาดข้ามทางน้ำไหล ด่านแรกที่ต้องเจอก่อนเดินขึ้นเนินเขาที่สูงชัน
รอยเท้านักเดินทางที่จิกเท้าลงพื้นเดินขาลงจนดูเป็นร่องบนดิน  เป็นเหมือนกับช่วย
ทำเส้นประพอเป็นแนวทางให้เดินย้อนรอยได้ไม่ยาก จากความรู้สึกส่วนตัวแล้ว ระดับ
ความชันของเส้นทางนี้การเดินลงน่าจะลำบากมากว่า มันสามารถพลัดลื่นได้ง่าย ๆ
ต่างไปจากการเดินขึ้นที่ยังสามารถใช้มือช่วยปีนป่ายได้บ้าง

 

ได้หยุดแวะพักดื่มน้ำ กินอาหาร ตรงกลางทาง ใกล้ ๆ กับช่วงรอยต่อของร่องเขาที่ต้อง
เดินเชื่อมโยงไปอีกฝั่งนึง บริเวณนั้นพอมีโขดหินและพุ่มไม้ให้นั่งพักพอดี เสบียงตอนนั้น
มีทั้งอาหารจากทั้งบ้านพักและบ้านอาม่า ซึ่งก็เยอะจนเหมือนกับว่าถ้าหากเย็นนี้ยังไปไม่
ถึงหมู่บ้าน ยังไงก็ไม่อดตายแน่นอน หลังจากใช้แรงออกเดินนานเป็นชั่วโมงและยังไม่
เจอกับมนุษย์รายใดสวนผ่านมาระหว่างนั้น (เว้นแต่พนักงานเดินสายไฟ สองสามรายตรง
พื้นที่ด้านล่าง) เราจึงไม่สามารถนั่งเอกเขนกพักผ่อนให้นานตามที่คิดได้ เพราะไม่รู้ว่า
ปลายทางยังอยู่อีกไกลแค่ไหนน่ะสิ



 

 

เจ้าของเสียงฝีเท้าที่ดังมาจากเนินเขาด้านหลังปรากฏตัว

ขณะที่พักเดินและแอบอู้มาถ่ายรูปดอกไม้กลางทาง ก็มีเสียงเดินซวบซาบจากเนินบน
ดังใกล้เข้ามา ตามภูเขาสูงก็มักจะมีสัตว์ประจำถิ่น และตัวที่โผล่มาให้เห็นครั้งนี้น่าจะเป็น
Bharal (Himalayan Blue Sheep) ทีแรกก็เห็นตัวเดียวก่อน แต่สักพักก็พากันมาวิ่งเล่น
กันเยอะเลย ไม่รู้ว่าเห็นคนจนชินหรือเพราะเราเดินมาผิดเวลาและทิศทาง เลยได้จังหวะ
เจอกันโดยบังเอิญ


 



⭗ ดอกไม้ป่าสีม่วงที่มาขึ้นอยู่บนพื้นที่เขาสูง 




⭗ ตัว Bharal ดารารับเชิญที่โผล่มาแบบไม่ได้นัดหมาย 




⭗ สายเชือกเส้นยาวที่ประดับไปด้วยธงมนตรสีซีดจางที่โยงพาดอยู่ด้านบน




⭗ หน้าตาของหมู่บ้าน Demul ที่ได้เห็นเป็นครั้งแรก 




[VDO] : อันนี้ลองเอาภาพกับวิดีโอสั้นตอนเทรกมารวม ๆ กันไว้นะ 

 

มีสัญญาณแจ้งบอกให้รู้กลาย ๆ ก่อนถึงที่ตั้งของหมู่บ้าน
เราเห็นธงมนตราที่ผูกพาดโยงอยู่ด้านบน สิ่งก่อสร้างขนาดเล็กคล้ายเจดีย์ประจำหมู่บ้าน

มีเสียงเหมือนมีคนหมุนกงล้ออธิษฐานขนาดใหญ่ดังมาแต่ไกล  เสียงคนร้องเพลงพึมพำ ๆ
ฟังไม่ได้ศัพท์…พอได้ยินแล้วก็เริ่มชัดเจนว่าที่ด้านบนนั้นมีการตั้งถิ่นฐานของผู้คนแน่นอน


 

 

เมื่อขึ้นไปถึงข้างบน ก็พบว่าเจ้าของเสียงร้องนั้นมีมากกว่าหนึ่งบ้าน เป็นการร้องเพลง
ระหว่างนวดข้าวด้วยกรรมวิธีดั้งเดิมด้วยแรงงานสัตว์ บนพื้นที่สูงข้าวที่ปลูกจะเป็นบาร์เลย์
ม้าและลา จะผูกล่ามให้เรียงเป็นแนวหน้ากระดาน ย่ำวนไปรอบ ๆ เป็นวงกลมและวนไปเรื่อย
ผู้ควบคุมจะเดินตามและส่งเสียงร้องเพลงและบางครั้งก็ใช้ไม้ฟาดก้นม้าที่แอบอู้ หรือก้าว
เท้าไม่ทันเพื่อนดังเพี๊ยะ ๆ

