Ladakh 2019 - ไป Stok แบบไม่มีรถประจำทาง
ไป Stok แบบไม่มีรถประจำทาง หัวข้อที่ควรเป็นไม่ใช่ ไป Stok แบบไม่ใช้รถส่วนตัว หรอกเรอะ? ฟังไม่ผิดหรอกค่ะ … ช่วงนั้นรถประจำทางระหว่าง Leh-Stok ได้ระงับ การวิ่งชั่วคราวจริง ๆ
หากมองจากแผนที่จะเห็นว่าอยู่ไม่ไกลไปกว่า Choglamsar เพียงแค่ว่าจะเลี้ยว แยกไปอีกทางนึงหลังจากนั้น โดยผ่านลำน้ำสินธุไป เราเคยจับรถมาลงและ ป้วนเปี้ยนตรงจุดจอดรถแท็กซี่เพื่อถามหาการต่อรถ แต่ก็ไม่ได้คำตอบและเจอ ค่าโดยสารมหาโหดเข้าไป "เอาเป็นว่า ผมคิด 800 รูปี ละกัน"
หลังจบความพยายามนั้นไปด้วยความไม่รู้ทิศทางของตัวเอง จากนั้นก็ไปบ่น ๆ ให้กับชาวต่างชาติรายหนึ่งที่ทำงานเป็นอาสาสมัครในเลห์นานนับสิบปีฟัง เขาคิดว่าสาเหตุที่แท็กซี่เรียกแพงเป็นเพราะทางปกติที่เป็นถนนตัดข้ามผ่าน แม่น้ำมันพังก็เลยต้องขับอ้อมโลกไปไกล
"ไม่ลองข้ามแม่น้ำสินธุไปอีกฝั่งล่ะ แล้วไปขึ้นรถจากฟากโน้น" เขาให้ความเห็นพร้อมตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าการไปหารถจาก Choglamsar
"ข้ามยังไงอ่ะ...ว่ายน้ำ?" เฮ้อ คิดอะไรพิลึกจริง (เราน่ะ)
"ไม่ ๆ จากตรงท่ารถให้เดินลงมาอีกนิด ถามคนแถวนั้นดูก็ได้นะว่า สะพานเดินข้ามแม่น้ำไปทางไหน มันอาจมองหายากเพราะต้องเดินลัด เลาะผ่านตรอกและซอกอาคาร"
เราเตรียมแผนกลับไปที่นั่นอีกครั้ง คราวนี้ไม่น่าพลาด จะเหลือก็เพียงตัวเลือกระหว่างนั่งรถรับจ้างกับหาเรื่องเดินเท้าไป แล้วช่วงพยายามรีบกลับมาให้ทันดูผลการแข่งอัลตร้ามาราธอนในชื่อ Khardung La Challenge เพราะที่ Finish line ก็ตรงใจกลางตลาดเลห์นี่เอง ภาพบรรยากาศงานวิ่งบางส่วน -> วันงานเทศกาลผ่านมา -Ladakh Marathon 2019
⭗ สะพานไมตรี (The Maitri bridge) ที่จุดข้ามแม่น้ำสินธุทางฝั่ง Choglamsar
[คลิป] ระดับความเชี่ยวและขุ่นของแม่น้ำสินธุในช่วงเวลานั้น
⭗ ข้ามสะพานแล้วเดินออกไปทางซ้ายเพื่อหาทางลัดไปยัง Stok แถวนี้ร่มรื่นดี เดินเรื่อย ๆ ไม่ร้อน (โปรดใช้วิจารณญาณฯ)
