Manali (อีกครั้ง)
ฉันรู้ตัวว่าไม่ใช่คนที่เป๊ะเท่าไหร่ และบางครั้งก็ชอบแอบหละหลวมกับการกำหนดตัวเลือกสำหรับเที่ยวรถที่จะโดยสารไปยังเลห์ผ่านเส้นทางเมืองมะนาลีแห่งนี้....เรื่องของราคาค่าโดยสาร บวกรวมกับที่พักใน keylong ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ HPTDC ก็ดูน่าสนใจดี ถ้าหากว่าวันเดินทางออกจะไม่ใช่วันนี้ วันที่ฉันเพิ่งเดินทางมาถึงมะนาลีแบบหมาด ๆ ชนิดที่ว่าเพิ่งก้าวขาลงจากรถไม่ทันครบ 15 นาที หลังจากที่ใช้เวลาไปกับเที่ยวรถ เดลี - มะนาลี รอนแรมมายาวไกลจนถึง 14 ชั่วโมงเนี่ย!พนักงานผู้คอยให้คำปรึกษานักท่องเที่ยวในสำนักงาน HPTDC ส่งตารางการเดินรถจาก มะนาลี - เลห์ / เลห์ - มะนาลี มาให้ฉันดู...พร้อมกับบอกว่า"ถ้าไปวันนี้ก็ยังมีที่นั่งเหลืออยู่ แต่ถ้าจะรอรถเที่ยวถัดไปก็จะต้องเป็นวันมะรืน"เที่ยวรถโดยสารพิเศษนี้ จะวิ่งออกจากมะนาลีในเวลาสิบโมงเช้า ซึ่งในตอนนี้มันก็เพิ่งจะเก้าโมงเองฉันเหลือบมองแผนผังที่ทำเป็นรูปสัญลักษณ์ของที่เบาะรถ Deluxe ขนาดที่นั่ง 2x2 ดูท่าจะนั่งสบายกว่าพวกรถโดยสาร Ordinary 2x3 (47 ที่นั่ง) แถมยังอาจคาดหวังกับการจองที่นั่งไม่ได้อีกเป็นไหน ๆ และไม่แน่ว่าอาจจะต้องไปเบียดกับคนอื่นตรงเบาะที่เป็นสามที่นั่งอีก "ถ้ายังไงช่วงบ่าย ๆ ฉันอาจจะกลับมา จองเที่ยวรถไปเลห์สำหรับมะรืนนี้ก็แล้วกัน"ความจริงแล้วจะว่าไม่รีบก็ไม่ใช่ แต่ฉันอยากพักเอาแรงก่อนที่จะเดินทางไกลข้ามรัฐ ที่มันจะต้องวิ่งรถผ่านพื้นที่ภูเขาสูงไปอีกหลายชั่วโมงกระทั่งข้ามวันแถมยังไม่รู้อีกว่าจะมีปัญหาเรื่องแพ้ความสูงกะเค้ามั้ย? ถึงที่ผ่านมาจะไม่เคยเป็นแต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นนี่นา ทำให้ตัวเลือกการเดินทางที่ดูดีที่สุดสำหรับการไปเลห์ทางรถของฉันจึงต้องถูกขีดทิ้งไป ว่าแต่ ไหน ๆ ก็มีเวลาพักอยู่ในมะนาลีเพียงแค่หนึ่งวันเต็ม เพื่อจัดการแลกเงินซื้อข้าวของที่จำเป็นเพื่อพกติดไประหว่างทางแล้ว และใช้สัญญาณ wifi ส่งข้อความสั่งเสียสั่งลากับทางบ้าน เพราะมันจะต้องหายไปนานถึงสองวันแน่ ๆ(ก็อย่าเพิ่งรีบไปโทรแจ้งประกันฯ หรือแจ้งคนสูญหายนะ) อีกอย่างหนึ่ง ก่อนที่การเดินทางจะเริ่มต้นขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น ฉันก็อยากเจอใครสักคนอีกครั้ง ถ้าจะต้องย้อนความไปถึงเมื่อสี่ปีก่อน มันก็ไม่มีอะไรสำคัญมากมายเท่าไหร่ฉันเจอป้าดาวเรืองที่ย่านมะนาลีเก่า ในขณะที่แกกำลังนั่งชมวิวบนพื้นหญ้าถัดไปไม่ไกลจากวัดมานู ชุดพื้นเมืองของป้าดึงดูดให้ฉันเดินเข้าไปหา