Group Blog
 
<<
เมษายน 2564
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
6 เมษายน 2564
 
All Blogs
 
Ladakh 2019 - ไป Stok แบบไม่มีรถประจำทาง




ไป Stok แบบไม่มีรถประจำทาง
หัวข้อที่ควรเป็นไม่ใช่  ไป Stok แบบไม่ใช้รถส่วนตัว หรอกเรอะ?
ฟังไม่ผิดหรอกค่ะ … ช่วงนั้นรถประจำทางระหว่าง Leh-Stok ได้ระงับ
การวิ่งชั่วคราวจริง ๆ


หากมองจากแผนที่จะเห็นว่าอยู่ไม่ไกลไปกว่า Choglamsar เพียงแค่ว่าจะเลี้ยว
แยกไป
อีกทางนึงหลังจากนั้น โดยผ่านลำน้ำสินธุไป เราเคยจับรถมาลงและ
ป้วนเปี้ยนตรงจุด
จอดรถแท็กซี่เพื่อถามหาการต่อรถ แต่ก็ไม่ได้คำตอบและเจอ
ค่าโดยสารมหาโหดเข้าไป  
"เอาเป็นว่า ผมคิด 800 รูปี ละกัน"  


หลังจบความพยายามนั้นไปด้วยความไม่รู้ทิศทางของตัวเอง จากนั้นก็ไปบ่น ๆ
ให้กับ
ชาวต่างชาติรายหนึ่งที่ทำงานเป็นอาสาสมัครในเลห์นานนับสิบปีฟัง
เขาคิดว่าสาเหตุที่แท็กซี่เรียกแพงเป็นเพราะทางปกติที่เป็นถนนตัดข้ามผ่าน
แม่น้ำมันพังก็เลยต้องขับอ้อมโลกไปไกล


"ไม่ลองข้ามแม่น้ำสินธุไปอีกฝั่งล่ะ แล้วไปขึ้นรถจากฟากโน้น"
เขาให้ความเห็นพร้อมตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าการไปหารถจาก Choglamsar


"ข้ามยังไงอ่ะ...ว่ายน้ำ?"  เฮ้อ คิดอะไรพิลึกจริง (เราน่ะ)  

"ไม่ ๆ จากตรงท่ารถให้เดินลงมาอีกนิด ถามคนแถวนั้นดูก็ได้นะว่า
สะพานเดินข้ามแม่น้ำ
ไปทางไหน มันอาจมองหายากเพราะต้องเดินลัด
เลาะผ่านตรอกและซอกอาคาร"


 

เราเตรียมแผนกลับไปที่นั่นอีกครั้ง คราวนี้ไม่น่าพลาด
จะเหลือก็เพียงตัวเลือกระหว่างนั่งรถรับจ้างกับหาเรื่องเดินเท้าไป

แล้วช่วงพยายามรีบกลับมาให้ทันดูผลการแข่งอัลตร้ามาราธอนในชื่อ
Khardung La Challenge เพราะที่ Finish line ก็ตรงใจกลางตลาดเลห์นี่เอง

ภาพบรรยากาศงานวิ่งบางส่วน -> วันงานเทศกาลผ่านมา -Ladakh Marathon 2019






สะพานไมตรี (The Maitri bridge) ที่จุดข้ามแม่น้ำสินธุทางฝั่ง Choglamsar 
 



[คลิป] ระดับความเชี่ยวและขุ่นของแม่น้ำสินธุในช่วงเวลานั้น




ข้ามสะพานแล้วเดินออกไปทางซ้ายเพื่อหาทางลัดไปยัง Stok แถวนี้ร่มรื่นดี เดินเรื่อย ๆ ไม่ร้อน (โปรดใช้วิจารณญาณฯ)
 

เมื่อข้ามมาได้แล้ว แทนที่จะเลือกลุยตรงไปข้างหน้า  เราเลือกเดินเลี้ยวซ้ายแทนค่ะเห็นว่ามันร่มรื่นดี นอกเหนือ
ไปจาก
บ้านเรือนต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ริมทาง บริเวณนี้มีพื้นที่ชุ่มน้ำที่เหมาะกับการเพาะปลูกมาก ๆ  แถมยังมีดงปลูกพืช
อย่าง 
Sea buckthorn  ด้วยนะ ถึงมันตั้งอยู่ไกลสายตาเกินขอบถนนไปเยอะ แต่ก็ได้เห็น
การเก็บเกี่ยวผลของ
ต้นนี้ที่เคยสงสัยมานานแล้วว่าเขาจะริดผลมันออกมายังไงไม่ให้หนามตำมือ  