เมื่อข้ามมาได้แล้ว แทนที่จะเลือกลุยตรงไปข้างหน้า เราเลือกเดินเลี้ยวซ้ายแทนค่ะเห็นว่ามันร่มรื่นดี นอกเหนือ ไปจากบ้านเรือนต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ริมทาง บริเวณนี้มีพื้นที่ชุ่มน้ำที่เหมาะกับการเพาะปลูกมาก ๆ แถมยังมีดงปลูกพืช อย่าง Sea buckthorn ด้วยนะ ถึงมันตั้งอยู่ไกลสายตาเกินขอบถนนไปเยอะ แต่ก็ได้เห็นการเก็บเกี่ยวผลของ ต้นนี้ที่เคยสงสัยมานานแล้วว่าเขาจะริดผลมันออกมายังไงไม่ให้หนามตำมือ
⭗ ตัวอย่างของ Sea buckthorn juice เครื่องดื่มประจำฤดูกาล จากร้าน Dzomsa และลักษณะกิ่งและใบที่มีผลติดอยู่ เห็นมันวางโชว์ที่หน้าโต๊ะคิดเงินเลยขอยืมมาวางถ่ายรูปสักหน่อย มีรสเปรี้ยวจัด ถ้าไม่ผสมน้ำเชื่อมก็จะเปรี้ยวแสบคอมาก
สรุปแล้ว...พวกเขาจะทำการขึงผ้าไว้ด้านล่างของต้นและใช้ไม้หวดกิ่งเพื่อให้ลูกมันร่วงลงมาก็เท่านั้น แล้วจากนั้นเบอร์รี่เหล่านี้ก็จะกลายไปเป็นน้ำผลไม้ ถ้ารักการดื่มแบบคั้นสดก็ไปหาดื่มที่ Dzomsa และ หากชอบแบบบรรจุขวดพาสเจอร์ไรซ์แช่เย็นก็มองหาได้ทั่วไป (ไม่ใช่พื้นที่โฆษณาใด ๆ) โต๋เต๋ ไปสักพักก็เจอร้านขายของชำเล็ก ๆ เลยแวะซื้อขนมและถามถึงระยะทางที่จะลัดไป Stok ตาม คำบอกเล่าที่ได้ยินมา คนดูแลร้านเป็นผู้หญิงและคลุมผ้าที่ศีรษะ...เท่าที่เห็นมาผู้หญิงแถวนี้มักจะ คลุมผ้าแบบทัดหูสองข้าง เลยคิดว่าน่าจะเป็นการแต่งตัวแบบสาวชาวลาดักมุสลิม
"เดินไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอกับทางเลี้ยวด้านขวา มันเป็นทางลัดทะลุไป Stok Gompa"
เธอแนะนำทางให้ว่าราว 4 กม. เราจะไปถึงที่หมาย...เย่! หลังก้าวออกจากร้านไปพร้อมน้ำดื่มที่กรอกมาเต็มกระบอกได้ไม่กี่เมตร เราเจอกับหญิงชราที่เดิน ออกมายกหินก้อนโตปิดช่องทางน้ำไหลเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูกของเธอ เพื่อส่งต่อไปยังบ้านอื่น ซึ่ง คอสตูมของป้ามีการนำผ้ามาคลุมหัวเหมือนกับน้องผู้หญิงร้านขายของชำเป๊ะ ๆ เลย
"จูเล" เราทักทายกันง่าย ๆ ชอบคำนี้จัง หลังยกหินเและปัดมือไม้ที่ทั้งเลอะทั้งเปียกบนชายเสื้อ ป้าหันมาตอบกลับด้วยภาษาจุ๊กจิ๊ก ๆ แอบฟังไม่รู้เรื่องแต่ก็เดาว่า เอ็งจะคิดเดินจากนี่ทะลุไปโผล่ มาโธ หรือไง?
