ถนนทุกสายมุ่งสู่เลห์ (3)
"ขอโทษนะครับ หมู่บ้านนี้มีชื่อว่าอะไร?"
ชาวฝรั่งเศสรายหนึ่งที่ตื่นนอนแล้วได้โผล่ตัวออกมาจากถุงนอน หยิบแว่น สายตามาสวมเพื่อจับปากกากับสมุดบันทึกมาเขียนอะไรบางอย่างลงไปในนั้น อาจเพื่อแต่งบทกลอนสดุดีสายฝน หรือเพ้อบ่นถึงการเดินทางอันคาดไม่ถึง (ก็คงจะคล้าย ๆ กับที่ฉันกำลังทำอยู่ตรงโต๊ะใกล้กับจุดนอนของพวกเขา)ได้พูด ถามชื่อของสถานที่ดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่รายหนึ่งที่แวะมายังอาคาร ส่วนตัวเอง ก็พลอยได้แอบเงี่ยหูฟังไปด้วย เพราะเมื่อวานนี้ ไม่ได้สนใจว่าที่นี่คือที่ไหนและ อยู่ส่วนใดของรัฐหิมาจัลฯ ด้วยซ้ำ
ก็แหม..เราไม่ได้ตั้งใจจะมาปักหมุดที่นี่สักหน่อย เรียกได้ว่าหากแค่นั่งรถผ่าน และแวะกินข้าว ฉันคงไม่มีความคิดที่จะจดจำอยู่แล้ว แต่ก็เอาเถอะ หลังจากนี้ ไปชื่อของที่นี่มันคงจะแล่นเข้าหัวโดยอัตโนมัติแบบไม่ต้องพยายามจำหรือไป จำมั่ว ๆ สลับกับ Karsog อีก ซึ่งเจ้าหน้าที่ฯ ก็ได้บอกชื่อของมันให้ได้ยินชัด ๆ เสียที …"คก ซาร์"
วิวยามเช้ากับสภาพอากาศที่ขมุกขมัวไป ด้วย ฝน ลม และไอเย็น จากอาคารที่ไปพัก (HPPWD Rest hosue) อย่าถามนะว่าจองห้องพักยังไง เมื่อวานเย็นนี้โดนต้อนให้มารวมกลุ่มกับคนอื่นแบบ งง ๆ ค่ะ มันก็ยังมีฝนตกอยู่เหมือนเดิมในเช้านี้ (อีกละ) พื้นหญ้าหน้าอาคารเฉอะแฉะไป ด้วยน้ำที่นองพื้น ก็ยังมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะคลุมบนยอดหญ้าด้วย ฉันไม่แน่ใจเรื่อง ตัวเลขอุณหภูมิ แต่มั่นใจว่ามันคงหนาวกว่าดอยบ้านเราในฤดูหนาว ก็อย่างที่เคยบอกไป ฉันไม่เคยเดินทางในช่วงมรสุม และไม่เคยขึ้นเหนือไปไกล เกินกว่ารัฐหิมาจัลประเทศ รวมทั้งเขต Lahaul นี่ด้วย ก็เลยเดาอะไรไม่ค่อยถูก กับฤดูกาลและความหนาวเย็นช่วงนี้ ทีแรกก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติ คุณลุงที่เป็นคนพื้นที่รายหนึ่ง เดินออกมาจากห้องพัก หยุดยืนมองวิวภายนอก ที่ครึ้มฝนและมีหมอกขมุกขมัวปกคลุมบนภูเขาลูกเขียวตรงหน้า และพูดกับฉัน ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น "ดูสิ...บนยอดเขามีหิมะคลุมด้วย ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบ นี้มาก่อนมันควรจะเป็นช่วงต้นฤดูหนาวไม่ใช่เดือนสิงหาคม" ในสิ่งที่คุณ ลุงคนนี้พูดอาจจะแปลได้กลาย ๆ ว่า สภาพอากาศมันผิดปกติ