และถัดมาก็ได้ไปถ่ายรูปของป้า สามี และลูกสาว ถึงหน้าบ้านสีฟ้าที่มีดอกดาวเรืองมัดเป็นช่อใหญ่ห้อยแขวนประดับอยู่ ฉันไม่รู้ว่าป้าชื่ออะไรด้วยซ้ำ เพราะสื่อสารกันแบบไม่รู้ความ รวมถึงการระบุที่อยู่เพื่อที่จะส่งภาพให้ก็ไม่มี ทำให้หลังจากนั้นเราก็ไม่มีทางติดต่อกันได้อีก ก่อนมาอินเดียหนนี้ ฉันเลยจัดการอัดรูปที่ถ่ายป้าเอาไว้หนึ่งใบและรูปครอบครัวที่นั่งกันสามคนหน้าบ้านอีกหนึ่งใบเพื่อเตรียมยื่นส่งให้เองกับมือ ตรงที่พักของฉันในย่านมะนาลีเก่า จะมีทางเชื่อมโยงไปยังวัดมานูโดยไม่จำเป็นจะต้องไปเดินผ่าน mall road ให้รถบีบแตรใส่ (นึกภาพออกมะ 55) มันจะลัดเข้าพื้นที่อันแสนจะเงียบสงบ บางทีก็จะอาจเจอกับชาวบ้านที่สวมชุดท้องถิ่นเดินสวนผ่านมาพร้อมกับหญ้าฟ่อนใหญ่สำหรับเลี้ยงวัว หรือเศษไม้ที่จะนำเอามาเป็นฟืน มัดใส่ลงตระกร้าที่ห้อยสะพายไว้ที่หลัง ซึ่งมันเป็นอะไรที่ตรงกันข้ามกับภาพของมะนาลีที่ตั้งบนเส้นถนน ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว รวมถึงคนถิ่นอื่นที่เข้ามาทำธุรกิจท่องเที่ยวและการค้า ฉันเดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งมาถึงบริเวณที่ใกล้กับบ้านของป้า...ทุกอย่างดูรก ๆ เพราะมันมีสิ่งก่อสร้างเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม อย่างเช่น เกสเฮาส์และร้านอาหาร เพื่อรองรับผู้มาเยือน แต่ยังไง ฉันก็ดีใจนะ ที่บ้านของป้ายังคงตั้งอยู่เหมือนเดิม แม้ว่าจะไม่ได้เจอกับมัดดาวเรืองดอกเหลืองช่อโตเหมือนคราวก่อน "นมัสเต!" มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังกวาดพื้นหน้าบ้านอยู่ เดาว่าน่าจะเป็นพี่สาวของเด็กคนนั้นเลยเดินขึ้นไปทัก ก็แหงล่ะ เธอมองฉันด้วยความงงเพราะยังไงก็นึกไม่ออกหรอกว่า ไอ้นี่เป็นใครแล้วเดินมาหาเธอทำไมกัน? "ฉันรู้ว่าเธอจำฉันไม่ได้ แต่เมื่อสี่ปีก่อนนี้ฉันเคยมาที่นี่" เพื่อไม่ให้เกิด dead air จนเสียบรรยากาศ ระหว่างนั้นฉันเลยพูด ๆๆๆ แม้จะรู้ว่าเธออาจไม่เข้าใจนัก แต่ก็พยายามค้นรูปจากในเป้ออกมาให้ทันก่อนที่จะโดนไล่(หากเธอเข้าใจผิดว่าฉันจะควักปืนหรือมีดออกมาปล้น) "ฉันอยากเอารูปมาให้"หลังจากยื่นภาพทั้งสองให้ดู เธอก็เอามือทาบอกด้วยอาการตกใจ ฉันหวังถึงนาทีถัดไปที่จะได้พบป้าดาวเรืองอีกครั้งเสียที ไม่รู้ว่ายังแอบไปนั่งอาบแดดชมวิวที่เนินหญ้าตรงที่เก่าเหมือนเดิมมั้ย ลูกสาวคนเล็กโตแค่ไหนแล้วแล้วลุงยังสบายดีอยู่หรือปล่าว ... ฉันยืนรอคำตอบนั้นอยู่ แม้ว่าเราจะยืนเงียบไปครู่หนึ่ง โมรี กำลังนั่งดูภาพถ่ายสองใบที่ฉันตั้งใจนำมาให้ป้าดาวเรือง"นี่เป็นรูปของมาตาจี" หญิงสาวคนนั้นชี้มาที่รูปเดี่ยวของป้าดาวเรือง "มาตาจี (คุณแม่)ศานติ...