 

คนอื่นที่ยืนช่วยกิจกรรมนี้ พวกเขาจะถือไม้สามง่ามโกยบาร์เลย์ที่ตกกระจัดกระจายรอบ
นอกเหวี่ยงโยนเข้าไปในรัศมีการย่ำ บรรดาเมล็ดข้าวที่ร่วงหลุดออกจากรวงก็จะทำการเก็บ
แยกในภายหลัง ในช่วงเวลานี้ผู้คนในหมู่บ้านต่างวุ่นอยู่กับงานในนากันอย่างมาก ตรงตาม
คำบอกเล่าที่ได้ยินก่อนมา

 

เรายืนมองดูการดำเนินงานของกลุ่มชาวนา ที่กำลังจัดการกับผลผลิตของพวกเขาที่ได้เพาะ
ปลูกบนความสูงเหนือระดับน้ำทะเล ตามจังหวะชีวิตที่ถูกกำหนดผ่านฤดูกาล  ในแต่ละปี
ชาวสปิติจะมีช่วงเวลาในการทำงานเพื่อหารายได้เพียงแค่ 5 เดือนต่อหนึ่งปีเท่านั้น 
ส่วนช่วงที่เหลือและตลอดฤดูหนาวในพื้นที่แถบนี้ก็ขาวโพลนไปด้วยหิมะ จะเหลือแต่
กิจกรรมท้องถิ่นที่จัดเฉลิมฉลองกันเองภายใน เช่น งานแต่งงาน, งานเทศกาลโลซาร์
(Losar) เป็นต้น


ถ้าหากมีเงินเก็บมากเพียงพอชาวสปิติบางครอบครัวก็เลือกที่จะออกไปข้างนอกกันเพื่อหนี
อากาศหนาว ๆ และท่องเที่ยวพักผ่อนประจำปี เราถูกเตือนมาว่าอย่าได้ไปต่อราคาโฮมสเตย์
ของชาวบ้านเลยเพราะพวกเขามีเวลาหารายได้ต่อปีแค่ไม่กี่เดือน



 



⭗ วิธีการนวดข้าวแบบดั้งเดิม 
 


⭗ คุณป้าที่ยืนอยู่ในบริเวณลานนวดข้าวเดินมารินชาจากกระติกใส่แก้วเพื่อส่งให้เราดื่ม


 

เดินวนหาที่พักแทบจะรอบหมู่บ้านแล้วก็ไม่เจอผู้คน มีแต่กลุ่มเด็กที่ชวนเล่นกระโดดจากแนว
กำแพงบ้านร้างที่ผุพังหลังนึง ไม่มีใครรู้เรื่องโฮมสเตย์สักราย ได้แต่ชวนเราไปกระโดดเล่นด้วย
กระทั่งต้องเผ่นหนีออกมา เดินอ้อมไปเจอกับบ้านหลังหนึ่งที่มีผู้หญิงวัยกลางคนนั่งหวีผมที่ยาว
สยายหน้าบ้านกับเด็กน้อยที่ป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ พอถามถึงบ้านพักในหมู่บ้านนี้ เธอก็ทำบอกใบ้
ให้รอที่นี่และใช้ให้เด็กเดินไปตามใครสักคนก่อน

 

สักพักหนึ่ง ก็มีเด็กสาวที่ดูแลบ้านหลังถัดไปไม่ไกลจากนี้เดินมาและชักชวนให้เราตามเธอไป
ที่บ้านซึ่งอยู่ไกลถัดจากตรงนี้ไม่มากนัก น้องเปม่า ผู้คอยดูแลบ้านหลังดังกล่าวพาเดินเข้าไปยัง
ใต้ถุนที่มีแต่กองฟางสุมอยู่ด้านล่าง  ปีนบันไดไม้ทะลุขึ้นไปยังตัวบ้านชั้นสอง ซึ่งใช้เป็นที่อยู่
อาศัยและมีห้องหับแยกเป็นสัดส่วน รวมถึงห้องน้ำแบบท้องถิ่นก็จะตั้งอยู่ที่ชั้นนี้เช่นกัน
เปม่าเปิดห้องหนึ่งให้เราเข้าไปพัก เธอว่าเป็นห้องของพี่สาวเธอเอง และที่ผนังห้องมีรูปผู้หญิง
รุ่นราวคราวเดียวกับเปม่าสวมชุดพื้นเมืองแขวนไว้รูปนึง น้องบอกว่าเป็นรูปพี่สาว