สภาพถนนตอนเช้าที่ยังเปียกนองอยู่ เพราะฝนยังไม่ยอมหยุดตกเสียที ฉันเดินออกมาจากที่พัก เพื่อแวะกินมื้อเช้าที่ Dhaba* สักแห่ง ดูเหมือนว่าใน Koksar จะมีร้านเล็ก ๆ เป็นตัวเลือกมากพอ สมควร (Dhaba ในที่นี้หมายถึงร้านอาหารเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ตามริมทาง)
หมู่บ้านนี้ถึงจะดูเล็ก และไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก แต่ก็ยังมีร้านขายอาหารค่อน ข้างเยอะ รวมไปถึงที่พัก ที่ร้านอาหารบางแห่งจะจัดแบ่งพื้นที่บางส่วนของร้าน ให้ค้างแรมได้ด้วย ในช่วงสาย ๆ ของวัน ฉันเดินออกมาจากอาคารที่พัก เพื่อหา มื้อเช้ากินรองท้องก่อน โดยไม่ได้อยู่รอเหล่าครอบครัวชาวอินเดียกลุ่มนั้นตื่นกัน พร้อมหน้า หนนี้อยากลองแวะไปยังร้านอื่นที่ยังไม่เคยเข้าไปอุดหนุนด้วย (นี่ถ้า ติดอยู่อีกสองวันคงได้ชิมมันครบทุกร้าน) ก็สุ่มเลือก Dhaba เล็ก ๆ เจ้าหนึ่ง ที่อยู่ถัดไปไกลกว่าเดิม ร้านนั้นมีโต๊ะกินข้าวสี่ตัว แถมลูกค้าที่มานั่งรอยังมีไม่ เยอะ เลยสั่งเมนูสิ้นคิดอย่างข้าวกับแกงถั่วมากิน มีชายชาวซิกข์รายหนึ่งเอาผ้าผืนใหญ่มาคลุมตัวไว้เพื่อกันหนาว กำลังนั่งจิบชา อยู่ที่มุมวางโต๊ะฟากที่ติดผนัง เขาโพกหัวสีแดงและมากับเพื่อนอีกสามคน ดู เหมือนว่าพวกเขามานอนค้างที่ร้านนี้กัน และระหว่างที่ฉันรออาหารที่เพิ่งสั่งไป พวกเขาต่างก็พากันซักถามและชวนคุย คงเห็นว่ามาคนเดียว เมื่อรู้ว่าฉันมาจากประเทศไทย พี่ผ้าโพกแดงก็ยกมือไหว้ "สวัสดีครับ" จากนั้นก็รัวถามต่อเป็นภาษาไทย และถึงแม้ว่าจะไม่เป๊ะขนาดเจ้าของภาษา ก็ตาม มันก็ทำให้ฉันอดสงสัยไม่ได้ รึว่าพี่เขาเป็นคนไทยเชื้อสายอินเดีย?
"เคยอยู่กรุงเทพฯ ...ที่พาหุรัด"
อ๋อ อย่างงี้นี่เอง
หลังจากนี้เราขอเรียกพี่คนนี้แทนว่า พี่พาหุรัด นะคะ….เพราะลืมถามชื่อแซ่ กลุ่มพี่พาหุรัด มาติดที่ Koksar ตั้งแต่เมื่อวานนี้เหมือนกันไม่รู้ว่าจะเดินทาง ไปไหน แต่จุดหมายของพวกเราต่างก็ต้องมาสะดุดในที่เดียวกันนี่แหละ และ ฉันก็เพิ่งรู้ว่า ที่หมู่บ้านนี้เป็นจุดอับสัญญาณโทรศัพท์ คงไม่ต้องนึกไปไกลถึง อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ หรือแม้แต่ wifi กันแล้ว ก็ยิ่งทำให้อยากรีบเผ่นออกไปจาก หมู่บ้านนี้ให้ไวที่สุด
อ้อ...มีเรื่องตลกจะเล่าให้ฟัง ช่วงที่พวกเขาได้ไข่เจียวกับโรตีมากิน มีหนึ่งใน กลุ่มเพื่อน ที่พอรู้ภาษาไทยนิดหน่อย (ไทย...โถร่า โถร่า ~) พยายามหันมาพูดชื่อ เมนูในจานนั้น "ไข่เจียว กับ โรตี… ใส่หมูเยอะ ๆ" แล้วพวกเขาก็หัวเราะรับ มุขที่ว่า
สงสัยว่าคงเคยโดยแซวเรื่อง "หมู" บ่อยแหง ตอนที่อยู่เมืองไทย ว่าแต่ จะยังมีใครเข้าใจถึงบริบทที่ว่านี้กันแบบผิด ๆ ถูก ๆ อยู่มั้ยเนี่ย?
