Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2566
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
6 ตุลาคม 2566
 
All Blogs
 
รีวิวสภาพถนน upper Kinnaur จาก Nako-Reckong Peo | INDIA 2019




 แสงแรกยามเช้าที่ปรากฏบนแนวเขาฝั่งตะวันตก และเทือกเขาสูงด้านหลังที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะจากฝนที่ตกหนัก
เมื่อคืนนี้--ถ่ายจากดาดฟ้าของที่พักบริเวณชั้นสามในหมู่บ้าน Nako ปี 2019



ตามแผนการเดินทางยอดนิยมบนเส้นทางนี้ 

หลังจากแวะเที่ยว Nako กันแล้วก็มักจะไปต่อกันที่ Poohหมู่บ้านในเขต Upper Kinnaur ที่เป็น
จุดหมายถัดไป แต่ครั้งนี้คงต้องขอเลื่อนไปผ่านไปจริง ๆ เพราะ
ความยืดหยุ่นด้านเวลาสำหรับตัวเอง
มันเริ่มจะมีน้อยลงแล้ว หากจะว่าระยะทางคืออุปสรรคก็อาจจะไม่  
แต่เป็นความไม่แน่นอนเรื่องสภาพ
ดินฟ้าอากาศและภัยธรรมชาติบางอย่างที่อาจต้องเจอระหว่างทาง 
แถบนี้มีปัญหาดินถล่มบ่อยครั้ง
หนำซ้ำเมื่อคืนนี้ที่มีฝนตกกระหน่ำลงมาแบบผิดคาดอีกด้วย

เราออกมาจากที่พักตั้งแต่หกโมงนิด ๆ หลังเก็บภาพแสงแรกที่ไล่แตะบนเขาฟากตะวันตก จากบน
ชั้นสามดาดฟ้า
ของที่พักได้แค่ไม่กี่รูป เพราะกลุ่มนักท่องเที่ยวอินเดียที่มาพักในที่เดียวกันนี้ ช่างพา
กันตื่นกันไวซะจริง พวกเขาต่างขึ้นมาจับจองวางขาตั้งกล้องกันเอาไว้จนเกือบเต็มพื้นที่ตั้งแต่รุ่งสาง



⭗ แปลงนา พื้นที่เพาะปลูกด้านหน้าหมู่บ้าน ระหว่างทางเดินออกไปยังท่ารถ 



⭗ บนความห่างระหว่างหมู่บ้านและท่าจอดรถ 



 รถบรรทุกที่แวะมาจอดพัก ใกล้ ๆ กับหน้าร้านขายอาหาร


ลานจอดรถตรงหน้าหมู่บ้านอยู่ไกลราวหนึ่งกิโลเมตร บนสภาพอากาศหนาว ๆ แบบที่มีลมโกรกบนช่องเขา
ผสมกับไอความชื้นที่แผ่มาสมทบเพิ่มลงมาหลังจากฝนตกเมื่อคืนนี้ ก็ต้องมาประโคมใส่ชุดกันหนาวเพิ่มอีกชั้น
จุดแวะพักรอรถดีที่สุดก็คือด้านในของเพิงขายน้ำชาที่นำเอาผ้าใบมาสร้างคลุมไว้เพื่อกันลมไว้ แต่นั่นก็อาจทำ
ให้เรามองไม่เห็นเที่ยวรถที่กำลังเข้ามาจอด ด้วยความที่กลัวตกรถมากกว่ากลัวหนาวเลยไปนั่งตากลมข้างนอก
ดีกว่า 




เมื่อวานนี้รถเสีย

ช่วงที่นั่งจิบชาร้อนตรงโต๊ะด้านนอกปะทะลมโกรกที่พัดแรงจนเสียงเต็นท์ผ้าใบดังพรึ่บ ๆ ก็ได้เจอกับ กั๊ต นักท่อง
เที่ยวชาวอิสราเอล คนที่มากับรถโดยสารคันเดียวกันเมื่อวานนี้ เดินวนเวียน
ป้วนเปี้ยนอยู่ไม่ไกล เขาเข้ามาทักคุย
ก็เลยทำให้รู้ว่าเมื่อวานนี้หลังจากที่ถนนเปิดให้รถวิ่งต่อแล้ว 
มีคนช่วยขยับที่นั่งให้กั๊ตพอหย่อนตัวลงไปพักได้บ้าง
แต่ก็หายเมื่อยได้แค่เพียงครู่เดียวเท่านั้น  
หลังจากไปถึง Sumdo บริเวณจุด Check post เครื่องยนต์ของรถก็มี
ปัญหาทำให้เขาออกไปโบกหารถคันอื่นเพื่อมา
ให้ถึงที่ Nako ด้วยตัวคนเดียว ซึ่งดูทุลักทุเลพอสมควรเลย