 

เปม่า แนะนำตำแหน่งอื่น ๆ ในบ้านให้รู้อย่างเช่น ห้องน้ำ และห้องรับแขกสำหรับมานั่งผิงไฟ
และกินข้าวร่วมกัน ส่วนทางบันไดที่ทำพาดทะลุเพดานอีกชั้นจะเป็นดาดฟ้า มีกิ่งก้านของพืช
ตระกูลถั่วและกองฟางสำหรับใช้อาหารสัตว์ มัดผุกไว้อย่างเป็นระเบียบแล้วมาวางซ้อนเรียง 

แต่ก็ไม่ถึงกับเต็มพื้นที่่ทั้งหมดเพราะยังไม่หมดฤดูเก็บเกี่ยว เธอว่าถ้าซักผ้าแล้วให้เอามาวาง
ตากผึ่งลมที่นี่ได้เลย





⭗ แกะจากบ้านไหนก็ไม่รู้ แอบดอดอมาเล็มพืชผักที่ชาวบ้านปลูกไว้ในแปลง 




⭗ มุมหน้าต่างในห้องพัก  




⭗ พี่สาวของเปมาในชุดท้องถิ่น 
 



⭗ ภาพจากบนดาดฟ้าของบ้าน ที่ตั้งของบ้านเปม่าก็อยู่ไม่ไกลจากลานนวดข้าว จุดเดียวกับที่เราไปยืนดูเมื่อครู่นี้นั่นเอง
 



⭗ เครื่องเรือนในห้องครัว / ห้องรับแขก ที่มุมขวาของห้องนี้มีจุดซักล้าง รวมถึงใช้เป็นที่ล้างหน้าแปรงฟันของคนในบ้าน
แปลกใจกับโปสเตอร์รูปสัตว์ทะเลชนิดต่าง ๆ ที่ติดไว้บนผนังบ้านนั่น (หมายเหตุ : หุบเขาสปิติไม่ใช่พื้นที่ติดทะเล แต่ใน
ยุคก่อนหน้านั้น บริเวณนี้เคยเป็นทะเลมาก่อน)





หลังได้รับชาร้อนมาดื่มและเปม่าขอตัวไปช่วยงานในนา ก่อนไปเราหยิบเอาอาหารที่เหลืออยู่ในเป้ออกมาให้
ไม่ใช่ส่งต่อหรอกนะ แต่ฝากเปม่าเอาไปให้วัวกินต่อที (ส่วนมากแล้วเศษอาหารเหลือ ๆ ของคนที่นี่ จะถูกนำ
ไปให้พวกวัวที่เลี้ยงตามบ้านมาช่วยกำจัด
) แล้วจากนั้นเราก็ถือโอกาสชาร์จแบตเตอรี่กล้องและงีบหลับไปครึ่ง
ชั่วโมง พักเอาแรงก่อนที่จะออกไปเที่ยวรอบหมู่บ้านที่หลัง รวมไปถึงหาจุดซักผ้า

 

ตอนเกริ่นถามเรื่องซักผ้ากับเปม่า ทีแรกน้องบอกว่าจะไปตักน้ำมาให้ซักบนบ้าน ในห้องรับแขกจะมีพื้นที่เล็ก ๆ
ตรงพื้นมุมหนึ่ง ที่ทำแบ่งไว้ล้างจาน ล้างหน้าแปรงฟัน และซักล้างกันตรงนั้น  ด้วยความเกรงใจและคิดว่าจะ
เปลืองน้ำสำรองที่พวกเขาต้องแบกขนมาใส่ถังรองไว้ต่อหน แยกเป็นน้ำดื่มถังนึง น้ำใช้ถังนึง ก็เลยถามถึงจุด
ที่มีน้ำไหลของหมู่บ้าน มันน่าจะมีสักที่ที่ผู้คนจะแบกถังไปรองน้ำที่ว่ามาใช้กัน เปม่าชี้ไปยังเนินด้านล่างถัดไป
ไม่ไกลจากบ้านและลานนวดข้าวจะมีท่อส่งน้ำต่อตรงมาจากบนเขาที่ใช้ซักล้างได้ ว่าแล้วน้องก็หยิบกาละมัง
ใบเล็กกับสบู่ซักผ้าและแปรงมาให้แทน





⭗ จุดปล่อยน้ำที่ต่อท่อเชื่อมแหล่งน้ำมาจากบนเขา จุดเดียวกับที่มาซักผ้าในช่วงบ่ายของวัน



เราหอบเอาเสื้อผ้าเดิมที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนมาซักช่วงเวลาบ่ายแก่ของวัน ถึงการเทรกข้ามหมู่บ้านไปเรื่อย ๆ
แบบนี้จะยากต่อการหาน้ำอาบ เสื้อผ้าที่พกสำรองมาก็มีแค่สองชุด ใส่นอนตัวนึงและใส่ตอนออกเดินทาง
อย่างหลังสุดนี้จะค่อนข้างมอมแมมและเลอะสุด ๆ ระหว่างที่กำลังซักผ้าตรงจุดปล่อยน้ำตามลำพัง ก็เพิ่ง
สังเกตเห็นถังไม้ใบหนึ่งที่วางรองน้ำตั้งไว้ตรงพื้นใกล้ ๆ และครู่หนึ่งก็มีลาสองตัวเดินมาจากด้านหลังหยุด
ยืนมองคนต่างถิ่นกำลังนั่งซักผ้าและก้มลงดื่มน้ำจากถังไม้ ที่ตั้งห่างจากศอกเราเพียงแค่หนึ่งฟุตเท่านั้น
ถ้าง้างแขนสูงอีกนิดก็จะชนหัวลาได้เลย…เป็นการแบ่งปันพื้นที่ใช้งานได้น่ารักจริง ๆ คนก็ซักผ้าไป ลาก็
กินน้ำดื่มจากถังไม้ของมันไป ... ใกล้ชิดธรรมชาติเกิ๊นนน

 

 

เสร็จสิ้นภาระกิจซักผ้า ก็หาเรื่องไปเดินเล่นตรงพื้นที่อื่นบ้าง ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้อากาศเย็นเฉียบ
เย็นเจี๊ยบแต่หัววัน เงยหน้ามองท้องฟ้าก็ไม่เปิดสักเท่าไหร่ เมฆครึ้มมาเลย ว่าแต่เมฆครึ้มแล้ว
ยังไงล่ะ? หุบเขาสปิติเป็นพื้นที่เงาฝน ถ้าดูจากสถิติการเกิดฝนตกที่นาน ๆ ครั้งจะมีขึ้นแถวนี้
ตกเทซู่ให้เห็นลงมาก็คงถือเป็นเรื่องเหนือคาดสุด ๆ ไปเลย

 

ด้วยความที่มาถึง Demul ด้วยการเดิน เลยนึกไม่ออกว่าพวกที่นั่งรถขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นรถโดยสาร
หรือรถรับจ้างจะเชื่อมเส้นทางขึ้นหมู่บ้านบนเขานี้กันยังไง พอมาเจอปากทางเข้าหมู่บ้านที่มีเส้น
ถนนตัดผ่านก็เริ่มเห็นบรรดารถยนต์ที่จอดพักแถว ๆ นี้เยอะแยะ สอบถามเรื่องรถประจำทางจาก
ชาวบ้าน ณ ขณะนั้นจะมีคิววิ่ง Kaza-Demul มาถึงหมู่บ้านแค่ จันทร์-อังคาร-พุธ รอบ 5 โมงเย็น

เท่านั้น (และขากลับ Demul-Kazaจะเป็นเช้าของวันถัดไป) โดยมีระยะทางไกลกันแค่ 32 กม. 

 

ดูเหมือนว่ากิจกรรมนวดข้าวช่วงเวลาบ่ายสี่จะเริ่มสิ้นสุดลงแล้ว แต่ชาวบ้านยังคงทำงานตรงที่
ลานนวดข้ามเช่นเดิม หนนี้ใช้ไม้สามง่ามโกยซังข้าวโยนขึ้นกลางอากาศตามสัญญาณการผิว
ปากที่ส่งจังหวะการยกไม้ขึ้นพร้อม ๆ กัน เศษฟางที่คัดแยกออกมาแล้วจะนำมาโกยใส่กระสอบ
และยกแบกไปยังเนินหลังบ้าน

จากที่เห็น บริเวณเนินข้างหลังบ้านแต่ละหลังจะการเจาะช่องเล็ก ๆ ไว้สำหรับเชื่อมต่อกับใต้ถุน
พวกเขาจะโกยเศษฟางเหล่านั้นลงผ่านช่องดังกล่าว แล้วจึงค่อยไปจัดการมัดรวบเพื่อเก็บให้เป็น
ระเบียบภายหลังอีกที




 



⭗ ซุ้มหน้าหมู่บ้าน Demul บริเวณหน้าถนน จะเห็นว่ามีพื้นที่สำหรับจอดรถด้วย




⭗ อาคารบ้านเรือน และที่ตั้งของ Gompa วัดเล็ก ๆ ประจำหมู่บ้านบนเนินสูง (หาเจอมั้ย) 


⭗ ห่างออกมาจากซุ้มทางเข้าก็จะเห็นร่องรอยพื้นที่เพาะปลูกฝั่งนี้ ซึ่งได้เก็บเกี่ยวไปจนเกลี้ยงแล้ว