ก่อนเดินกลับไปยังที่พัก ฉันเจอกับวิพันอีกครั้งที่สะพานข้ามแม่น้ำ เขาเดินมา ฝั่งนี้เพื่อแวะมาบอกลาป้า ก่อนออกเดินทางไปจากที่นี่ด้วยการเดินเท้าและลัด ขึ้นไปยังเนินเขาแทน สภาพอากาศในช่วงนั้นเริ่มมีแดดและส่อเค้าลางว่าฝน กำลังจะหยุดตกในไม่ช้า เมื่อคืนนี้วิพันและเพื่อน พักกันที่โรงแรมเล็ก ๆ ฝั่งหมู่บ้าน พวกเขาจำเป็นต้อง รีบไปยังจุดหมายที่ชื่อว่า Trilokinath และเทรกไปยัง Chamba (เป็นเส้นทางที่ เรียกว่า Kugti trek) ให้ทันเวลาตามที่กำหนด ซึ่งในขณะนี้โปรแกรมการเดินทาง ไกลที่ว่ามันหายไปหนึ่งวันแล้ว การคาดหวังรอให้รถโดยสารวิ่งไปถึงที่หมายใน วันนี้คงเป็นเรื่องยาก
วิวสะพานเหล็กที่พาดข้ามแม่น้ำ Chandra ในหมู่บ้าน Koksar
สะพานคอนกรีตข้ามแม่น้ำสำหรับให้รถวิ่ง ที่ฝั่งตรงข้ามจะมีที่ตั้งของหมู่บ้านเล็ก ๆ (จำนวนหลังคาเรือน ก็ตามที่เห็นในภาพ) ส่วนอาคารสีขาวที่ตั้งบนเนินเขาเป็นวัดพุทธ ทิเบต หรืออาจเรียกกันง่าย ๆ ว่า Gompa
วิพันชวนให้ฉันเดินทางไปกับพวกเขาด้วย เพราะถึงยังไงก็ต้องผ่าน Keylong อยู่ดี ฉันกลัวว่าน่าจะเป็นภาระเปล่า ๆ อีกทั้ง ยังมีเป้ใบใหญ่อีกตัวที่ต้องแบกอีก ปัดโธ่ ...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาเดินข้ามเขาลงห้วยเป็นกิโล ๆ อะไรแบบนั้นอยู่แล้ว ก็เลยต้องปฏิเสธตัวเลือกที่ว่าไป "เดี๋ยวช่วงบ่าย รถคงออกเดินทางได้ต่อ" ฉันมั่นใจเลยนะ ว่าจะเป็นเช่นนั้น… แล้วกลุ่มของวิพัน ก็พากันออกเดินไปยังเส้นทางเก่าที่รถโดยสารเคยวิ่งเมื่อวาน จนหายลับไป ในเวลานั้นฉันนึกสภาพพื้นที่ไม่ออกว่าจะพากันลุยข้ามแม่น้ำกัน ยังไง ในทางกลับกัน หากว่าตัวเองตัดสินใจเดินเท้าขึ้นเขาไปพร้อมกับกลุ่มของ วิพัน เรื่องราวถัดไปจากนี้มันจะเป็นยังไงต่อ