⭗ ตัวอย่างของ Sea buckthorn juice เครื่องดื่มประจำฤดูกาล จากร้าน Dzomsa และลักษณะกิ่งและใบที่มีผลติดอยู่ 
เห็นมันวางโชว์ที่หน้าโต๊ะคิดเงินเลยขอยืมมาวางถ่ายรูปสักหน่อย มีรสเปรี้ยวจัด ถ้าไม่ผสมน้ำเชื่อมก็จะเปรี้ยวแสบคอมาก  




สรุปแล้ว...พวกเขาจะทำการขึงผ้าไว้ด้านล่างของต้นและใช้ไม้หวดกิ่งเพื่อให้ลูกมันร่วงลงมาก็เท่านั้น
แล้วจากนั้นเบอร์รี่เหล่านี้ก็จะกลายไปเป็นน้ำผลไม้  
ถ้ารักการดื่มแบบคั้นสดก็ไปหาดื่มที่ Dzomsa และ
หากชอบแบบบรรจุขวดพาสเจอร์ไรซ์แช่เย็น
ก็มองหาได้ทั่วไป (ไม่ใช่พื้นที่โฆษณาใด ๆ)

 

โต๋เต๋ ไปสักพักก็เจอร้านขายของชำเล็ก ๆ เลยแวะซื้อขนมและถามถึงระยะทางที่จะลัดไป Stok ตาม
คำบอกเล่าที่ได้ยินมา คนดูแลร้านเป็นผู้หญิงและคลุมผ้าที่ศีรษะ...เท่าที่เห็นมา
ผู้หญิงแถวนี้มักจะ
คลุมผ้าแบบทัดหูสองข้าง เลยคิดว่าน่าจะ
เป็นการแต่งตัวแบบสาวชาวลาดักมุสลิม 

"เดินไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอกับทางเลี้ยวด้านขวา
มันเป็นทางลัด
ทะลุไป Stok Gompa" 

เธอแนะนำทางให้ว่าราว 
4 กมเราจะไปถึงที่หมาย...เย่!

 

หลังก้าวออกจากร้านไปพร้อมน้ำดื่มที่กรอกมาเต็มกระบอกได้ไม่กี่เมตร เราเจอกับหญิงชราที่เดิน
ออกมายกหินก้อนโตปิดช่องทางน้ำไหลเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูกของเธอ เพื่อส่งต่อไป
ยังบ้านอื่น  ซึ่ง
คอสตูมของป้ามีการนำผ้ามาคลุมหัวเหมือนกับน้องผู้หญิงร้านขายของชำเป๊ะ ๆ เลย 


"จูเล"  เราทักทายกันง่าย ๆ ชอบคำนี้จัง

หลังยกหินเและปัดมือไม้ที่ทั้งเลอะทั้งเปียกบนชายเสื้อ ป้าหันมาตอบกลับด้วยภาษาจุ๊กจิ๊ก ๆ 
แอบฟังไม่รู้เรื่องแต่ก็เดาว่า  เอ็งจะคิดเดินจากนี่ทะลุไปโผล่ มาโธ หรือไง?   

ใช่ค่ะเส้นทางนี้เชื่อมถึงกันได้ ...แต่ใครมันจะบ้าเดินไปล่ะ!

 

"สต็ก" เราตอบพร้อมทำไม้ทำมือว่าจะเดินเลี้ยวที่โค้งหน้า 4 กม. แน่นะ

แกว่าถูกแล้ว เดินต่อไปเลย...เราเลยแกล้งทำท่าจะเป็นลม   แอคติ้งนี้น่าจะผ่านเพราะป้า
หัวเราะลั่น พร้อมเดินเข้ามาตบไหล่ปลอบ ..."ใกล้ ๆ แค่นี้ต้องไหวสิ!" 

หลังมุ่งหน้าเดินต่อเพื่อลบคำสบประมาทของป้า จนหาตรอกทางลัดที่ว่าเจอ ก็มองเห็นที่ตั้ง 
Gompa ที่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่นั่งเด่นบนเนินเขามาแต่ไกล  โดยเมื่อพ้นไปจากจุดนี้ พื้นที่
รอบข้าง
และทางเดินตรงไปจะไม่มีร่มเงาของต้นไม้อีก...เราถอยกลับมายังหน้าเส้นถนนดังเดิม

รถรับจ้างที่เต็มไปด้วยชาวบ้านและเด็กนักเรียนกำลังวิ่งสวนมา เดาจากทิศทาง
พวกเขาคงตรงไปยังฝั่งสะพานที่จะข้ามไป Choglamsar เราลืมคำของป้าที่ให้
กำลังใจเมื่อก่อนหน้า แล้วโบกรถตีกลับไปยังจุดเริ่มเพื่อหาแท็กซี่ไปส่งให้จบ ๆ

 