ศานติ" เธอบอกประโยคนี้มา พร้อมกับทำมือไม้ประกอบบอกใบ้ให้รู้แม้จะไม่ใช่คำที่ตรงตัวนัก Shanti ก็แปลคร่าว ๆ ได้ว่า สงบสุข หรือในที่นี้อาจสื่อว่า แกไปสบายแล้ว ฉันแอบใจหายพร้อมกับถามต่อทันทีว่าเมื่อไหร่? "สี่ปี"และถัดมาก็ชี้มาที่รูปของลุง "ปิตาจี...เมื่อปีก่อน" ฉันยืนอึ้งไปพักหนึ่งก่อนที่จะเผลอน้ำตาซึม ไม่ได้เตรียมใจที่จะมาเจอคำตอบแบบนี้สักนิด ถ้างั้น คุณป้าจากโลกนี้ไปหลังจากที่เราพบกันไม่กี่เดือนสินะ โมรี หญิงสาวที่ฉันได้เจอ ที่จริงแล้วมีฐานะเป็นลูกสะใภ้ เธอไม่ใช่ชาวมะนาลีแต่มาไกลจากรัฐราชาสถาน ส่วนลูกสาวของป้าในภาพถ่ายนั้นชื่อโซเนีย ฉันยังไม่มีโอกาสได้เจอเพราะในเวลานั้นต้องไปโรงเรียน แต่ก็ได้พบกับลูกชายคนโตของป้าที่ชื่อ ศุกราม บริเวณเนินหญ้าที่อยู่ถัดไปจากบ้านป้าดาวเรือง ที่ ๆ ฉันเคยเจอกับป้าที่นี่ พบว่าในตอนนี้ขนาดพื้นที่ว่างเปล่าที่เป็นสีเขียวอย่างในภาพ กำลังจะถูกกลืนหายไปกับสิ่งก่อสร้างใหม่ ๆฉันขอตัวเดินออกไปด้านนอกหลังจากที่ใช้เวลาคุยและนั่งดื่มชาที่หน้าบ้านโมรีมาพักใหญ่ เพื่อสำรวจพื้นที่เดิมที่คุ้นเคย...ซึ่งในอีกสิบปีข้างหน้ามันจะมีหน้าตาเป็นยังไงก็ไม่รู้ หลังจากเดินย้อนกลับไปยังบ้านของโมรีเพื่อบอกลา ก็พบว่าเธอยังถือภาพถ่ายสองใบนั้นมานั่งดูเหมือนกับว่าได้เห็นป้ากับลุงอีกครั้งยังไงงั้น พร้อมกับนั่งคุยถึงฉันและที่มาของภาพให้ป้าคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนบ้าน ซึ่งกำลังทำการถักทอผ้าในแบบพื้นเมืองด้วยเครื่องมือที่แสนเรียบง่าย แต่มันคงดูน่าวุ่นวายสำหรับคนที่ไม่เคยทำงานฝีมือจำพวกเย็บปักถักร้อยล่ะนะ คุณป้าชาวมะนาลีผู้เพื่อนบ้านของโมรี กับเครื่องมือทอผ้าขนาดเล็ก มาขอดูการถักทอแบบใกล้ ๆ สักหน่อย (ป้าบอกว่าทำไว้ใช้เองไม่ได้ขาย)พอพูดถึงเรื่องงานทอผ้าแล้ว ก็นึกได้ว่าที่ย่านนี้ยังมีโรงทอเล็ก ๆ ตรงบริเวณที่อยู่ถัดจากวัดมานูแห่งหนึ่ง มันซ่อนตัวอยู่ที่หลังต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งบังตาไว้ หากไม่สังเกตก็อาจมองหาไม่เจอ ฉันเคยแวะมาดูแบบผ่าน ๆ เมื่อสี่ปีก่อน เลยได้เห็นคนในโรงทอผ้าท้องถิ่นต่างดูขะมักเขม้นกันแบบจริงจังกันหมด และที่น่าประหลาดใจ คือคนทอผ้าที่นั่งประจำกี่แต่ละเครื่อง ก็ล้วนแต่เป็นผู้ชาย!