การรอคอยอันแสนน่าเบื่อก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่อฉันต้องกลับมายังอาคารที่พัก ที่นี่ไม่มีอะไรให้ทำแก้เซ็งเลย นอกเสียจากนั่งมองรถคันโน้นคันนี้ที่เพิ่งจะมาติด ค้างพากันจอดเต็มถนนเยอะไปหมด รวมไปถึงเสียงแตรที่ดังถี่ขึ้นมาเกินความ จำเป็น แต่ก็ไม่นานเกินรอ เราก็ได้รับข่าวดี...เมื่อคนขับรถและกระเป๋ารถฯ ทั้งสี่คัน เดินกลับไปประจำการที่รถของตัวเองกัน พอได้ยินเสียงการติดเครื่องยนต์ ฉันและคนอื่น ๆ ที่กำลังนั่งรอการเดินทาง ต่างรีบกลับไปเอากระเป๋าที่ห้องพัก อย่างไว รวมไปถึงชาวฝรั่งเศสสองคนนั้น ที่กำลังเร่งรีบเก็บสัมภาระลงเป้ใบโต
ถึงพวกเราอาจไม่ค่อยคุยกันมาก แต่ก็เข้าใจความรู้สึกในฐานะผู้ร่วมประสบ ชะตากรรมเดียวกัน พวกเราแหกปากลั่นด้วยความดีใจแบบลืมวางมาด
"เย้ ...แล้วเจอกันที่ Keylong!" ฉันกลับมานั่งอยู่ที่ตำแหน่งเดิมอย่างมีความหวัง พอหันไปยังรถอีกคันที่มาจอด ประกบก่อนออกตัวแล่นไปข้างหน้า ก็เห็นก๊วนพี่พาหุรัดพากันโบกมือมาทักทาย อย่างสนุกสนาน ส่วนสองนักเดินทางชาวฝรั่งเศส ไปอยู่บนรถประจำทางอีกคัน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารถคันไหน จะไปถึงที่หมายก่อน… หลังจากที่กลุ่มของวิพันหายไปกันหมด ที่นั่งเบาะหลังก็ดูโล่งไปเลยเพราะมีแค่ ฉันนั่งครองพื้นที่อยู่คนเดียว ส่วนป้าของวิพันยังคงนั่งอยู่แถว ๆ หน้ารถ แอบเห็น แกหันมามองหลายรอบอยู่เหมือนกัน
มุมจากเบาะท้ายรถ กระจกมัวและเลอะฝุ่นมาก ๆ ช่วงหวะการวิ่งรถบ่ายวันนี้ แอบมีสะดุ้งสะเทือนในบางจุดที่เป็นทางน้ำไหล ไม่ แน่ใจว่าถนนมันพังอยู่แล้วหรือเพราะกระแสน้ำไหลมาทำลายทาง พอเลยจุด แรกไปได้ก็แอบโล่งใจและคิดว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็คือที่ตรงนี้แหละ … แต่ในที่สุดเราก็ผ่านมันไปได้ -- ดีละ ที่ไม่รีบตัดสินใจไปกับกลุ่มของวิพัน ป่านนี้คงเดินกันขาลากแล้วมั้งเนี่ย มีชายคนหนึ่งที่นั่งไม่ไกลไปจากที่นั่งของป้าวิพัน เดินตรงมาหาฉันที่ท้ายรถ ความจริงแล้วฉันก็จำหน้าไม่ค่อยได้หรอกเพราะมัวแต่วุ่นวายกับการถ่ายคลิป ในมือถือ
"เธอจะไป เลห์ หรือปล่าว?"