ใช่ค่ะเส้นทางนี้เชื่อมถึงกันได้ ...แต่ใครมันจะบ้าเดินไปล่ะ! "สต็ก" เราตอบพร้อมทำไม้ทำมือว่าจะเดินเลี้ยวที่โค้งหน้า 4 กม. แน่นะ แกว่าถูกแล้ว เดินต่อไปเลย...เราเลยแกล้งทำท่าจะเป็นลม แอคติ้งนี้น่าจะผ่านเพราะป้า หัวเราะลั่น พร้อมเดินเข้ามาตบไหล่ปลอบ ..."ใกล้ ๆ แค่นี้ต้องไหวสิ!" หลังมุ่งหน้าเดินต่อเพื่อลบคำสบประมาทของป้า จนหาตรอกทางลัดที่ว่าเจอ ก็มองเห็นที่ตั้ง Gompa ที่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่นั่งเด่นบนเนินเขามาแต่ไกล โดยเมื่อพ้นไปจากจุดนี้ พื้นที่ รอบข้างและทางเดินตรงไปจะไม่มีร่มเงาของต้นไม้อีก...เราถอยกลับมายังหน้าเส้นถนนดังเดิม รถรับจ้างที่เต็มไปด้วยชาวบ้านและเด็กนักเรียนกำลังวิ่งสวนมา เดาจากทิศทาง พวกเขาคงตรงไปยังฝั่งสะพานที่จะข้ามไป Choglamsar เราลืมคำของป้าที่ให้ กำลังใจเมื่อก่อนหน้า แล้วโบกรถตีกลับไปยังจุดเริ่มเพื่อหาแท็กซี่ไปส่งให้จบ ๆ
⭗ เส้นทางไปยัง Stok ที่ถูกรื้อและรอการสร้างใหม่ สภาพในตอนนี้จึงเป็นดินลูกรัง ทีแรกพี่โชเฟอร์คิดราคา 500 รูปี ไป-กลับ ...แต่ขอต่อรองเหลือ 250 รูปี แบบไปไม่กลับ
Stok เป็นทั้งที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์พระราชวังและในปัจจุบันยังใช้เป็นที่พำนักของอดีตเชื้อพระวงศ์ หากผิดหวังจากการเข้าชมพระราชวังในเลห์ (ที่ด้านในนั้นดูว่างเปล่า) ก็ลองมาที่นี่แทนได้ค่ะ
⭗ พระราชวังที่หมู่บ้าน Stok ดูใหม่กว่าพระราชวังอื่น ๆ ที่เคยเห็นในลาดัก เพราะเพิ่งสร้างขึ้นเมื่อช่วง ศตวรรษที่ 19
ในปัจจุบันนี้พื้นที่บางส่วนของตัวพระราชวังได้ถูกดัดแปลงให้มีห้องรับรองสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย เป็น กิจการของทายาทสายตรงแห่งราชวงศ์ Namgyal รุ่นที่ 34 : Jigmed Wangchuk Namgyal ไปเยี่ยมชม ได้ที่ Link: https://www.stokpalaceheritage.com/
⭗ ก่อนรถจะเลี้ยวไปถึงตัวพระราชวัง ถนนเริ่มมีสภาพดีขึ้น
⭗ ทางเข้า Stok Palace Museum ที่มี ร้านขายอาหารเล็ก ๆ ใกล้ติดกัน ถ้าไม่เจอคนเฝ้าก็ติดต่อที่คาเฟ่ได้
ค่าเข้าชม จะเก็บอยู่ที่ 70 รูปี ผู้ที่เก็บค่าเข้าชมก็คือคนเดียวกับที่ดูแลคาเฟ่ที่ตั้งด้านข้างนั่นแหละค่ะ สถานที่ภายในห้ามถ่ายภาพนะคะ และวันนี้เราก็ไม่มีเวลามานั่งบันทึกอะไรไว้เลย ลองไปลองค้นหาจาก ภาพถ่ายอื่น ๆ ในอินเตอร์เน็ตเพื่อทวนความจำภายหลังว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง...แต่ก็หาไม่พบ ลึกลับจริง ๆ จนตอนนี้เริ่มลืมซะแล้ว...คงต้องบอกเพื่อน ๆ ผู้อ่านว่า จงเดินทางไปดูเองละกันน้อ
..............