⭗ เส้นทางไปยัง Stok ที่ถูกรื้อและรอการสร้างใหม่ สภาพในตอนนี้จึงเป็นดินลูกรัง
ทีแรกพี่โชเฟอร์คิดราคา 500 รูปี ไป-กลับ ...แต่ขอต่อรองเหลือ 250 รูปี แบบไปไม่กลับ 


 


Stok เป็นทั้งที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์พระราชวังและในปัจจุบันยังใช้เป็นที่พำนักของอดีตเชื้อพระวงศ์ 
หากผิดหวังจากการเข้าชมพระราชวังในเลห์ (ที่ด้านในนั้นดูว่างเปล่า) ก็ลองมาที่นี่แทนได้ค่ะ 



⭗ พระราชวังที่หมู่บ้าน Stok  ดูใหม่กว่าพระราชวังอื่น ๆ ที่เคยเห็นในลาดัก เพราะเพิ่งสร้างขึ้นเมื่อช่วง ศตวรรษที่ 19 

ในปัจจุบันนี้พื้นที่บางส่วนของตัวพระราชวังได้ถูกดัดแปลงให้มีห้องรับรองสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย เป็น
กิจการของทายาทสายตรงแห่งราชวงศ์ Namgyal รุ่นที่ 34  : Jigmed Wangchuk Namgyal  ไปเยี่ยมชม
ได้ที่ Link: 
https://www.stokpalaceheritage.com/




⭗ ก่อนรถจะเลี้ยวไปถึงตัวพระราชวัง ถนนเริ่มมีสภาพดีขึ้น




⭗ ทางเข้า Stok Palace Museum ที่มี ร้านขายอาหารเล็ก ๆ ใกล้ติดกัน ถ้าไม่เจอคนเฝ้าก็ติดต่อที่คาเฟ่ได้

 

ค่าเข้าชม จะเก็บอยู่ที่ 70 รูปี ผู้ที่เก็บค่าเข้าชมก็คือคนเดียวกับที่ดูแลคาเฟ่ที่ตั้งด้านข้างนั่นแหละค่ะ
สถานที่ภายในห้ามถ่ายภาพนะคะ และวันนี้เราก็ไม่มีเวลามานั่งบันทึกอะไรไว้เลย ลองไปลองค้นหาจาก
ภาพถ่ายอื่น ๆ ในอินเตอร์เน็ตเพื่อทวนความจำภายหลังว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง
...แต่ก็หาไม่พบ ลึกลับจริง ๆ
จนตอนนี้เริ่มลืมซะแล้ว...คงต้องบอกเพื่อน ๆ ผู้อ่านว่า จงเดินทางไปดูเองละกันน้อ  122


..............


ในช่วงเวลานั้นเหมือนกับว่ายังไม่มีใครเดินทางมาเยี่ยมชมพื้นที่ด้านในสักคน  เมื่อก้าวผ่านประตูก็พบเห็น
กะโหลกสัตว์ หนังเสือ  ข้าวของเครื่องมือ อาวุธโบราณ
ของลาดัก บางพื้นที่ของตัวพระราชวังด้านในก็กั้น
เขตห้ามเข้า
(พื้นที่ส่วนตัว)เอาไว้


และเมื่อได้แหงนมองไปยังชั้นบน พบว่ามีหลายห้องบนนั้นที่ถูกปิดคล้องด้วยกุญแจ...เฮ้อ นึกแอบเสียดาย
ค่าตั๋วเลยนะเนี่ย
  เราเดินขึ้นไปตามทางบันไดแคบ ๆ เชื่อมต่อไปยังชั้นบน
คงใช้เวลายืนอ่านคำอธิบายต่าง ๆ 
ที่ติดอยู่ด้านหน้าห้องหับเหล่านั้นแทนก็ได้   โดย
เลือกมาหยุดตั้งหลักที่หน้าห้องหนึ่ง ที่มีคำบรรยายประกอบ-
ภาพที่ติดเล่าถึงประวัติศาสตร์ลาดักเอาไว้  
ยืนอ่านไปอย่างเงียบเชียบ อยู่ ๆ ก็มีน้องอินเดียมายืนประกบข้าง ๆ 
ไม่รู้โผล่มายังไง ท่าทางเหมือนเพิ่ง
ตื่นนอนด้วยซ้ำ เขาทักทายด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ   "ฮัลโหล..."