จากความสูงของที่ตั้งของหมู่บ้าน เมื่อแรกเห็นผ่านสายตาจาก Lalung (อิงจากภาพสุดท้ายในเอนทรี่ย์
ก่อนหน้า)  เราไม่เข้าใจว่าตำแหน่งสูงปรี๊ดขนาดนั้นผู้คนเขาก็ยังจะดั้นด้นพากันไปอยู่ได้อย่างไร  แต่ก็มี
ตำนานเรื่องเล่าของท้องถิ่นที่ย้อนความถึงที่มา เกิดจากการเดินตามหาจามรีที่หายไปของชาวบ้านรายหนึ่ง
และพบว่ามันแอบมาเล็มหญ้าหาอาหารอยู่แถวนี้ จึงทำให้ได้เจอกับพื้นอันอุดมสมบูรณ์ที่สามารถเพาะปลูก
และเลี้ยงสัตว์บริเวณนี้โดยบังเอิญ เขาและครอบครัวจึงย้ายมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่และในที่สุดก็ชักชวนคนอื่น ๆ
มาสร้างหมู่บ้านร่วมกัน ชื่อของหมู่บ้าน Demul นั้นมาจากคำว่า Demo ที่แปลว่า จามรีตัวเมีย นั่นเอง  








สวัสดีโซเชียล!!!

รถรับจ้างคันหนึ่งแวะเวียนมาจอดลงที่หน้าหมู่บ้านในช่วงเวลาบ่ายสี่ สองสาวชาวอินเดียก้าวลง
จากรถพร้อมกับผู้ชายที่มาด้วยกันอีกสองรายพร้อมอุปกรณํถ่ายทำ เธอเดินมาถามด้วยท่าทีที่ดู
ตื่นเต้นกับนักท่องเที่ยวต่างแดนที่โผล่มาให้เห็น ณ ขณะนั้น    “ไฮ้….!!!”


พวกเราเพิ่งมาถึงที่นี่กัน” แล้วเธอก็หันไปมองรอบ ๆ ด้วยความไม่แน่ใจสักเท่าไหร่

“เอิ่ม พอจะมีร้านอาหารแนะนำมั้ยอ่ะ” ฟังแล้วจะหลุดขำแต่ก็เกรงใจ นี่คือเรื่องตลกสุด ๆ
ที่เราเอากลับไปเล่าให้ลุงกับป้าที่เกสเฮาส์ใน Kaza ฟังภายหลัง แล้วพวกเขาก็ยังขำกันไม่หาย

โดยคุณลุงนั้นให้ความเห็นว่า เดี๋ยวนี้เส้นทางมันเข้าถึงง่ายกว่าสมัยก่อน มีนักท่องเที่ยวมากมาย
ที่อยากมาเห็นหุบเขาสปิติ ก็แห่กันมาแบบไม่ยอมเข้าใจความเป็นพื้นที่นี้ก็เยอะ บางคนไปลองสั่ง
ซัมป้ามากิน แต่ก็ไม่ยอมถามไถ่ถึงวิธีการกินจากชาวบ้าน ยกตักเข้าปากแล้วฝืนกลืนจนติดคอ ไอ 
สำลักแค้ก ๆ จากนั้นก็เอาไปรีวิวบนเว็บไซต์ ซัมป้าเป็นอาหารที่อันตราย อย่าไปลองกินเชียว!

หรือถ้าเป็นความเห็นของนักสิ่งแวดล้อมต่างชาติคนหนึ่ง ที่สนับสนุนการท่องเที่ยวแนว
Mindful Travel แกก็พูดไปในทิศทางเดียวกันเลยนะ “Oh my, this kind of tourism is
really a curse!”

 

 

คนกลุ่มนี้เพิ่งเดินทางมาจาก Komic ใช้การเชื่อมด้วยการนั่งรถทางถนนที่ตัดอย่างเรียบกริ๊บ
มาโผล่ยังหมู่บ้าน Demul ได้อย่างอัศจรรย์ภายในไม่ถึงยี่สิบนาทีด้วยซ้ำ มันช่างต่างไปจาก
พวกเดินเท้าที่ใช้เวลาเป็นวัน ๆ กว่าจะไปถึงยังจุดหมายปลายทางได้แต่ละทีเท้าแทบระบม

คือเราไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงวิธีการเดินทางของใครแต่ละคนว่าผิดหรือถูกนะ แต่เนื่องเป้าหมาย
และการทำใจกับข้อจำกัดของสถานที่แต่ละแห่ง ที่อาจมีสิ่งตอบสนองต่อนักท่องเที่ยวต่างกัน
ในกรณีที่ไม่ได้เตรียมใจมาแต่แรก



 