ในช่วงเวลานั้นเหมือนกับว่ายังไม่มีใครเดินทางมาเยี่ยมชมพื้นที่ด้านในสักคน เมื่อก้าวผ่านประตูก็พบเห็น กะโหลกสัตว์ หนังเสือ ข้าวของเครื่องมือ อาวุธโบราณ ของลาดัก บางพื้นที่ของตัวพระราชวังด้านในก็กั้น เขตห้ามเข้า(พื้นที่ส่วนตัว)เอาไว้
และเมื่อได้แหงนมองไปยังชั้นบน พบว่ามีหลายห้องบนนั้นที่ถูกปิดคล้องด้วยกุญแจ...เฮ้อ นึกแอบเสียดาย ค่าตั๋วเลยนะเนี่ย เราเดินขึ้นไปตามทางบันไดแคบ ๆ เชื่อมต่อไปยังชั้นบนคงใช้เวลายืนอ่านคำอธิบายต่าง ๆ ที่ติดอยู่ด้านหน้าห้องหับเหล่านั้นแทนก็ได้ โดยเลือกมาหยุดตั้งหลักที่หน้าห้องหนึ่ง ที่มีคำบรรยายประกอบ- ภาพที่ติดเล่าถึงประวัติศาสตร์ลาดักเอาไว้ ยืนอ่านไปอย่างเงียบเชียบ อยู่ ๆ ก็มีน้องอินเดียมายืนประกบข้าง ๆ ไม่รู้โผล่มายังไง ท่าทางเหมือนเพิ่งตื่นนอนด้วยซ้ำ เขาทักทายด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ "ฮัลโหล..." ได้แต่หันไปทักตอบตามมารยาทที่ดี แล้วก็กลับไปอ่านสิ่งที่ติดแสดงไว้เช่นเดิม ผ่านไปก็หลายนาที จนน้อง พูดด้วยอีกรอบ "ทิ้กเก็ต?" ปัดโธ่...มาตรวจตั๋วก็ไม่บอก เลยหยิบให้ดูเพื่อยืนยันว่าไม่ได้แอบลักลอบเข้ามา หลังจากดูตั๋วแล้ว เขาก็หยิบแม่กุญแจที่คล้องเอวไว้ เพื่อทำการปลดล็อกห้องให้เข้าไปดูพื้นที่ด้านใน
ฮู่ว์....โล่งอกไปที
บรรดาห้องหับชั้นบน ถูกปิดกุญแจแทบหมดค่ะ เพราะเก็บสิ่งต่าง ๆ ที่มีค่าเอาไว้เยอะมาก ทั้งโบราณวัตถุ เครื่องประดับ (โดยเฉพาะเทอควอยซ์) เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของสตรีชั้นสูง ภาพบันทึกทางประวัติศาสตร์ และห้องยังมีห้องประกอบพิธีทางศาสนาของเชื้อพระวงศ์อีกด้วย (ที่พระราชวังเลห์ก็มีพื้นที่ส่วนนี้ที่ยังคง เก็บไว้เช่นกัน) ระหว่างที่เข้าชมแต่ละห้อง ๆ น้องที่ทำหน้าที่ถือกุญแจก็จะจับตามองตลอด เมื่อดูห้องนี้จบ เขาก็จะเข้ามาปิดล็อคและพาเราไปดูห้องจัดแสดงในลำดับถัดไป
ไม่รู้ว่าเขาจะเซ็งกับนักท่องเที่ยวรายนี้ที่ขยันอ่านป้ายบรรยายทุกป้ายที่วางติดหน้าวัตถุโบราณแทบจะ ทุกชิ้นมั้ย… แบบว่า พี่ก็ไม่เข้าใจกับภาษาอังกฤษที่เขียนบรรยายทั้งหมดอ่ะ แต่ถ้ามีเขียนภาษาไทย กำกับไว้หน่อยนะ รับรองว่าไวกว่านี้แน่ 555 หลังหมดธุระปะปังกับห้องหับสำคัญ ๆ ไปแล้ว เขาก็ปล่อยให้เราใช้เวลาตามลำพังกับ พื้นที่แสดงรูปถ่ายส่วนตัวของเหล่าสมาชิกราชวงศ์ และบุคคลสำคัญที่เคยมีชีวิตอยู่ร่วมสมัย เมื่อเราใช้เวลากับสถานที่แห่งนี้จนพอใจ แล้วก็ถึงเวลาเดินลงมายังชั้นล่าง โบกมือให้สัญญาณ น้องที่มาทำหน้าที่เปิดห้องเข้าชมว่า ไปแล้วนะ กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติชุดใหม่ที่เพิ่งเดินทาง เข้ามาถึงก็ยืนรวมตัวกันที่ชั้นหนึ่งมีราว ๆ 5-6 คน บ้างก็ถือกล้องใว้กับมือ กระบอกเลนส์เทเลที่ยาว เหยียดของใครบางคนในกลุ่มกำลังยกขึ้นพร้อมเล็งเจาะภาพที่ด้านบน แม้จะมีสัญลักษณ์ติดบอก ไว้ตั้งแต่หน้าประตูทางเข้าว่ากรุณาอย่าถ่ายภาพ พวกเขาคงอ่านออก แต่คงไม่สนใจ…ว่าแล้วก็ นึกถึงคนที่ทำหน้าที่เปิดปิดห้องหับให้กับบรรดาผู้เข้าชมเหล่านี้จริง ๆ…งานหนักแน่ไอ้น้อง!
..............
"เข้าไปซะตั้งนาน ผมก็รอทอนเงินให้อยู่เนี่ย"
หลังออกมาจากสถานที่ข้างใน ชายผู้ดูแลคาเฟ่ก็เรียกทัก พร้อมหยิบเอาธนบัตรย่อยมาส่งคืน ตอนซื้อบัตรเข้าชม เรายื่นแบงค์ใหญ่ไปเพราะไม่มีเศษเหมือนกัน แม้จะระแวงในท่าทีอยู่เล็ก ๆ ว่า เขาจะอมเงินทอนหรือไม่ สำหรับผู้คนที่นี่ในเรื่องความซื่อตรงเราให้คะแนนระดับยอดเยี่ยมเลย! ขึ้นชื่อว่าเป็นพระราชวังก็ย่อมมีวัดที่สร้างคู่กันอยู่เหนือถัดไปบนเนินเขาอยู่แล้ว ด้วยความห่างของพื้นที่และความสูง ก็ต้องออกแรงเดินขึ้นไปอีกไกลเลย ไปได้ไม่เท่าไหร่ เราก็หยุดแค่บริเวณเนินสถูปเท่านั้น … เปลี่ยนทิศทางหันเหลงมาเดินเล่นข้างล่างแทนก่อนที่ จะมุ่งหน้าเดินออกไปจากพื้นที่นี้ดีกว่า แม้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่บริเวณพื้นที่รอบข้างของ Stok ก็เงียบสงบดี เงียบในแบบชนิดที่ว่าไม่มี เสียงแตรจากรถที่บีบดังเช่นที่อื่น ๆ แม้จะมีรถวิ่งนำส่งนักท่องเที่ยวทยอยเข้ามาเรื่อย ๆ ก็ตาม คาดเดาว่า...น่าจะให้ความเกรงใจและให้เกียรติเจ้าของผู้ดูแลล่ะนะ
⭗ Stok Palace Museum จากอีกมุมมองตรงทางเดินขึ้นเนินที่เชื่อมต่อกับ Stok Gompa
⭗ กลุ่มสถูปสีขาวระหว่างทางเดินขึ้นไปยัง Gompa (เราเดินมาสุดเพียงเท่านี้)
⭗ พื้นที่ด้านล่างเมื่อลงมาจากเนินเขาที่ตั้งของพระราชวัง
⭗ Chorten สีขาวที่หน้าซุ้มทางเข้าหมู่บ้าน Stok