ได้แต่หันไปทักตอบตามมารยาทที่ดี  แล้วก็กลับไปอ่านสิ่งที่ติดแสดงไว้เช่นเดิม ผ่านไปก็หลายนาที จนน้อง
พูดด้วยอีกรอบ "ทิ้กเก็ต
?"   ปัดโธ่...มาตรวจตั๋วก็ไม่บอก เลยหยิบให้ดูเพื่อยืนยันว่าไม่ได้แอบลักลอบเข้ามา   

หลังจากดูตั๋วแล้ว เขาก็หยิบแม่กุญแจที่คล้องเอวไว้ เพื่อทำการปลดล็อกห้องให้เข้าไปดูพื้นที่ด้านใน       

ฮู่ว์....โล่งอกไปที 

 

บรรดาห้องหับชั้นบน ถูกปิดกุญแจแทบหมดค่ะ เพราะเก็บสิ่งต่าง ๆ ที่มีค่าเอาไว้เยอะมาก ทั้งโบราณวัตถุ 
เครื่องประดับ (โดยเฉพาะเทอควอยซ์)  เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของสตรีชั้นสูง ภาพบันทึกทางประวัติศาสตร์  
และห้องยังมีห้องประกอบพิธีทางศาสนาของเชื้อพระวงศ์อีกด้วย  (ที่พระราชวังเลห์ก็มีพื้นที่ส่วนนี้ที่ยังคง
เก็บไว้เช่นกัน
) ระหว่างที่เข้าชมแต่ละห้อง ๆ น้องที่ทำหน้าที่ถือกุญแจก็จะจับตามองตลอด เมื่อดูห้องนี้จบ
เขาก็จะเข้ามาปิดล็อคและพาเราไป
ดูห้องจัดแสดงในลำดับถัดไป

ไม่รู้ว่าเขาจะเซ็งกับนักท่องเที่ยวรายนี้ที่ขยันอ่านป้ายบรรยายทุกป้ายที่วางติดหน้าวัตถุโบราณแทบจะ
ทุกชิ้นมั้ย… แบบว่า พี่ก็ไม่เข้าใจกับภาษาอังกฤษที่เขียนบรรยายทั้งหมดอ่ะ แต่ถ้า
มีเขียนภาษาไทย
กำกับไว้หน่อยนะ รับรองว่าไวกว่านี้แน่
555

 

หลังหมดธุระปะปังกับห้องหับสำคัญ ๆ ไปแล้ว เขาก็ปล่อยให้เราใช้เวลาตามลำพังกับ
พื้นที่แสดงรูปถ่าย
ส่วนตัวของเหล่าสมาชิกราชวงศ์ และบุคคลสำคัญที่เคยมีชีวิตอยู่ร่วมสมัย  

 

เมื่อเราใช้เวลากับสถานที่แห่งนี้จนพอใจ แล้วก็ถึงเวลาเดินลงมายังชั้นล่าง โบกมือให้สัญญาณ
น้องที่มาทำหน้าที่เปิดห้องเข้าชมว่า ไปแล้วนะ  กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติชุดใหม่ที่เพิ่งเดินทาง
เข้ามาถึงก็ยืนรวมตัวกันที่ชั้นหนึ่งมีราว ๆ 5-6 คน บ้างก็ถือกล้องใว้กับมือ กระบอกเลนส์เทเลที่ยาว
เหยียดของ
ใครบางคนในกลุ่มกำลังยกขึ้นพร้อมเล็งเจาะภาพที่ด้านบน แม้จะมีสัญลักษณ์ติดบอก
ไว้ตั้งแต่
หน้าประตูทางเข้าว่ากรุณาอย่าถ่ายภาพ พวกเขาคงอ่านออก แต่คงไม่สนใจ…ว่าแล้วก็
นึกถึงคน
ที่ทำหน้าที่เปิดปิดห้องหับให้กับบรรดาผู้เข้าชมเหล่านี้จริง ๆ…งานหนักแน่ไอ้น้อง!



..............

 

"เข้าไปซะตั้งนาน ผมก็รอทอนเงินให้อยู่เนี่ย"

หลังออกมาจากสถานที่ข้างใน ชายผู้ดูแลคาเฟ่ก็เรียกทัก พร้อมหยิบเอาธนบัตรย่อยมาส่งคืน 

ตอนซื้อบัตรเข้าชม เรายื่นแบงค์ใหญ่ไปเพราะไม่มีเศษเหมือนกัน แม้จะระแวงในท่าทีอยู่เล็ก ๆ ว่า
เขาจะอมเงินทอนหรือไม่   สำหรับผู้คนที่นี่ในเรื่องความซื่อตรงเราให้คะแนนระดับยอดเยี่ยมเลย!