“อืม...แถวนี้ไม่มีร้านอาหารหรอกนะ เท่าที่เห็น”

สิ่งเราตอบพวกเขาไป ถึงแม้ว่าสีหน้าของคนกลุ่มนั้นจะดูผิดหวังเล็ก ๆ
แต่ว่า The show must go on มาแล้วอย่าเสียเที่ยว กลุ่มแบกอุปกรณ์เริ่มทำการเก็บรูปหมู่บ้าน
สาว ๆ ยกมือถือขึ้นมาถ่าย vlog ไม่ก็ไลฟ์สด “เฮ้ หวัดดีทุกคน ตอนนี้พวกเราเพิ่งเดินทางจาก
Komic มาถึงหมู่บ้าน Demul กันแล้วจ้าาา”




 

หลบลี้หนีกลุ่มผู้คนต่างถิ่นที่เพิ่งขึ้นมาถึง แล้วก็นั่งรถจากไปอย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่นาทีหลัง
เหยียบเท้าลงเดินในหมู่บ้านแห่งนี้ ไปเดินเล่นแถว ๆ ลานนวดข้าวที่แทบจะไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว
พื้นที่ที่ต่ำไปกว่าจุดที่ยืน มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังร้องเพลงจีบกัน พวกเขาใช้เวลาว่างที่เหลือของ
วันนี้หลังจากหมดงานในนามานั่งอ้อยอิ่งชมวิวอยู่บนหลังจามรีตัวหนึ่ง ดูเป็นพาหนะที่ต้วมเตี้ยม

ทำหน้าที่พาคู่รักชมวิวไปรอบผืนนาที่รายล้อมไปด้วยวิวเทือกเขาสูง เพลงของฝั่งชายที่ร้องคลอ
แทรกผ่านลมที่พัดมาแบบอื้ออึง ฝ่ายหญิงส่งเสียงหัวเราะจากการหยอกเย้า มันดูเป็นเรื่องส่วนตัว
เกินกว่าจะยกกล้องขึ้นมาเก็บภาพบรรยากาศนั้นไว้ คงปล่อยให้เป็นช่วงเวลาพิเศษของหนุ่มสาว
คู่นี้กับจามรีอีกหนึ่งตัวที่เป็นสักขีพยาน

 

 

 

อากาศขมุกขมัวและลมแรง ๆ ในช่วงเย็นของวันนี้ ดูน่ากลัวกว่าที่คิด ถึงจะพอเข้าใจว่ามันจะ
ไม่ใช่ฝนห่าใหญ่แบบที่ตกในเมืองไทยก็ตาม กลัวผ้าที่ตากไว้บนดาดฟ้าจะปลิวว่อน พอขึ้น
ไปถึงดาดฟ้าเสื้อผ้าก็หายไปหมดเกลี้ยง ชะโงกลงไปดูด้านล่างก็ไม่เจอ...ปีนบันไดลงมายัง
ชั้นสองก็เจอน้องเปมาพอดี เธอบอกว่าเอาเสื้อที่ตากไว้ไปเก็บที่ห้องให้แล้ว



ตกเย็นวันนี้ไม่ต้องไปไหนต่อ ก็มาปักหลักในห้องครัวนี่แหละ อุ่นดี
หลังจากตกใจกับสภาพอากาศที่อยู่ ๆ ก็มีลมแรงโถมเข้าใส่ ก็ต้องมางงกับเสียงเปาะแปะ ๆ
ด้านนอกอีก เฮ้ย...ฝนตกเหรอเนี่ย? เราถามเปม่าว่าปกติมีฝนแบบนี้บ่อยมั้ย น้องก็ตอบมาได้
แบบกวน ๆ นะ  “เราแทบไม่เจอฝนกันเลย ก็มีวันที่พี่มานี่แหละ”




⭗ หยดฝนบนกระจกหน้าต่าง ที่ปรอยตกลงมาเพียงพักหนึ่ง 




⭗ มันฝรั่งไซส์เล็กเปลือกสีม่วง ที่ปลูกกันในท้องถิ่น 



[VDO] มาฟังเสียงฝนตกในสปิติกันดูมั้ย ... ช่วงท้าย ๆ จะเห็นการตักฟางข้าวลงไปเก็บที่ใต้ถุนของบ้านฝั่งตรงข้าม
 