ฉันบอกกลับไปว่าใช่ จากนั้นเขาก็เดินย้อนกลับไปยังที่นั่งเดิม จำได้ว่าผู้ชาย คนนั้นสวมเสื้อดำ และมีสายผูกข้อมือที่เรียกว่า ราคี : Rakhi พันอยู่หลายเส้น ท่าทางนายคนนี้จะมีน้องสาวเยอะแฮะ (แซว)
***สายผูกข้อมือที่พูดถึงในเอนทรี่นี้มาจาก เทศกาลที่เรียกว่า Raksha Bandhan ค่ะ หากอยากรู้รายละเอียดก็เสิร์จข้อมูลตามชื่อเอาเองนะ ***
พอมาถึงตรงนี้รถก็จอดนิ่งกันอีกแล้ว
ด้านหน้ามีรถบรรทุกจอดรอเต็มไปหมด
และในที่สุดรถของเราก็จอดลงอย่างสงบนิ่งอีกครั้ง และหนนี้เพิ่งจะบ่ายสามเอง ยังมีเวลารอการเคลียร์ทางถมเถไป แถมตอนนี้ไม่มีฝนตกแล้วด้วย ฉันรออยู่บน รถเหมือนกับคนอื่น ๆ "น้องคะ"
มีเสียงพูดเป็นภาษาไทยดังมาจากบนถนน เป็นกลุ่มพี่พาหุรัดนั่นเอง พวกเขา หอบข้าวของที่ขนมาทั้งหมดเดินผ่านมายังรถของฉัน "ทางข้างหน้า รถวิ่งไป ไม่ได้แล้ว จะข้ามไปฝั่งโน้นด้วยกันมั้ย...ป่ะ เดินเป็นเพื่อนกัน" ฉันชะโงกดูทางข้างหน้าที่มีแต่รถติดเป็นแถวยาวเต็มไปหมด คงจะจริงอย่างที่ พวกเขาพูด หนำซ้ำยังมีคนบางส่วนพากันเดินออกมาจากรถโดยสารเหมือนกัน ฉันเลยเดินไปบอกลาป้าวิพัน ว่าจะไม่รอรถคันนี้วิ่งต่อแล้วแต่จะเดินข้ามไปฝั่ง โน้นแทน
คนขับรถโดยสาร HRTC ทั้งสี่คัน รวมถึงกระเป๋ารถเมล์ ต่างเริ่มปรึกษากันแล้วว่าจะเอายังไงต่อ... พวกเขาไม่สามารถวิ่งรถไปถึงจุดหมายได้ทันเวลาและอาจส่งผลกระทบต่อการเดินรถระหว่างนี้มาก ๆ
ผู้โดยสารบางส่วน เริ่มทนรออยู่บนรถไม่ได้ ต่างพากันหอบของและเดินเท้ามุ่งไปยังจุด ที่ถูกกั้นทางไว้ เราต่างแอบหวังว่าจะเดินเท้าข้ามไปแทนและอาจโบกรถจากที่โน่นไปอีกทอด
พอเมื่อมาถึงยังบริเวณที่ว่า เรื่องมันก็กลับไม่เป็นอย่างที่คิด
ไม่มีใครเดินข้ามไปยังฝั่งโน้นกันได้เลย พวกรถแบ็คโฮต่างก็พยายามเกลี่ยทาง ให้ไวที่สุด เข้าใจเลยว่าพวกเขาต้องทำงานกันอย่างหนักตั้งแต่เมื่อวาน และที่ จุดเดียวกันนี้เอง ชาวฝรั่งเศสอีกคนกำลังยืนมองสถานการณ์ที่ว่าอยู่แบบเงียบ ๆ เขาบอกว่า เพื่อนอีกคนกำลังเดินกลับไปเอาของลงจากรถ เรายืนมองการซ่อม ทางอย่างใจจดจ่อ เชื่อว่าไม่มีใครอยากย้อนกลับไป Koksar กันหรอก
สภาพเส้นทางที่ดูไม่เป็นทาง ไม่มีรถคันไหนสามารถวิ่งผ่านไปได้ หากมองย้อนไปยังถนนเวลานี้ จะเห็นรถที่จอดรอกันยาวเหยียดเต็มไปหมด