 

ขึ้นชื่อว่าเป็นพระราชวังก็ย่อมมีวัดที่สร้างคู่กันอยู่เหนือถัดไปบนเนินเขาอยู่แล้ว
ด้วยความห่างของพื้นที่และความสูง ก็ต้องออกแรงเดินขึ้นไปอีกไกลเลย ไปได้ไม่เท่าไหร่
เราก็หยุดแค่บริเวณ
เนินสถูปเท่านั้น … เปลี่ยนทิศทางหันเหลงมาเดินเล่นข้างล่างแทนก่อนที่
จะมุ่งหน้าเดินออกไปจากพื้นที่นี้ดีกว่า

แม้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่บริเวณพื้นที่รอบข้างของ Stok ก็เงียบสงบดี เงียบในแบบชนิดที่ว่าไม่มี
เสียงแตรจากรถที่บีบดังเช่นที่อื่น ๆ  แม้จะมีรถวิ่งนำส่งนักท่องเที่ยวทยอยเข้ามาเรื่อย ๆ ก็ตาม
คาดเดาว่า...น่าจะให้ความเกรงใจและให้เกียรติเจ้าของผู้ดูแลล่ะนะ




⭗ Stok Palace Museum จากอีกมุมมองตรงทางเดินขึ้นเนินที่เชื่อมต่อกับ Stok Gompa



⭗ กลุ่มสถูปสีขาวระหว่างทางเดินขึ้นไปยัง Gompa (เราเดินมาสุดเพียงเท่านี้)
 




⭗ พื้นที่ด้านล่างเมื่อลงมาจากเนินเขาที่ตั้งของพระราชวัง



⭗ Chorten สีขาวที่หน้าซุ้มทางเข้าหมู่บ้าน Stok 

เดินเท้าออกจากหมู่บ้านตรงไปยังทางข้างหน้าที่เป็นพื้นที่โล่ง ๆ ไร้ร่มเงา แดดในช่วงเที่ยงวันของลาดัก มันช่าง
โหดร้าย ประกอบกับทางถนนช่วงนี้กำลังถูกรื้อทุบเพื่อ
เตรียมปูทางใหม่   การเดินเหินจึงไม่ค่อยเป็นเรื่องน่าสนุก
หากมีรถสวนมาคันนึงผมเผ้าเราก็
พร้อมจะเปลี่ยนสี  ระยะสองร้อยเมตรข้างหน้ามีคุณลุงในชุดพื้นเมือง และสวม
หมวกปีกรายหนึ่งล่วงหน้า
ไปอย่างเนิบช้าแต่ก็ดูลิ่วลม 

ไม่ช้าไม่นานก็ได้ยินเสียงของรถยนต์ที่กำลังวิ่งไล่หลังมา
กำลังมุ่งหน้าไปยังทางเดียวกัน 
เราหันไปโบกตามอย่างที่เคยเห็นดอลม่าทำ  ถึงจะกล้า ๆ กลัว ๆ  เพราะไม่เคยทำแบบนี้คนเดียว
รถคันนั้นจอดลง  เบาะหลังว่างอยู่สองที่ พวกเขากำลังจะไปที่สะพาน
ข้ามแม่น้ำเช่นกัน


เมื่อได้ติดรถไปด้วยก็แอบโล่งใจเบา ๆ  ที่ไม่ต้องออกแรงเดินไกลแล้ว
ส่วนในระยะข้างหน้าที่มีคุณลุงคนนั้นเดินนำอยู่
ก็ชะลอฝีเท้าลงเพื่อหยุดพักเหนื่อย 
และเปลี่ยนท่าทางมายืนรอแทน 

"ไปด้วยกันมั้ยลุง?"  
คนขับรถเทียบจอดถาม พร้อม ๆ กับให้เราช่วยเขยิบที่ให้คุณลุงหน่อย

 

"โอ...จูเล ๆ"

ลุงยกมือข้างนึงมาแตะหน้าผากตัวเอง ที่เป็นเหมือนภาษากายประกอบคำขอบคุณ




...........




 

บ่ายนั้น เรากลับไปถึงเลห์ทันเหล่านักวิ่งที่กำลังเลี้ยวโค้งเข้าสู้เส้นชัยพอดี เป็นอีกวันที่น่าประทับใจจริง ๆ
หนำซ้ำยังได้เห็นสองนักเดินทางคุ้นหน้าชาวฝรั่งเศสมายืนชมการแข่งขันนี้อีกด้วย พวกเขาเพิ่งกลับมาจาก
การเทรกไปยังเส้นทางยอดฮิตอย่าง
Markha พอดิบพอดี

 

"พวกเราเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไกล วันนี้เลยอยากผ่อนคลายเดินเล่นในเมืองกันชิล ๆ"
ว่าแล้วก็ชี้ให้ดูรองเท้าแตะที่ใส่มา แทนที่จะเป็นรองเท้าเดินป่าอย่างที่เห็นจนคุ้นตา

 

"นี่ก็เพิ่งกลับมาจาก Stok" เราไม่มีแผนการไปเทรกอย่างพวกเขา ก็ได้แต่โม้ให้ฟังว่าไปไหนมา
ถึงจะไปเที่ยวพระราชวังก็จริง แต่ก็มีร่องรอยจากฝุ่นที่เกรอะกรังไม่แพ้กันเพราะถนนลูงรังนั่น