แล้วเธอก็หันไปเตรียมอาหารของเย็นวันนี้ต่อ และปล่อยให้เรานั่งจิบชาและเขียนไดอะรี่อย่างเงียบ ๆ
ดูเหมือนว่าหน้าที่เรื่องอาหารการกินจะตกเป็นของน้อง รวมถึงดูแลผู้ที่มาพักอาศัย หน้าบ้านเปม่า
มีคอกสัตว์สำหรับเลี้ยงแกะ ไม่รู้ว่าแกะพวกนี้ปกติกินอะไร เห็นมันชอบไปเขมือบผักที่ปลูกไว้ที่แปลง
หน้าบ้านทีไรก็จะโดนไล่ตะเพิด ส่วนผักบางชนิดก็แบ่งปลูกไว้ในโรงเรือน ตัวโรงเรือนดังกล่าวมีตรา
โลโก้ของกลุ่ม Spiti Ecosphere วาดไว้ บ้านนี้น่าจะร่วมโครงการทำโฮมสเตย์กับองค์กรดังกล่าว
ไม่ก็ร่วมโปรเจคทดลองปลูกช่วงผักไว้กินในช่วงฤดูหนาว

 

กว่ามื้อเย็นจะเสร็จก็ช่วงค่ำ (หมายถึงหลังหมดแสงของวันไปแล้ว) เหล่าผู้คนในบ้านที่หายไปอยู่
ที่นาก็กลับมานั่งรวมตัวกันกินมื้อเย็น บรรยากาศโฮมสเตย์แต่ละแห่งจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับคน
บ้านนั้นเลย บ้านของเปม่าดูเหมือนไม่ค่อยพูดคุยกับนักท่องเที่ยวมากเท่าไหร่ คนที่อยากเปิดบ้าน
พักรับนักท่องเที่ยวนักคงมีแต่ยัยเปม่าและพี่สาว...เรื่องอีกอย่างหนึ่งที่ต้องรู้ การได้เสียงเรอที่ดังลั่น
ขึ้นระหว่างมื้ออาหารนั้น ถือว่าเป็นเรื่องปกติ  หลังจากพวกเขากินข้าวเสร็จ ก็เดินไปล้างหน้าเช็ดตัว
พอเป็นพิธีกันตรงมุมบ้านที่เป็นจุดซักล้าง  หลายคนเหน็ดเหนื่อยจากงานของวันนี้ที่ต้องใช้แรงทั้ง
วันบางคนก็อยู่บ้านอื่นแต่มาช่วยนวดข้าวและร่วมกินมื้อเย็นร่วมกัน ร่วมพูดคุยถึงเรื่องบางอย่างที่เรา
ฟังไม่ค่อยออก นอกจากจะเห็นแม่ของเปม่าบ่น ๆ อะไรบางอย่างพึมพำ ก่อนที่สองสาวพี่น้องจะหัน
มาเอามือป้องปากกระซิบกระซาบกันเบา ๆ  ไม่นานนักทุกคนก็แยกย้ายหายตัวกันไปนอน บ้างก็ปัก
หลักเอนตัวนอนบนเบาะในห้องนี้  ไม่มีชางหรืออารักรินแจก ไม่มีงานสังสรรค์ใด ๆ เกิดขึ้น ทุกสิ่ง
ทุกอย่างล้วนดำเนินไปอย่างปกติ   


และนี่คือบรรยากาศโฮมสเตย์ที่ Demul ในค่ำคืนนี้ค่ะ ทุกคนนน


 

 

 

 

 

 

 

 




Create Date : 22 ตุลาคม 2565
Last Update : 4 ตุลาคม 2566 0:18:06 น. 10 comments
Counter : 1356 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณtoor36, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณhaiku, คุณสองแผ่นดิน, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณอุ้มสี, คุณSweet_pills, คุณtuk-tuk@korat, คุณnewyorknurse, คุณRain_sk, คุณkatoy, คุณเริงฤดีนะ, คุณดอยสะเก็ด, คุณทุเรียนกวน ป่วนรัก


 
เดินเป็นชั่วโมงเป็นวัน สภาพอากาศ หาที่พัก(โฮมสเตย์) ภาษา อาหารการกิน ซักผ้า/ตากผ้า คนแปลกหน้า(ครอบครัวโฮมสเตย์)
หมู่บ้านdemul แทบไม่มีต้นไม้ ยังดีมีน้ำประปาภูเขา
จากภาพเห็นมีแผงโซล่าเซลล์ ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์หรือมีไฟฟ้าใช้ครับ


โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 22 ตุลาคม 2565 เวลา:23:53:05 น.  

 
ไว้จะลองกินบ้าง
หมั่นโถวราดซอสพริก


โดย: อุ้มสี วันที่: 23 ตุลาคม 2565 เวลา:8:01:45 น.  

 
รู้สึกว่าได้มิตรภาพจากการเดินทางมามากมายเลยนะครับ อ่านแล้วรู้สึกดีชะมัด

บรรยากาศในบ้านดูอบอุ่นดีนะ ตอนแรกฟ้าใส ไปๆ มาๆ มืดมาเลย ฮาตรงกลุ่มที่พึ่งมาครับ ผมชอบเรื่องที่รีวิวบนเว็บไซต์นะ

ถ้าไม่ใช่คนชอบเที่ยวแนวนี้จริงๆ อยุ่ไม่ไหวแน่ๆ


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 23 ตุลาคม 2565 เวลา:21:30:19 น.  