ทีนี้พวกเราก็ต้องมาวัดดวงกันที่เบาะโดยสารที่นั่งบนรถเที่ยวถัดไปกันดีกว่า รถรอบแรกในรอบเจ็ดโมง ที่เพิ่งวิ่ง
มาถึงตอนเจ็ดโมงกว่า
 แล่นเข้ามาจอดพักที่ลานเป็นที่เรียบร้อย มีผู้คนเดินลงมามากพอประมาณ  แต่ว่าพวกเขา
เหล่านั้นแทบไม่ได้มาลงรถกันที่
Nako เสียหน่อย นี่คือการจอดพักเพื่อพักดื่มชาและกิน
อาหารรองท้องก่อนออก
เดินทางในเวลาครู่หนึ่งเท่านั้น ดังนั้นบรรดาเบาะนั่งที่ดูเหมือนว่างก็อาจมีเจ้าของหาก
มันมีอะไรบางอย่างวางกอง
เอาไว้เป็นสัญลักษณ์ให้พอได้รู้


หญิงสาวท้องถิ่นรายนี้กำลังเดินไปมาด้วยความกังวล เธออาจจะต้องยืนโหนรถไปไกลหากไม่มีเบาะไหนว่าง
 


กั๊ต เลือกไปอยู่ที่ส่วนหน้า ส่วนหญิงสาวเสื้อเหลืองที่สวมแจ็คเก็ตกันหนาวสีเขียวขี้ม้าชาวหมู่บ้านนาโกที่เพิ่ง
ขึ้นรถมาพร้อม ๆ กันกับเรา ก็ตระเวนเดินหาจุดที่เป็นไปได้ในช่วงตอนกลาง และลองนั่งลงไปก่อนด้วยความไม่
แน่ใจว่ามีเจ้าของที่มั้ย? การที่ต้องมาขึ้นรถกลางทาง ไม่ว่าจะเจ้าถิ่นหรือต่างชาติก็ล้วนมีความ
เสี่ยงพอกัน

รถเคลื่อนตัวออกจาก Nako ในเวลาแปดโมง กั๊ตได้ที่นั่งซึ่งอยู่หลังเบาะของกระเป๋ารถ หญิงสาวคนพื้นที่ก็ไม่
ต้องยืนโหนรถ ส่วนเราได้นั่งอยู่ตรงท้ายรถที่ไปขอร่วมแทรกด้วย เบียดกันอย่างอบอุ่นร่วม
7 คน (ไม่รวมเด็กที่
นั่งตักแม่
สาวนาโกหันมายกนิ้วโป้งให้ที่เราอุตส่าห์หาที่นั่งจนได้


 

"ถนนฝั่ง Kinnaur ตอนนี้ทำทางไว้ดีมาก ๆ"

เสียงลือเสียงเล่าอ้างจากนักท่องเที่ยวอาวุโสชาวอินเดียที่เราเคยเจอพวกเขาในหมู่บ้าน Mudh และอีกครั้งที่
Hotel 
Deysor ใน Kaza พวกเขาเหมารถนำเที่ยวเข้ามาท่อง Spiti Valley ด้วยเส้นทางนี้ ยืนยันให้เราได้รู้ว่า
ในภาพจำเดิมบนเส้นทางฝุ่นฟุ้งตลบนั่น ไม่มีอีกแล้ว

ดูเหมือนการได้อยู่เบาะหลังแบบนี้ก็มีอะไรดีอยู่บ้างนะ อย่างเช่นวิวถ่ายรูปจากหลังรถ และขนมถุง(ถั่ว)ที่ได้รับ
มาจากเพื่อนร่วมทางเรื่อย ๆ เปิดถุงทีนึงก็เทแบ่งใส่มือเผื่อแผ่คนละนิดคนละหน่อย แม้จะ
แอบคาดหวังนิด ๆ ว่า
ครั้งนี้จะถ่ายรูปได้จากริมหน้าต่างก็เหอะ แต่มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไรหาก
ได้เหลิอบไปเห็นผู้โดยสารที่นั่งอยู่
ริมหน้าต่างฟากเดียวกันในโซนหน้า กำลังมีอาการคลื่นไส้ วิงเวียน  มันเป็นภาพบาดตา
อย่างมากเมื่อคนที่ว่านี้
ต้องเลื่อนเปิดกระจกเพื่อชะโงกหน้าออกไปอาเจียนเป็นระยะ ๆ ริมหน้าต่าง
ฝั่งซ้ายแทบทุกจุดจึงแทบไม่มีใคร
กล้าเปิดบานกระจกออกเพื่อรับลม 

 

 