พวกเขาต่างทอผ้าคลุมไหล่ (Shawl) ที่มีลายปักเฉพาะถิ่นกันอย่างคล่องแคล่ว นอกเหนือจากนี้ ยังมีจุดขายน้ำแอปเปิ้ลคั้นสดหนึ่งร้านที่ตั้งอยู่ด้านนอกอีกด้วยเลยว่าจะแวะมาดูโรงทอผ้ากับอุดหนุนน้ำแอปเปิ้ลมาดื่มเสียหน่อย เพราะอยู่ในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตพอดีเครื่องมือปั่นด้ายที่ดัดแปลงมาจากจักรยาน ตั้งโชว์อยู่ตรงด้านหน้าโรงทอผ้ากระดานที่ใช้ขึ้นรูปแสดงตัวอย่างการทอผ้า (ซ้าย)และวัตถุดิบเส้นด้ายที่นำมาใช้ทอ โดยมากก็ทำมาจากขนจามรี (ขวา)กลุ่มด้าย สีต่าง ๆ ที่น่าจะนำมาใช้ปักลายตัวอย่างงานทอผ้าขั้นพื้นฐานจาก Tevet ผู้ที่เพิ่งมาเรียนวันแรกเนื้อผ้าที่ทอจากขนกระต่ายแองโกร่า (บ๊าง...บาง และแพงด้วย) จำไม่ได้แล้วว่าเป็นผ้าประเภทไหน แต่มันมีความบางและนุ่มพอตัวเรื่องความแพงหลัก ๆ ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของผ้าบวกกับความประณีตในการทอ สุนีล เป็นผู้ดูแลโรงทอและผู้สอนในเวลานั้น ได้เขียนที่อยู่ติดต่อสำหรับผู้ที่สนใจมาเรียนแต่พอฉันถามถึงเรื่องร้านขายน้ำแอปเปิ้ลที่เคยตั้งอยู่ตรงข้าง ๆ โรงทอ เขาบอกว่า มันเป็นร้านที่สุนีลเคยทำกับเพื่อน ตอนนี้ก็เลิกกิจการไปแล้ว (โห เสียดายธุรกิจท้องถิ่นแบบนี้อ่ะ!)ที่โรงทอ ฉันได้ยินเสียงการพูดคุยของคนสองคนระหว่างผู้ชายคนหนึ่งที่ทำหน้าที่สอน และผู้เรียนที่เป็นชาวอิสราเอลแค่หนึ่งราย แว่วดังมาจนถึงด้านนอกเอ๊ะ...ไม่เห็นรู้มาก่อนว่ามีการสอนทอผ้าแบบนี้ด้วย เนื่องจากวันนั้นมีคนไม่มากฉันเลยขออนุญาตถ่ายรูปด้านใน รวมถึงคุยกับ เทเวท ที่เพิ่งมาหัดเรียนทอผ้าวันแรก หะ...วันแรก? คนอะไรมาเรียนวันแรกก็เริ่มขึ้นลายปักเลยแต่ เทเวท บอกว่านี่เป็นลายพื้นฐานมันไม่ยากอย่างที่คิดและอีกอย่างหนึ่งถ้าจะเรียนจริง ๆ ก็ควรมีเวลาอย่างน้อยสามวัน "แล้วเธอจะอยู่มะนาลีกี่วัน" เธอถามฉันกลับบ้าง "แค่วันนี้แหละ พรุ่งนี้จะไป keylong แล้ว...สำหรับ เลห์" ฉันตัดสินใจว่าจะไม่อยู่นานให้ยืดเยื้อ แม้จะต้องทนนั่งรถธรรมดา ๆจนหัวฟูไปถึงเลห์ก็เหอะ เพราะมะรืนนี้มันช้าเกินกว่าที่จะรอแล้ว"อืม ไม่แน่ว่าเราอาจเจอกันที่นั่นนะ" เทเวท มีแผนจะไปยังเลห์ทางรถโดยสารเหมือนกับฉัน ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก ที่ในฤดูกาลนี้จะมีคนเดินทางมายังมะนาลีเพื่อเป็นทางผ่านไปยังลาดักกันแทบทั้งนั้น
แล้วนึกว่ากำลังอ่านนวนิยายท่องเที่ยว
ที่มีนางเอกแสนเก่งทะมัดทะแมง พาเราไปยังสถานที่เก๋ๆ แปลกตาแต่น่าสนใจทุกคราวไปค่ะ
แถมอ่านง่ายเข้าใจในเนื้อหาที่สื่อสารได้ดี
จึงขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสีย" มาตาจี" ด้วยค่ะ
OMG!! ผ้าสีขาวนวลที่ทอจากขนกระต่าย
มันคงจะนวลนุ่มมือมากๆนะคะ