 
ลุยจริง ๆ เลย
ที่พักสวย สะอาดเรียบร้อยจังค่ะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 25 ตุลาคม 2565 เวลา:15:37:23 น.  

 
จากบล็อก
ราคาก๋วยเตี๋ยวพยายามนึกเหมือนกันค่ะแต่นึกไม่ออก เด็กเกิ้น


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 2 พฤศจิกายน 2565 เวลา:15:22:46 น.  

 
เพิ่งเข้าบ้านเดี๋ยวไว้เสาร์นี้หยุดจะเข้ามาอ่านครับ


โดย: ทั่นขุน (Rain_sk ) วันที่: 4 พฤศจิกายน 2565 เวลา:12:14:20 น.  

 
ผมคงอ่านหนังสือช้ามากๆกินเวลาไปกว่าชั่วโมง
ถึงอ่านจบฮ่า whatsapp นี่ผมไม่เคยใช้แต่ชาวบ้านที่นี้
เขารู้ วิธีใช้ อืมส์แสดงว่าทันสมัยอยู่นะ
.
.
อีกเรื่องที่เป็นความรู้ใหม่คือ วัวกินอาหารมนุษย์ได้ด้วย แจ่มมากครับ


โดย: ทั่นขุน (Rain_sk ) วันที่: 5 พฤศจิกายน 2565 เวลา:12:32:38 น.  

 
สวัสดีรอบดึก แวะมาทักทาย JIMIAV JIMIAV ยินดีที่ได้รู้จักครับ


โดย: สมาชิกหมายเลข 3449339 วันที่: 7 พฤศจิกายน 2565 เวลา:2:32:49 น.  

 
หมู่บ้าน Demul สุดปลายเส้นขอบฟ้า อเมซิ่งมาก
มีน้องกวางมาวิ่งเล่นทั้งครอบครัว
ต่อหน้าต่อตา
น่าเอ็นดู

หมู่บ้านมีป้ายต้อนรับด้วย
ดอกไม้ที่กรอบหน้าต่างที่พัก เพิ่มความสวยงาม
สดใสให้วิวภูเขากว้าง

หากเราไม่ซักผ้าได้ไหม หรือคนไทยจะติดใส่เสื้อผ้าสะอาดๆ
ไม่หมักดอง อิ อิ

โฮมสเตย์แห่งนี้ ไม่ชอบคุยเลย
ไม่มีอะไรเล็กๆน้อยๆให้น้องฟ้าฟังก่อนนอน
แบบ Bed time story เน๊าะ!!


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 7 พฤศจิกายน 2565 เวลา:11:22:38 น.  

 
ได้เจอ Bharal ตัวเป็น ๆ ในระยะประชิดด้วย
แถมมีหลายตัวอีกต่างหาก โชคดีจัง
ดูไม่กลัวคนอย่างนี้ ที่นั่นคงไม่มีสัตว์นักล่าด้วยใช่มั้ย

ขำที่เจอเด็กชวนกระโดดเล่นด้วย แสดงว่าคุณฟ้าหน้าเด็กมั้ง
ไม่งั้นเด็กคงไม่ชวนเล่นเนอะ

แค่ไปถึง Demul ฝกก็ตกโดยพลัน!
อ่านแล้วเดาไม่ถูกแฮะ ไม่รู้คนที่นั่นเค้าชอบให้ฝนตกมั้ย
แต่ที่แม่เปม่าบ่นเพราะเพิ่งล้างรถมาแล้วฝนตกเปล่า
เป็นใครใครก็บ่นอะ


โดย: ทุเรียนกวน ป่วนรัก วันที่: 6 ธันวาคม 2565 เวลา:18:15:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กาบริเอล
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




ชอบต้นไม้ แมว ค้างคาว หนังสือ
ออกเดินทางท่องเที่ยวตามโอกาส

การเขียนบล็อก
คืออีกพื้นที่บอกเล่าผ่านตัวอักษร
ขอบคุณ Bloggang
สำหรับพื้นที่แบ่งปันตรงนี้

....

เริ่มต้นลงบันทึกอย่างเป็นทางการ
ณ วันที่ 16 ม.ค. 2014

###ไม่ได้ใช้ Facebook แล้วนะคะ###

© ขอสงวนลิขสิทธิ์ ภาพถ่าย 
ห้ามนำไปใช้ ดัดแปลง แก้ไข 
โดยไม่แจ้งที่มา ก่อนได้รับอนุญาต


New Comments
Friends' blogs
[Add กาบริเอล's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.