"เอก พีโอ"  ลง Reckong Peo หนึ่งที่  

กระเป๋ารถส่ายหน้าแจ้งบอกว่าเขาจะออกตั๋วสำหรับไปลงที่ Spello ก่อน เพราะยังไม่แน่ใจ
เรื่อง
ถนนว่ามันถูกเคลียร์ทางเรียบร้อยแล้วหรือยัง แต่หากวิ่งยาวไปจนถึงที่หมายได้ก็ค่อยมาเก็บเพิ่ม

 

 



ปืนยาวที่วางเหน็บไว้ที่หลังเบาะของทหารอินเดียจากต่างถิ่นที่มาประจำการที่เขต upper Kinnaur โดยมากแล้วจะไปอยู่
กันที่ค่ายทหารบริเวณหมู่บ้าน Pooh  




วิวจากด้านหลังรถและความราบเรียบของถนนที่ไม่เหลือเค้าโครงเดิมจากเมื่อ 5 ปีก่อน (ปี 2014)



⭗ คลิปสั้น หลังจากพ้น Nako ไประยะหนึ่งแล้วบน NH-505 บางช่วงถนนก็ยังมีงานทำทางให้เห็นเรื่อย ๆ



จุดที่รถจอดรับผู้โดยสารจากหมู่บ้านหนึ่ง  สัมภาระที่มีชิ้นโตเกินกว่าจะนำมาไว้บนรถได้ก็ต้องนำส่งขึ้นไปมัดไว้บนหลังคา 
 



⭗ จำนวนผู้คนที่มาขึ้นรถเพิ่มเติม  



ย่านชุมชนแห่งหนึ่งก่อนถึง Dubling



 แถว ๆ Dubling และแม่น้ำ Satluj 



⭗ คนงานรับจ้างต่างถิ่นที่มาลงรถกันที่นี่ 



⭗ หลังข้ามผ่าน Dubling Bridge และมุ่งหน้าไปทาง Pooh 




 ⭗ ป้ายเกสเฮาส์ที่หมู่บ้าน Pooh (หรือในอีกชื่อ Spuwa) ที่นี่สูงจากระดับน้ำทะเล 2,662 เมตร 




⭗ เลยผ่านไป ครั้งนี้ไม่ได้แวะลงที่ Pooh เช่นเคย


จาก Nako ไล่มาจนถึง Pooh สภาพถนนราบเรียบจนไม่รู้สึกถึงความทุรกันดารแบบเมื่อห้าปีก่อน เจ๋งว่ะ!
แทบไม่ต้องเอาผ้าเช็ดหน้ามาปิดกันฝุ่นและเป็นการเดินทางที่ไม่ทรมานจนเกินไป ถึงจะดูเป็นพื้นที่ห่างไกล
โพ้นอยู่หลังเขาและมีผู้คนเป็นอีกชาติพันธุ์ ก็ยังสามารถเข้าถึงเส้นทางไปมาหาสู่เชื่อมโยง
กับภายนอกได้
อย่างไม่ลำบากเช่นเมื่อก่อน จะเว้นก็แค่จำนวนเที่ยวรถประจำทางที่มีน้อยเกินไป จนต้อง
มายืนอัดกันเป็น
ปลากระป๋องเวลาที่ต้องมาขึ้นจากกลางทางนี่แหละ ส่วนอีกเรื่องนึงก็คือปัญหา
หน้าดินถล่มที่ควบคุมไม่ได้ 

ข่าวคราวการถูกบล็อกเส้นทางไม่ให้รถแล่นผ่านในบางจุด จึงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง




⭗ แม่น้ำ Satluj ที่ขนาบข้างเป็นเพื่อนไปตลอดทาง  บนเส้นทาง NH-05



⭗ สายน้ำเล็ก ๆ ที่ไหลมาสมทบจากซอกเขา



เส้นถนนก่อนถึง Spello ที่เริ่มกลับมามีสภาพเดิม (แถว ๆ Up Mohal Gyamil)  

 

พ้นไปจากที่ผ่าน หมู่บ้าน Pooh ที่นั่งริมหน้าต่างว่างลง บรรดาทหารที่ขึ้นรถมาทั้งในเครื่องแบบและนอก
เครื่องแบบต่างพากันทยอยลงที่นี่ (รวมถึงพี่คนที่เมารถ) จะว่าไปแถวนี้ก็คือพื้นที่
เขตชายแดนดี ๆ นี่เอง
ถนนหนทางจากนี้ก็เริ่มเป็นทางลูกรังในบางช่วง ความทรงจำเก่าลอยมา
ปะทะอย่างแผ่วเบา ป้ายแจ้งเตือน
ให้ระวัง
shooting stone ปรากฏให้เห็นถี่ขึ้น ตัวรถเริ่มวิ่งด้วยความขลุกขลัก กระทั่งมาถึงที่ Spello ในช่วง
สิบโมงเช้า รถได้แวะมาพักจอดชั่วคราวเพื่อสืบข่าว
เรื่องถนน ผู้โดยสารต่างลงมายืนรอกันข้างล่างระหว่าง
รอคำตอบ แวะซื้อขนม นั่งจิบชา ไม่ก็เดินยืดเส้น และสำหรับที่นี่มี
ห้องน้ำสาธารณะให้บริการด้วย