เดินเท้าออกจากหมู่บ้านตรงไปยังทางข้างหน้าที่เป็นพื้นที่โล่ง ๆ ไร้ร่มเงา แดดในช่วงเที่ยงวันของลาดัก มันช่าง โหดร้าย ประกอบกับทางถนนช่วงนี้กำลังถูกรื้อทุบเพื่อเตรียมปูทางใหม่ การเดินเหินจึงไม่ค่อยเป็นเรื่องน่าสนุก หากมีรถสวนมาคันนึงผมเผ้าเราก็พร้อมจะเปลี่ยนสี ระยะสองร้อยเมตรข้างหน้ามีคุณลุงในชุดพื้นเมือง และสวม หมวกปีกรายหนึ่งล่วงหน้าไปอย่างเนิบช้าแต่ก็ดูลิ่วลม
ไม่ช้าไม่นานก็ได้ยินเสียงของรถยนต์ที่กำลังวิ่งไล่หลังมากำลังมุ่งหน้าไปยังทางเดียวกัน เราหันไปโบกตามอย่างที่เคยเห็นดอลม่าทำ ถึงจะกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะไม่เคยทำแบบนี้คนเดียว รถคันนั้นจอดลง เบาะหลังว่างอยู่สองที่ พวกเขากำลังจะไปที่สะพานข้ามแม่น้ำเช่นกัน
เมื่อได้ติดรถไปด้วยก็แอบโล่งใจเบา ๆ ที่ไม่ต้องออกแรงเดินไกลแล้ว ส่วนในระยะข้างหน้าที่มีคุณลุงคนนั้นเดินนำอยู่ก็ชะลอฝีเท้าลงเพื่อหยุดพักเหนื่อย และเปลี่ยนท่าทางมายืนรอแทน
"ไปด้วยกันมั้ยลุง?" คนขับรถเทียบจอดถาม พร้อม ๆ กับให้เราช่วยเขยิบที่ให้คุณลุงหน่อย
"โอ...จูเล ๆ"
ลุงยกมือข้างนึงมาแตะหน้าผากตัวเอง ที่เป็นเหมือนภาษากายประกอบคำขอบคุณ
...........
บ่ายนั้น เรากลับไปถึงเลห์ทันเหล่านักวิ่งที่กำลังเลี้ยวโค้งเข้าสู้เส้นชัยพอดี เป็นอีกวันที่น่าประทับใจจริง ๆ หนำซ้ำยังได้เห็นสองนักเดินทางคุ้นหน้าชาวฝรั่งเศสมายืนชมการแข่งขันนี้อีกด้วย พวกเขาเพิ่งกลับมาจาก การเทรกไปยังเส้นทางยอดฮิตอย่าง Markha พอดิบพอดี "พวกเราเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไกล วันนี้เลยอยากผ่อนคลายเดินเล่นในเมืองกันชิล ๆ" ว่าแล้วก็ชี้ให้ดูรองเท้าแตะที่ใส่มา แทนที่จะเป็นรองเท้าเดินป่าอย่างที่เห็นจนคุ้นตา "นี่ก็เพิ่งกลับมาจาก Stok" เราไม่มีแผนการไปเทรกอย่างพวกเขา ก็ได้แต่โม้ให้ฟังว่าไปไหนมา ถึงจะไปเที่ยวพระราชวังก็จริง แต่ก็มีร่องรอยจากฝุ่นที่เกรอะกรังไม่แพ้กันเพราะถนนลูงรังนั่น "เออ เดี๋ยวพรุ่งนี้ เขาก็จะบินกลับเดลีแล้ว" นายแว่นหันไปพูดถึงคู่หู ที่มีแผนบินไปที่ตุรกีต่อ ส่วนตัวเขาเองนั้นจะยังหาเรื่องสิงอยู่แถว ๆ นี้อีกนาน ก็ได้แต่อวยพรให้โชคดีเดินทางปลอดภัย สำหรับอีกคน และบอกแล้วเจอใหม่กับอีกคนก่อนจะขอแยกตัวหายไป เมื่อกลับมายังที่พัก กางแผนที่ พร้อมเคาะหารูปจากอินเตอร์เน็ต เพื่อตรวจดูหน้าตาของเส้นทาง ที่สองนักผจญภัยได้ไปมาแล้ว นี่หากมองย้อนกลับไปยังช่วงตกระกำลำบากที่ Koksar นั่น เราต้องขอยอมแพ้เรื่องอุปกรณ์และการเตรียมพร้อมของพวกเขาจริง ๆ ทั้งเต๊นท์และถุงนอน อุปกรณ์ แค้มปิ้งจิปาถะที่แบกมา บอกเลยว่าเรายังไม่พร้อมลุยขนาดนั้น...