ภาพมุมนี้คือฝั่งที่เราจะข้ามไป กำลังเร่งการซ่อมแซมทางโดยรถตัก ก็อย่างที่เห็น เราไม่สามารถเดินลุยโคลนไปได้เลยจริง ๆ
มีคนบางส่วนที่ไปยืนสังเกตการณ์ ในตำแหน่งที่ไกลกว่านี้พากันวิ่งกลับไปที่ ถนน จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงนกหวีดที่เป่าดังจากบนเนินเขา พร้อม ๆ กับการ ตะโกนบอก "ดินถล่มมมม" ถึงจะยังไม่เห็นที่มาของคำเตือนนั่นจัง ๆ แต่ทุกคน ก็พร้อมใจกันหอบของเผ่นแน่บออกมาจากจุดพื้นที่เสี่ยงนั่นโดยไว
บอกเลย...หัวใจจะวายยย
(จุดที่ตัวเองยืนอยู่ในขณะนั้นคือด้านล่าง ตำแหน่งที่คนเขาวิ่งกันนั่นแหละ เห็นหลายคนหอบข้าวของแบบไม่หนักแล้ว อะดรินาลีน พุ่งมาก 555 คลิปนี้ ซันดีฟ ถ่ายเอาไว้และส่งมาให้ภายหลังจากที่ได้เจอกันบนรถค่ะ)
ฉันย้อนกลับมาตั้งหลักที่ถนน ซึ่งมันน่าจะปลอดภัยกว่าไปยืนจ่อตรงปากทาง ตรงนั้น เหล่าคนขับบิ๊กไบค์ต่างพากันยืนเซ็งเพราะไปต่อไม่ได้ บ้างก็วิ่งรถกลับ ไม่ก็ยืนรอกันต่อ …
ชาวฝรั่งเศสอีกคนที่คุยเก่ง ๆ เพิ่งจะเดินหอบข้าวของตามเพื่อนมาทีหลัง ก็ดู เหมือนกับรู้ข่าวเรื่องดินถล่มนั่นแล้ว ฉันเห็นในมือของเขามีเต็นท์…เอ รึว่าพวก เขาจะมาปักหลักอยู่กันตรงนี้เลย? ในส่วนกลุ่มพี่พาหุรัดนั้น ก็พากันเอาแก็สปิคนิคมาเปิดใช้เพื่ออุ่นโรตีกินกัน ไม่รู้ว่าจะเอายังไงต่อ รู้แต่ว่า ยังมีน้ำใจแบ่งของกินมาให้ฉันระหว่างที่กลับมายืน ตรงถนนข้างเนินเขากับพวกเขา
"กลับบ้านดีกว่า" เขาให้คำแนะนำ "อย่าไปเลย อันตราย" ไม่รู้ว่าพูดเล่นหรือพูดจริง มันเป็นภาษาไทยที่ฟังแล้วแสลงใจจัง ฉันแค่บอกไปว่า มาไกลแล้ว ยังไงก็จะไปต่อ แล้วก็มีข้อแนะนำอื่น ๆ ตามมาอีกเพียบเลย กลับไปตั้งหลักที่มะนาลี แล้วรออยู่ที่นั่นก่อนดีมั้ย ไม่ก็ไปเดลี ซื้อตั๋วเครื่องบินไปแทนน่าจะง่ายกว่า ถามจริง จะไปลาดัก ทำไม? คือ...ไม่ได้อวดเก่งหรอก แต่มาจนถึงครึ่งทางแล้วน้อ อย่ามาหว่านล้อมซะให้ยาก แล้วฉันเดินกลับมายังจุดจอดรถโดยสารตามเดิม เห็นกลุ่มป้าวิพันกำลังนั่งคุย กันอยู่ที่ริมทางถนน ก็ไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้ ได้เดินออกไปเหมือนกับคนอื่น ๆ มั้ย … บางทีเราก็พูดกันไม่เข้าใจเท่าไหร่ ฉันรู้จักภาษาฮินดีแค่บางคำแต่ไม่สามารถ สื่อสารได้เต็มประโยค ก็ยังดีที่ป้าจำฉันได้หลังจากเดินหายไปเป็นชั่วโมง ป้าเรียกให้มานั่งรวม ๆ กัน และวันนี้ฉันอาจต้องติดตามเหล่ามาตาจีกลุ่มนี้อย่าง เลี่ยงไม่ได้ซะแล้ว พี่พาหุรัดและคณะ เริ่มพากันเดินกลับมายังรถโดยสารของพวกเขาที่จอดไกล ถัดไปจากเราอีกนิดหน่อย และได้แวะมาช่วยคุยเป็นล่ามให้ครู่หนึ่ง