"เออ เดี๋ยวพรุ่งนี้ เขาก็จะบินกลับเดลีแล้ว"  นายแว่นหันไปพูดถึงคู่หู  ที่มีแผนบินไปที่ตุรกีต่อ 
ส่วนตัวเขาเองนั้นจะยังหาเรื่องสิงอยู่แถว ๆ นี้อีกนาน ก็ได้แต่อวยพรให้โชคดีเดินทาง
ปลอดภัย
สำหรับอีกคน และบอกแล้วเจอใหม่กับอีกคนก่อนจะขอแยกตัวหายไป

 

เมื่อกลับมายังที่พัก  กางแผนที่ พร้อมเคาะหารูปจากอินเตอร์เน็ต  เพื่อตรวจดูหน้าตาของเส้นทาง
ที่สองนักผจญภัยได้ไปมาแล้ว 
 นี่หากมองย้อนกลับไปยังช่วงตกระกำลำบากที่  Koksar นั่น 
เราต้องขอยอมแพ้เรื่องอุปกรณ์และการเตรียมพร้อมของพวกเขาจริง ๆ  ทั้งเต๊นท์และถุงนอน อุปกรณ์
แค้มปิ้งจิปาถะ
ที่แบกมา บอกเลยว่าเรายังไม่พร้อมลุยขนาดนั้น...จึงไม่ได้คิดอาลัยอาวรณ์นักกับเรื่องที่
ไม่ได้เดินทางไกลอย่างพวกเขา    
เมื่อลากสายตาดูเส้นทางจาก Chilling ไปยัง Markha  ณ จุดกึ่งกลาง
ที่น่าจะดูเป็นจุดเด่นก็คือยอดเขาสูง
ชื่อว่า Stok Khangri 

** Khang ก็คือ น้ำแข็งที่ทับถมเป็นชั้นหนาอยู่บนยอดเขาสูง / Ri แปลว่า ภูเขา **


นี่กลับลืมไปเสียสนิทเลยนะ  ไปถึง Stok แล้วแท้ ๆ  ดันลืมมองหายอดเขานี้ไปได้ไง  เหมือนไปถึง
แต่ไม่ถึงยังไงงั้น....คล้ายกับคำกล่าวที่เรามักถูกแซวเสมอ ๆ ว่า  มาอินเดียแล้วไม่แวะเที่ยวทัชมาฮาล
ก็เท่ากับมาไม่ถึงอินเดีย~อะไรทำนองนี้ 
แม้ความจริงแล้ว Stok Kangri สามารถมองเห็นได้จากหลาย
แห่งแต่ที่ชัดและใกล้สุดก็คือ Stok นั่นเอง 

 



⭗ ภาพถ่ายที่พอจะมีเก็บไว้ในทิศทางที่หันไปยัง Stok Gompa ฉากหลังนั้นมียอดเขาสูงที่มีหิมะคลุมสองตำแหน่ง
น่าจะใช่สักอันบ้างแหละ หรือเผื่อใครทราบก็วานบอกกันด้วยนะ :)


 

เธอเห็น สต็ก นั่นไหม?    
ฉันเก็บเอาไว้ให้เธอ

และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ

ฮื้อ….ฮึมมม~



 



*** เพิ่มเติมภายหลัง ***

H.E. Raja Jigmed Wangchuk Namgyal  ในบทความของ Epoch Times
กับความคิดเห็นเรื่องการกล่าวอ้างเขตแดนในภูมิภาคนี้ของจีน ภายหลังจากลาดักเปลี่ยนสถานะเป็น
'ดินแดนสหภาพ' (2019)  จากกรณีเกิดเหตุการปะทะกันระหว่างทหารอินเดียและจีน บริเวณ Galwan Valley
ที่มีเส้นเขตควบคุมตามความเป็นจริงร่วมกัน (de facto Line of Actual Control -- LAC) เมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา
Link : https://www.theepochtimes.com/scion-of-former-bhuddhist-dynasty-says-ccp-has-no-historical-
records-to-claim-indian-territory_3527705.html



Create Date : 06 เมษายน 2564
Last Update : 18 เมษายน 2564 16:33:15 น. 11 comments
Counter : 1188 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณhaiku, คุณสองแผ่นดิน, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณSweet_pills, คุณ**mp5**, คุณKavanich96, คุณmultiple, คุณtuk-tuk@korat, คุณทุเรียนกวน ป่วนรัก, คุณSertPhoto, คุณคนผ่านทางมาเจอ, คุณสาวไกด์ใจซื่อ, คุณอุ้มสี, คุณชีริว


 
อะไรกัน เพิ่งเห็นดอลม่าตอน 2 อยู่เหม็บ ๆ รีบอัพบล๊อกใหม่ซะละ
^
^
(แกมาช้าเองตะหาก )



เดี๋ยวขอไปอ่านบล๊อกที่แล้วก่อนนะ แหะ ๆ ^^"


โดย: ทุเรียนกวน ป่วนรัก วันที่: 6 เมษายน 2564 เวลา:23:44:14 น.  