 





⭗ Spello เขตชุมชนที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเยอะกว่าหมู่บ้านโซนด้านใน มีสัญญาณโทรศัพท์ ร้านอาหาร
และเกสเฮาส์ให้เลือกเยอะกว่า 




หญิงสาวจากนาโก ที่จะไปลงรถที่ Reckong Peo เช่นกัน


 

ช่วงที่เดินแกร่ว ๆ แถวนั้น หญิงสาวชาวนาโกก็เดินเข้ามาคุยเป็นเพื่อน เธอบอกว่าตัวเองทำงานอยู่
ที่ Reckong Peo โอ้โห...ไกลบ้านเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความ
ถึงใครสักคนดูเหมือนสัญญาณเชื่อมต่อจะเริ่มใช้การได้ หลังจากได้รู้ว่าเราไม่ได้ติดต่อส่งข่าวให้ทาง
บ้านมาหลายวันแล้วตั้งแต่เดินทางเข้ามาใน
หุบเขาลี้ลับนี่ ก็รู้สึกเห็นใจและอาสาเปิด hotspot เผื่อแผ่
มาให้ใช้ครู่นึง

 

ไม่นานนักกระเป๋ารถก็แจ้งข่าวว่าพวกเราสามารถไปได้ต่อ ได้ยินแบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย!
ทีนี้ก็แค่จ่ายค่าโดยสารใหม่ที่เป็นส่วนต่างเพิ่ม  “เอก พีโอ!” ประโยคเดิม คำเดิม แต่ที่เพิ่มเติม
คือไม่ต้องลุ้นเรื่องถนนแล้ว พอกระเป๋ารถส่งใบเสร็จใหม่ให้ เราก็ใช้เวลาที่เหลืออยู่เก็บรูปอย่าง
สบายใจ และรอเวลาไปลงรถรายงานตัวที่ด่านสุดท้ายก่อนที่จะออกจากพื้นที่ upper Kinnaur





⭗ ไปต่อยังทางข้างหน้า ยังคงเป็นเส้นถนน NH-05 เช่นเคย จุดข้ามสะพานข้างหน้าคือ Kiran khadd setu  



⭗ ทางที่กำลังทำ



 กลุ่มคนงานที่มาทำถนน และกองหินที่เตรียมนำมาผสม ถนนยุคก่อนก็จะเป็นประมาณนี้เลย เมื่อเทียบกับปัจจุบันนี่ก็ถือว่า
ดีขึ้นเยอะแล้ว 




 แถวนี้เริ่มมีต้นไม้ริมทางให้เห็นบ้าง 




 ป้ายคำคมระหว่างทาง "Three enemies of road Liquor, Speed & Overload"




 จุดกระจายผลผลิตอย่างแอปเปิ้ลที่ถูกขนมาบรรจุลังสีขาวเพื่อเตรียมส่งขาย




 เริ่มใกล้เข้าเขต Jangi




  เส้นถนนฝั่งตรงข้ามและรถบรรทุกที่กำลังวิ่งแล่นลงมา 




 ข้ามแม่น้ำมาอีกฝั่ง 



 บริเวณ Jangi ที่ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายของ upper Kinnaur




ไม่ใช่คนอินเดีย

จำได้ว่ามีจังหวะนึงที่รถจอดพักครู่ใหญ่ กระเป๋ารถเดินลงไปข้างล่างพร้อม ๆ กับคนบนรถสามคน
ท่ามกลางผู้โดยสารอื่นที่มาขึ้นรถเพิ่มเติมจนบดบังการมองเห็นจากโซนด้านหลัง แว้บหนึ่งก็เห็น
พวกเขาพากันกลับขึ้นมา 
และรถก็ทำท่าจะเคลื่อนตัวออกไปต่อ นึกขึ้นได้ว่าน่าจะเป็น Check post
สุดท้ายที่ต้องลงไปรายงานตัว เราหยิบแฟ้มใส่
เอกสารสำหรับแสดงตัวมา กระเป๋ารถเมล์วิ่งอ้อมมา
ทางด้านหลังตรงเข้ามาที่ประตูด้านท้าย
เพื่อเก็บค่าโดยสารกับพวกที่เพิ่งขึ้นมาใหญ่ 

“อย่าเพิ่งไป ยังไม่ได้รายงานตัวเลย”