จึงไม่ได้คิดอาลัยอาวรณ์นักกับเรื่องที่ ไม่ได้เดินทางไกลอย่างพวกเขา เมื่อลากสายตาดูเส้นทางจาก Chilling ไปยัง Markha ณ จุดกึ่งกลาง ที่น่าจะดูเป็นจุดเด่นก็คือยอดเขาสูงชื่อว่า Stok Khangri
** Khang ก็คือ น้ำแข็งที่ทับถมเป็นชั้นหนาอยู่บนยอดเขาสูง / Ri แปลว่า ภูเขา ** นี่กลับลืมไปเสียสนิทเลยนะ ไปถึง Stok แล้วแท้ ๆ ดันลืมมองหายอดเขานี้ไปได้ไง เหมือนไปถึง แต่ไม่ถึงยังไงงั้น....คล้ายกับคำกล่าวที่เรามักถูกแซวเสมอ ๆ ว่า มาอินเดียแล้วไม่แวะเที่ยวทัชมาฮาล ก็เท่ากับมาไม่ถึงอินเดีย~อะไรทำนองนี้ แม้ความจริงแล้ว Stok Kangri สามารถมองเห็นได้จากหลาย แห่งแต่ที่ชัดและใกล้สุดก็คือ Stok นั่นเอง
⭗ ภาพถ่ายที่พอจะมีเก็บไว้ในทิศทางที่หันไปยัง Stok Gompa ฉากหลังนั้นมียอดเขาสูงที่มีหิมะคลุมสองตำแหน่ง น่าจะใช่สักอันบ้างแหละ หรือเผื่อใครทราบก็วานบอกกันด้วยนะ :)
เธอเห็น สต็ก นั่นไหม? ฉันเก็บเอาไว้ให้เธอ และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ ฮื้อ….ฮึมมม~
*** เพิ่มเติมภายหลัง ***
H.E. Raja Jigmed Wangchuk Namgyal ในบทความของ Epoch Times กับความคิดเห็นเรื่องการกล่าวอ้างเขตแดนในภูมิภาคนี้ของจีน ภายหลังจากลาดักเปลี่ยนสถานะเป็น 'ดินแดนสหภาพ' (2019) จากกรณีเกิดเหตุการปะทะกันระหว่างทหารอินเดียและจีน บริเวณ Galwan Valley ที่มีเส้นเขตควบคุมตามความเป็นจริงร่วมกัน (de facto Line of Actual Control -- LAC) เมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา Link : https://www.theepochtimes.com/scion-of-former-bhuddhist-dynasty-says-ccp-has-no-historical- records-to-claim-indian-territory_3527705.html
Create Date : 06 เมษายน 2564 |
Last Update : 18 เมษายน 2564 16:33:15 น. |
|
11 comments
|
Counter : 1188 Pageviews. |
|
|
^
^
(แกมาช้าเองตะหาก )
เดี๋ยวขอไปอ่านบล๊อกที่แล้วก่อนนะ แหะ ๆ ^^"