"ป้าเขาบอกว่าเป็นห่วง... หันมาดูทีไร ชอบหายไปทุกที แถมพูดบอกอะไรก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง" ชาวฝรั่งเศสสองคน พากันเดินกลับมายังรถและเอาข้าวของขึ้นไปเก็บ ก่อนจะ ลงมานั่งเสวนากับพี่พาหุรัดด้วย พวกเขาคงอยากให้ใครสักคนช่วยบอกความน่า จะเป็นสำหรับการเดินทางไปจากพื้นที่นี้ในเร็ววัน และต่อมาพวกเราก็แยกย้าย กลับไปยังรถประจำทางของใครของมัน ฉันไม่อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้เลย รถของเราต้องกลับไปยัง Koksar อีกแล้ว การเดินทางในวันที่สอง มันน่าจะเป็นการข้ามพ้นเขตรัฐหิมาจัลประเทศ เข้าสู่ ลาดักได้แล้ว ฉันเคยตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า จะอัดคลิปเส้นทางการเดินรถเอาไว้ แล้วทุกอย่างก็พังไม่เป็นชิ้นดี ... ในจังหวะที่รถได้เลี้ยวหันออกไปยังทางเก่า ที่บนท้องฟ้ายามเย็นในวันนั้นมี รุ้งกินน้ำปรากฏขึ้น ฉันขอทึกทักเข้าข้างตัวเองว่า มันอาจเป็นสัญลักษณ์ของ ความหวังที่ส่งสัญญาณแจ้งบอกมาจากเบื้องบนก็เป็นได้
รุ้งกินน้ำที่ปรากฏขึ้นมาให้เห็นในช่วงเย็น
ถึงเวลาที่ต้องย้อนกลับไปที่เก่า รอบนี้มีผู้โดยสารหายไปเยอะเลย ไม่รู้ว่าวกกลับไปยัง Koksar หรือยังปักหลักรอข้ามฟากตรงนั้น แต่ที่แน่ ๆ ฉันต้องมาเกาะติดป้าของวิพันอย่างเลี่ยงไม่ได้ รอบนี้ป้าเรียกให้มานั่งใกล้ ๆ จะได้ไม่ไกลหูไกลตา เรากลับมาที่ Koksar อีกแล้ว และในช่วงเย็นกลุ่มคนจากเมื่อวานยังไม่สามารถ ไปต่อได้ยังคงติดค้างอยู่ ผสมปนเปไปกับเหล่าคนที่เพิ่งมาถึงใหม่วันนี้ ดังนั้น ที่พักทั้งหมดจึงเต็มเกลี้ยง ส่วนอาคารของ HPPWD ที่เคยไปนอนเมื่อวาน ก็ไม่ เหลือพื้นที่ว่างแล้ว ในขณะที่กลุ่มป้าสามคน (มีผู้ชายอีกหนึ่ง) และฉัน รวมห้า ชีวิต ก็กำลังมีปัญหากับที่ค้างแรมในคืนนี้ ไม่เว้นกระทั่งชาวฝรั่งเศสสองคนนั้น ที่ต่างก็จนปัญญาที่จะกลับไปปูถุงนอนยังที่เดิมแล้ว ถึงแม้เขาจะมีเต็นท์มากาง แต่ฝนก็เริ่มตกลงมาอีก หลังจากที่เดินตามติดกลุ่มป้าไปหาที่พัก ซึ่งอาจจะเป็นบ้านต่าง ๆ ที่ชาวบ้าน พอจะแบ่งที่ให้ ฉันก็ไม่เห็นชาวฝรั่งเศสสองคนนั้นอีกเลย … พวกป้าพากันเดิน แยกหาที่พักโดยแบ่งเป็นสองกลุ่ม ฉันตามติดไปกับป้าอีกคนที่มากับน้องชาย เราเคาะถามตามบ้านไปเรื่อย มีแต่คนบอกให้ไปหลังนั้นหลังนี้ จนวกกลับมายัง บ้านหลังใหญ่ที่เคยมาเคาะก่อนหน้าหนนึง