เขาเห็นเอกสารที่ว่าและยักไหล่ แถมไม่ได้ตะโกนบอกให้รถจอดทั้งที่เพิ่งเลยไปแค่ไม่กี่เมตร
"อ้าว ไม่ใช่คนอินเดียเหรอ” เขาเข้าใจไปแบบนั้นจริง ๆ หรือแค่กวนก็ไม่รู้สิ รถเริ่มตีห่างไปไกลเรื่อย ๆ
กระทั่งเห็นป้ายว่าที่ตรงนี้คือ
Jangi เขตแดนสุดท้ายที่กำหนดให้เป็นพื้นที่พิเศษที่ชาวต่างชาติต้องลง
ไปแสดงเอกสาร Inner line Permit ต่อเจ้าหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นขาเข้าหรือผ่านออกมา “ไม่เป็นไรหรอก”
จากนั้นเขาก็ทำเหมือนไม่มีอะไร
เกิดขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุให้เจ้าเอกสารตัวนี้ของเรามีแค่ตราประทับตอน
ผ่าน 
Sumdo เท่านั้น 

 

ส่วนพวกที่ลงไปแสดงตัวที่ด่านกับกระเป๋ารถเมล์ เป็นชาวเนปาลที่เข้ามาทำงานในพื้นที่แห่งนี้
โอ๊ย...ไม่เข้าใจ ทำไมเขาแยกหน้าคนเนปาลกับคนอินเดียและคนพื้นที่ออก แต่กลับไม่นึกเอะใจ
หรือสงสัยหน้าตาแบบช้านนนนนน ทุกวันนี้ยังแอบคิดอยู่เลยนะว่าเพราะไปพูดฮินดีตอนจ่ายเงิน
ค่าตั๋วหรือปล่าวทำให้เกิดการเข้าใจผิด แต่มารู้ทีหลังว่ากั๊ตเองก็ไม่ไ้ด้ลงไปรายงานตัวเช่นกัน
อิตากระเป๋ารถรายนี้ท่าทางจะเรดาห์พัง!

 

สภาพถนนตรง Jangi ยังคงดูสะบักสะบอมไม่แพ้กัน หัวสั่นคลอนงึกงักไปตามจังหวะรถได้พักใหญ่ถึง
จะเริ่มปรับจนราบเรียบ ยิ่งวันนี้มีฝนตกลงมาระหว่างเดินทางด้วย 
ทำให้รู้สึกลำบากอยู่ไม่น้อย เริ่มเข้า
ใกล้ 
Reckong Peo ก็ยิ่งหนักขึ้น สภาพพื้นถนนดูเจิ่งนอกจนดูไม่น่าจะออกไปเดินเล่นที่ไหนไกลได้
หากไปถึงยังปลายทาง เมื่อรถหักเลี้ยวขึ้นถนนที่จะโยงเชื่อมไป
ยังตัวเมืองยังได้เจอกับตัวรถบรรทุกที่
พลิกคว่ำนอนตะแคงค้างเติ่งอยู่ตรงริมถนนให้ได้เสียวสันหลังวาบ

 



บ่ายโมง รถมาเทียบจอดที่ท่ารถ Reckong Peo ถึงที่หมายกันอย่างปลอดภัย
เรามีแผนจะไป Sangla ต่อจากนี้ ส่วน กั๊ตจะยิงยาวไปที่ Chitkul พอได้เข้าไปติดต่อกับ
แผนกสอบถามตรงท่ารถ ก็ได้รับแจ้งแค่ว่ามีรถรอบ 16.30 .ที่จะวิ่งไปทางนั้น เวลาที่เหลือ
ต่อจากนี้ก็ได้แค่ตระเวนเดินหาของกินแถว ๆ ท่ารถ ถามว่าทำไมถึงไม่แวะพัก Peo น่ะเหรอ
ในมุมมองส่วนตัว
ของเราคือที่นี่ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ มันดูมีความเป็นเมืองมากไป
การมาลงรถตรงนี้ก็เพื่อใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการต่อรถที่ง่ายสุดสำหรับพื้นที่ Kinnaur ที่เชื่อม
เข้าถึงทั้งส่วน upper Kinnaur ทะลุผ่านไปยัง Spiti Valley และเขตพื้นที่ส่วน lower Kinnaur
สถานีรถขนส่งใน Reckong Peo จึงเหมือนเป็นศูนย์กลางหลักในการเดินทางของผู้คนในย่านนี้


(จาก Reckong Peo สามารถต่อรถไปที่ Kalpa เมืองเล็ก ๆ บนเขาตั้งอยู่ไกลแค่ 12 กม. ได้นะ
จะมีรถประจำทางออกวิ่งทุกครึ่งชั่วโมง แต่ต้องออกไปยืนรอรถแถว ๆ หน้าที่ทำการไปรษณีย์)


+++ ตารางวิ่งรถที่สถานีขนส่ง Reckong Peo +++
:  https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=wachii&month=03-2022&date=25&group=23&gblog=49





กลับไป Sangla 
 

16.30 . รถโดยสารสายที่วิ่งไป Sangla – Rakcham ก็เริ่มหมุนล้อออกเดินทาง เอ๊ะอิงจากที่ป้ายหน้ารถ
ที่วางไว้ มันวิ่งไปแค่
Rakcham นี่หว่า (ครึ่งทางก่อนถึง Chitkul) 
ซึ่งมันก็มีแค่เที่ยวเดียวสำหรับวันนี้เสียด้วย
กั๊ต นายจะเอาไงต่อ
?