 
@ทุเรียนกวนฯ : อัพบล็อกใหม่แล้วก็ดู
Pharaoh's golden parade(ย้อนหลัง)
ยาวมาจนเลยเที่ยงคืน แว้บเข้าบล็อกมาอีกที
อ้าว....ใครมาเจิมบล็อกซะดึกดื่น 555

จากเอนทรี่ก่อนหน้านี้
ใช่แล้ว ถ่ายติดดอลม่ามาหน่อยนึง


โดย: กาบริเอล วันที่: 7 เมษายน 2564 เวลา:14:12:13 น.  

 
เส้นทางกันดารมากๆ สุดยอดมากครับ


โดย: สำรวจฟ้า วันที่: 7 เมษายน 2564 เวลา:18:37:12 น.  

 
แทนการเดิน นั่งแท็กซี่แบบไปไม่กลับ 250 รูปีน่าจะคุ้มกว่านะคะ
อ่านได้ครึ่งนึงก่อนแล้วพี่ต๋าจะมาอ่านต่อค่ะน้องฟ้า


โดย: Sweet_pills วันที่: 8 เมษายน 2564 เวลา:0:51:17 น.  

 
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ


โดย: **mp5** วันที่: 8 เมษายน 2564 เวลา:9:38:38 น.  

 
@สำรวจฟ้า : ถ้าไม่ติดเรื่องสภาพภูมิประเทศ
ถนนหลายแห่งสภาพดีนะคะ แต่เส้นทางที่วิ่งไป
stok หนนั้นกำลังทำทางใหม่พอดี :)

.......

@Sweet_pills : หาเรื่องเดินเล่นออกกำลังค่ะพี่ต๋า
แต่ดูจากระยะทาง+แดด+อากาศแห้ง ๆ ...สำหรับ
คนที่ไม่ได้เตรียมพร้อม อย่าหาทำจ้าาา 555
ว่าแล้วก็กลับหลังหัน (พร้อมหลบหน้าเมื่อรถวิ่งรับ
จ้างคันแรกผ่านบ้านป้า)


.......

@**mp5** : ขอบคุณค่ะ


โดย: กาบริเอล วันที่: 8 เมษายน 2564 เวลา:12:40:46 น.  

 
ขอบคุณ


โดย: Kavanich96 วันที่: 9 เมษายน 2564 เวลา:4:38:22 น.  

 
มาบล็อกนี้ทีไร หวั่นใจทุกครั้งว่าจะอ่านไม่ไหว
แต่พอ อ่านไปอ่านมา นึกภาพตามไปด้วย ก็เพลินดีเหมือนกันแฮะ
มาบอกแค่นี้แหละจ้า ไปละนะ อิอิ

น้องฟ้าบอก เดี๋ยวเอ็งจะโดน แทนที่จะรีบเม้นท์ มั่วแต่ร่ำไร
อยู่นั่นแหละ
ยังอีก 555

เม้นท์แล้วจ้า ข้างบนแค่ ตั้งสติเฉยๆ555
(มีไม่กี่บล็อกที่เม้นท์ยาก ถึงขั้น อ.เต๊ะ ต้องตั้งสติ555)

เส้นทางที่จะไปเที่ยววังเก่านี่ ดูแห้งแล้งมากเลยนะ
แต่ชอบตอน ข้ามสะพาน ดู adventure เอามากๆ
สะพานเชือก น้ำก็เชี่ยวซะ หวาดเจียวมาก

แล้วก็มานั่งนึกดู ป้าข้างทางอุตส่าห์ตบบ่า เชื่อมั่น ในพลังขาอันบึกบึน แข็งแกร่ง
แค่4 กิโลเอ้ง ไหง นั่งรถไปซะงั้น ผิดหวังแทนป้า อิอิ

น้องฟ้าบอก เอ็งลองมาเป็นข้าแบกเป้ แบกหม้อเตาแก๊สปิ๊กนิ๊ก+เต้นท์ เดิน 4กิโลดูมั้งซี้ เดี๊ยะๆ555

แล้วก็มาดูวังโบราณ เงียบๆคนเดียวนี่ ทีแรกคิดว่ามันวังเวงเหมือนกันนะ
ถ้าไอ้น้องคนตรวจตั๋ว ไม่มายืนกำกับด้วยนี่ ก็น่ากลัวไม่ใช่เล่นๆ
แต่พอตามไปดูรูปห้องพัก นักท่องเที่ยว โห สวยอะ
ได้บรรยากาศ cozy เอามากๆ อยากได้ nighttableไม้จริง ด้วย
ไม่รู้จะจิ๊กมาได้มั้ย อิอิ