ครั้งนี้ป้าของวิพันและป้าอีกคนที่มีตาสีฟ้า สามารถเจรจากับเจ้าของบ้านนั้นได้ สำเร็จ ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนใจเปิดบ้านรับ...ทั้งที่เคยบอกปฏิเสธ นอกเหนือจากพวกเรา ก็มีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอินเดียทั้งชายหญิง ที่ตกอยู่ใน สถานการณ์เดียวกันกับเราประมาณ 5 คน มาขอเข้าพักเช่นกัน เจ้าของบ้านเอา ฟูกและหมอน ผ้าห่ม ที่ยังพอมีอยู่มาแบ่งให้เรานอนในคืนนี้ ที่ห้องนั้นเป็นห้อง โล่ง ๆ และฉันรู้สึกอบอุ่นมาก
กลุ่มนักท่องเที่ยวอินเดียและพวกป้า ต่างพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แผนการเดินทาง ของคนกลุ่มนั้นก็มีอันต้องพับลง โดยพรุ่งนี้ พวกเขาจำเป็นจะต้องกลับมะนาลี "ได้ยินว่า มีหิมะตกหนักบนเส้นถนนที่ไปวิ่งเลห์" ส่วนรถประจำทางที่นั่งมา ก็มีแนวโน้มว่าจะไปต่อไม่ไหว ทำไมฟังแล้วมันหดหู่แปลก ๆ … อย่างไรก็ตาม ฉันขอแค่ข้ามผ่าน Koksar ต่ออีกหน่อยได้มั้ย คือถ้ามันไม่สามารถไปไกลกว่านี้ได้อีกจริง ๆ ก็จะไม่ฝืนมันแล้ว
Create Date : 30 ตุลาคม 2562 |
|
9 comments |
Last Update : 3 ตุลาคม 2566 22:50:28 น. |
Counter : 1550 Pageviews. |
|
|
|
ช็อตนี้ถ้าอ่านเฉยๆก็ไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าเป็นตัวเองไปอยู่ในเหตุการณ์ จะซึ้งใจมาก เผลอๆ ต่อมน้ำตาแตก ร้องไห้กระซิกๆเลยทีเดียว อิอิ
น้องฟ้า บอก โอ๋ๆ นิ่งซะ ฮึบๆ ไอ้บร้า ข้าเป็นคนไปโว้ย ไม่ใช่เอ็ง 555
ที่ที่น่าใจหายก็ตรง ตอน ดินถล่ม น้ำป่าไหลมานี่ซิ
เดาว่า น้องฟ้า ต้องเป็นคนที่กำลังวิ่งโกยอ้าว พุงกระเพื่อม คนแรก แหงๆ อิอิ
น้องฟ้า บอก เดี๊ยะๆ เป็นเอ็งก็ต้องใส่ตีนหมา โกยอ้าวแบบข้านี่แหละ เผลอๆ ข้าว่าเอ็งต้องฉี่ราดด้วย แหงๆ เชอะ 5555
แต่ยังไง อ.เต๊ะ ก็ต้องเอาใจช่วย อยากให้น้องฟ้า ไปถึง เลห์ โดยไม่มีอุปสรรคอะไรอีก เพราะมาตั้งไกลแล้ว จะย้อนกลับก็ เซ็งแย่เลยเนอะ เอาใจช่วยจ๊ะ