 

ผมคงจะโบกแท็กซี่ต่อไปที่ Chitkul”  ไม่มีทางเลือกแล้ว เขาจะไปลงที่ปลายทางนั่นและใช้วิธีที่ว่า
เส้นทางต่อจากนี้มันคงจะมืดตึ๊ดตื๋อน่าดู กั๊ตเริ่มออกอาการกังวลเล็ก ๆ ที่ทุกอย่างดูไม่มีอะไรแน่นอนเลย 




⭗ เส้นทางไป Sangla จาก Reckong Peo 



⭗ ทางเลียบเขาที่ต้องลุ้นอยู่ตลอด



⭗ เส้นถนนพาขึ้นสู่ที่สูง  คราวนี้มีฝนโปรยปรายระหว่างทางอีกด้วย



⭗ หมอกหนาเตอะที่เจอในบางช่วง ทัศนวิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่



⭗ เขื่อนที่แยก Karcham ที่ซึ่งรถจะเลี้ยวไปยังเส้นทางไป Sangla-Chitkul


 

18.20 . มาลงตรงท่ารถแห่งใหม่ของเมือง Sangla ตำแหน่งที่ตั้งของอาคารที่ว่านี้ มันอยู่ก่อนถึงตัวสะพาน
ข้ามแม่น้ำ (แต่เดิมรถโดยสารจะขึ้นไปเทียบท่าตรงศาลาเล็ก ๆ) ฝนยังคงตกไม่หยุด ทางเดินก็เฉอะแฉะ เราหยิบ
เป้ลงจากชั้นวางด้านบนซึ่งเป็นตำแหน่งที่กั๊ตนั่ง พูดอวยพรให้เขาไปถึงที่หมาย
อย่างปลอดภัย และถ้าหากพรุ่งนี้
ยังอยู่ที่ Chitkul ก็คงอาจได้เจอกันอีก

 

แวะกินมื้อเย็นที่ร้านเล็ก ๆ แถวนั้นก่อนเดินหาที่พัก กับร้านเดิม Buddhist Cafe ที่เคยอุดหนุน
ป้าเจ้าของร้านนี้เป็นชาวเนปาล ย้ายมาจากกาฐมาณฑุ ไม่รู้ว่าลูกสาวแกไปไหนแล้ว(ไม่ได้ถาม) 
ด้วยความที่
ร้านอยู่ชั้นสอง ซึ่งเป็นอาคารที่สร้างติดถนนคนเดิน จังหวะที่นั่งรออาหารก็นั่งดูวิวด้าน
นอกไปเรื่อยเปื่อย ยิ่ง
มืดค่ำแล้วฝนก็ยิ่งตกลงอย่างหนัก  คงได้เวลาที่รถประจำทางจะออกตัวจาก
ท่ารถอีกครั้ง วิ่งข้ามสะพานและแล่นผ่านมายัง
ตำแหน่งที่ตั้งของร้าน เห็นภาพสุดท้ายของกั๊ตที่นั่ง
อยู่ตรงริมหน้าต่างฝั่งคนขับดูเหนื่อยหน่ายอย่างบอกไม่ถูก... 


 



คุณมาจากประเทศอะไร?

ฟ้าฝนไม่มีทีท่าจะหยุดตกสักที แทบไม่อยากเดินหาเกสเฮาส์ที่ตั้งไกลจากนี้แล้ว ก็เดินข้ามไปยัง 
Baspa Guesthouse ที่อยู่เยื้องกับร้านเลยละกัน หลังต่อรองราคาที่พักสำหรับได้แล้ว เราก็ต้องมา
ลงประวัติก่อนกัน 
เจ้าของเกสเฮาส์หยิบนำใบเอกสารมาให้และสอบถามพอเป็นพิธี “ยูเป็นคนประเทศ
อะไร ญี่ปุ่น? 
จีน? เกาหลี?” เขาน่าจะเดาจากนักท่องเที่ยวที่เคยเห็นบ่อยแน่ ๆ  “มาจากประเทศไทยค่า”