น้องฟ้า บอก นิสัย แต่ถ้าเอ็งไปกับข้า ก็พอมีทาง เย้ย 555

แล้วก็อุตส่าห์ไปถึง สต็ก แล้วกลับลืม ไม่ได้เห็น ยอดเขาในตำนาน คงเหมือนไปญี่ปุ่นแล้วไม่เห็น ฟูจิ แหงๆ

งานนี้ สงสัยจะมี return แหงๆ

จบการเม้นท์ส่งครูแต่เพียงเท่านี้ ไปนอนแล้วจ้า555







โดย: multiple วันที่: 11 เมษายน 2564 เวลา:4:56:03 น.  

 
@multiple : บนสะพานมีป้ายติดเตือนว่าห้าม
เซลฟี่ด้วย ...ทีแรกก็ไม่เข้าใจทำไมห้าม แต่จังหวะ
ที่เดินสวนกับคนอื่น สะพานแขวนมันก็ดีดดึ๋งดั๋ง ๆ
น่ากลัวเอาเรื่อง (จะพลิกร่วงมั้ยยยยย)

ได้เห็นยอด stok khangri อีกทีก็ตอนไปหมู่บ้าน
อื่นค่ะ มีคนใจดีชี้ให้ดู แต่ถึงอย่างนั้น ฟ้าจำไม่
ได้อยู่ดีว่ายอดไหนอีก แฮ่ ๆ...

ปล. นั่งรถไปดีกว่า เกิดเดิน ๆ แล้วเป็นลมล้มพับ
ไปสภาพน่าจะสาหัสกว่าตัวละครที่ชื่อ Irena จาก
หนังเรื่อง The way back (2010) แหง ๆ


โดย: กาบริเอล วันที่: 13 เมษายน 2564 เวลา:21:44:38 น.  

 
ถ้าได้เข้าไปชมของโบราณคงจะนานเหมือนกันค่ะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 17 เมษายน 2564 เวลา:21:50:11 น.  

 
มาเม้นต์ช้าหน่อย (ไม่หน่อยมั้ง :P)


ดีนะที่สะพานข้ามแม่น้ำแบบเดินได้ ประหยัดตังค์ไปเยอะ
ถ้าไปถึงแล้วเจอสะพานเชือกเส้นเดียว (ที่ให้คนไถ ๆ ไปแบบ รด.) คงสลบ
จะวกกลับก็ไม่ทันแหล่ว ^^"

Sea buckthorn ไม่เคยเห็นเลยแฮะ
แต่พวกผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวไม่ว่าอยู่ภูมิภาคไหน ๆ
มักจะอยู่บนต้นที่มีหนามซะเยอะเลยแฮะ แปลกดีเหมือนกัน

พิพิธภัณฑ์ที่เปิดห้องให้เฉพาะตอนมีคนเข้าชมก็ดีเหมือนกันนะ
ใช้คนดูแลไม่มาก ขนาดเด็กเพิ่งตื่นนอนคนเดียวยังดูแลได้เลย 55
แต่รู้สึกกดดันเวลามีคนเฝ้าดูเฝ้ารอเรา (ว่าเมื่อไหร่จะไปซักที) อยู่น่ะ
ยิ่งคนที่สนใจและใช้เวลาดูอะไรไม่เหมือนชาวบ้านยิ่งกดดันเนอะ


ป.ล. กระโหลกสัตว์ > กะโหลกสัตว์ ^^


โดย: ทุเรียนกวน ป่วนรัก วันที่: 18 เมษายน 2564 เวลา:9:51:03 น.  

BlogGang Popular Award#20


 
กาบริเอล
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




ชอบต้นไม้, แมว, หนังสือ
ออกเดินทางท่องเที่ยวตามโอกาส
และเคยมีลูกค้างคาวในอุปการะหนึ่งตัว

การเขียนบล็อก
คืออีกพื้นที่บอกเล่าผ่านตัวอักษร
และตัวตนของเราก็อยู่ในสิ่งที่เขียนค่ะ

ขอบคุณ Bloggang
สำหรับพื้นที่แบ่งปันตรงนี้

....

เริ่มต้นลงบันทึกอย่างเป็นทางการ
ณ วันที่ 16 ม.ค. 2014

###ไม่ได้ใช้ Facebook แล้วนะคะ###

© ขอสงวนลิขสิทธิ์ ภาพถ่าย 
ห้ามนำไปใช้ ดัดแปลง แก้ไข 
โดยไม่แจ้งที่มา ก่อนได้รับอนุญาต


New Comments
Friends' blogs
[Add กาบริเอล's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.