เราตอบกลับต่อแบบขำ ๆ ว่าทำไมคนแถวนี้ชอบมาเดาสัญชาติไปแถบประเทศที่ว่านั้นบ่อยจริง
ทั้งที่หน้าตากับสีผิวมันก็ไม่ค่อยจะเข้าเกณฑ์เท่าไหร่ เจ้าของที่พักได้ยินแล้วก็หัวเราะลั่นทันที

“ฮะ ๆ ที่จริงแล้วเราจำเป็นต้องถามครับ ถ้าเป็นคนจาก จีน,ปากีสถาน,อัฟกานิสถาน
แถวนี้จะไม่อนุญาตให้มาเที่ยวโดยอิสระแบบนี้”
  จากคำตอบนี้ เรานึกถึงป้ายแจ้งเตือนที่ติดไว้ตรง
สำนักงาน
ADC ทันที ลำพังแค่ ปากีสถาน น่ะพอจะเข้าใจอยู่ แต่จีนกับอัฟกานิสถานนี่สิยังไงหว่า?

จีนเป็นเพื่อนกับปากีฯ ส่วนปากีฯ ก็เป็นเพื่อนกับอัฟกานิสถาน ยังไงล่ะ!”
 

โอเค ครั้งนี้ได้รู้ซะทีว่าทำไมระหว่างที่ท่องเที่ยวบริเวณพื้นที่เขตด้านในถึงมีแอบคนถามบ่อย ๆ
ที่แท้ก็กลัวสปายนั่นเอง อย่างไรก็ดีพอพูดถึงคนไทย 
เจ้าของที่พักก็ได้เอ่ยถึงกลุ่มนักท่องเที่ยว
จากเมืองไทย
14 รายที่มาเข้าพักเมื่อเดือนก่อนด้วย-- ณ เวลานี้ Spiti & Kinnaur ก็คงจะเริ่ม
เป็นจุดหมายยอดนิยมแล้ว

 


 




Create Date : 06 ตุลาคม 2566
Last Update : 10 ตุลาคม 2566 15:21:40 น. 7 comments
Counter : 1156 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณtoor36, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณSweet_pills, คุณhaiku, คุณnewyorknurse, คุณทุเรียนกวน ป่วนรัก


 
มีหมอกลงด้วย เมฆขาวมาเลย

เบาะนั่งดูไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่เลย เวลาเปลี่ยนอะไรๆ มันก็เปลี่ยน 5 ปี ก็ครึ่งทศวรรษเลยนะ มันย่อมเปลี่ยนแปลงไม่มากก็น้อย

ทางดีขึ้นมันรู้สึกปลอดภัยขึ้นนะ เดินทางได้สะดวกขึ้นด้วย

ทางในหลายๆ ส่วนไม่ค่อยดี แถมฝนตกด้วยน่าห่วงชะมัด แต่คนท้องถิ่นคงชินแล้วกระมัง

เวลาเจอถามที่ต่างประเทศ เขาก็เดาไม่ออกเหมือนกันว่าเราชาติอะไร 555


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 9 ตุลาคม 2566 เวลา:22:34:12 น.  

 
@toor36 : ขอบคุณมากที่ยังแวะกลับมาอ่าน 5555
อันนี้เราเดาเล่น ๆ นะว่า คนอินเดียชินกับการเห็นผญญี่ปุ่น
เดินทางคนเดียวด้วยมั้งเลยทึกทักเอาน่ะ

เรื่องถนนคือต้องชมจริง ๆ เพราะขนถ่ายอุปกรณ์งานโยธาฯยากกว่า
พื้นที่บ้านเรา มันเป็นที่โคตรกันดารมากจากภาพจำและเป็นพื้นที่สูงอีก
ปูทางมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว


โดย: กาบริเอล วันที่: 10 ตุลาคม 2566 เวลา:15:27:28 น.  

 
ไม่ได้เข้าบล๊อกนานมากกก (หายหน้าไปครึ่งปี ^^")
ถึงว่าสิทำอ่านบล๊อกนี้ของคุณฟ้าแล้วงง ๆ
เพราะข้ามไปหลายบล๊อกนี่เอง ไว้ย้อนกลับไปอ่านก่อนนะ

.....

คราวนี้ขอเล่าเรื่องแปลกก่อน

วันก่อนฝันว่านั่งรถบัสแบบไม่ติดแอร์ จากแถวบ้านไปแยกลำสาลี
แล้วก็ตื่นมาแบบงง ๆ พอตั้งสติได้ก็ทบทวนว่าฝันอะไรหว่า
รถบัสในฝันไม่ใช่รถเมล์ไทยแน่ ๆ แล้วมาจากความทรงจำอะไรเนี่ย
พอนึก ๆ ดู ก็ร้องอ๋อ มันคือรถบัสอินเดียที่เห็นในบล๊อกคุณฟ้านี่เอง
แล้วก็พยายามนึกดูต่ออีกว่าทำไมถึงฝันแบบนี้ได้นะ
ก็เลยนึกออกว่าวันนั้นเดินผ่าน "ร้านข้างเขต" หนังสือมือสอง
ก็เลยนึกถึงคุณฟ้าเพราะเคยเล่าว่าเคยมาที่นี่ (มาไกลนะนั่น ^^)
จริง ๆ เวลาผ่านร้านนี้ทีไรมักนึกถึงคุณฟ้านะ
แต่ไม่คิดว่าคราวนี้จะฝันเชื่อมโยงเป็นเรื่องเป็นราวได้ขนาดนี้
แต่ก็เสียดายอยู่ น่าจะฝันเห็นตัวเลขอะไรบ้าง
เลยเข้ามามาขูด ๆ บล๊อกนี้ดูเผื่อเลขจะโผล่


โดย: ทุเรียนกวน ป่วนรัก วันที่: 23 พฤศจิกายน 2566 เวลา:0:26:35 น.  

 
@ทุเรียนกวนฯ : ฮัลโหล โยงเรื่องไปได้ไงเนี่ย 555
แต่ถ้าบนรถที่ฝันนั่นไม่ได้เปิดเพลงก็อาจไม่ใช่นะ
ถ้าจะบอกว่าแวะมาขูดหวย ก็อิงเลขสามตัวจาก pageviews ละกัน :p


โดย: กาบริเอล วันที่: 25 พฤศจิกายน 2566 เวลา:11:15:00 น.  

 
ปีก่อนคนละงานกัน (จัดที่ห้างเดิมแต่คนละชั้น)
อันนู้นเข้าฟรี อันนี้เสียดังค์


ป.ล. ไม่รู้ปีนี้อ่านทันมั้ย ขอต๊ะไว้ก่อน 2 บล๊อกนะ ^^"


โดย: ทุเรียนกวน ป่วนรัก วันที่: 30 ธันวาคม 2566 เวลา:13:26:17 น.  

 
สวัสดีปีใหม่ 2567 ค่ะน้องฟ้า


โดย: Sweet_pills วันที่: 1 มกราคม 2567 เวลา:23:14:57 น.  

 
ขอบคุณสำหรับข้อความที่บล๊ํอกนู้นด้วย
จะเข้ามาสวัสดีปีใหม่ซะหน่อย แต่ดูปฏิทินจะเข้าวันเด็กแล้วนี่นา ^^"



ชอบ ๆ
เลือกเพลงประกอบเข้ากับคลิปดี แล้วจบพอดีเพลงเลย

ทางเรียบดีอยู่นะ แต่ถ้าคนกลัวความสูงนั่งรถเลาะภูเขาตลอดทางแบบนี้
ก็น่ากลัวอยู่ อาจมีอาการวิงเวียนไปจนถึงอาเจียนบ้างล่ะเนอะ

"เอก พีโอ" ตอนแรกที่อ่านนึกว่าคนไทย
ฉายาขาใหญ่วงการสถานบันเทิงอะไรประมาณนั้น :D

โห~
ที่นั่นทหารพกปืนโต้ง ๆ โดยสารรถบัสรวมกับชาวบ้านเลยเหรอเนี่ย 0_0

นโยบายการตรวจเข้มเฉพาะคนบางชาตินี่เข้าใจได้นะ
เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
สำหรับผู้คนกับผู้คนน่าจะไม่อะไรมาก
แต่ระดับรัฐต่อรัฐ จีนกับอินเดียเค้าฮึ่ม ๆ กันอยู่จริง ^^"


โดย: ทุเรียนกวน ป่วนรัก วันที่: 12 มกราคม 2567 เวลา:12:29:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กาบริเอล
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




ชอบต้นไม้, แมว, หนังสือ
และออกเดินทางท่องเที่ยวบ้าง

ไม่ชอบพบปะผู้คนมากนัก
เป็นมนุษย์จำพวก introvert

การเขียนบล็อก
คืออีกพื้นที่บอกเล่าผ่านตัวอักษร
และตัวตนของเราก็อยู่ในสิ่งที่เขียนค่ะ

ขอบคุณ Bloggang
สำหรับพื้นที่แบ่งปันตรงนี้

....

เริ่มต้นลงบันทึกอย่างเป็นทางการ
ณ วันที่ 16 ม.ค. 2014


###ไม่สะดวกพูดคุยหลังไมค์นะคะ###

© ขอสงวนลิขสิทธิ์ ภาพถ่าย 
ห้ามนำไปใช้ ดัดแปลง แก้ไข 
โดยไม่แจ้งที่มา ก่อนได้รับอนุญาต


New Comments
Friends' blogs
[Add กาบริเอล's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.