บันทึกหน้าประวัติศาสตร์
จำได้ว่าในรอบหลายปีที่ผ่านมา ยิ่งช่วงสมัยที่ยังอยู่ในรั้วมหาลัย พอครบรอบเข้าเดือนตุลามักจะได้มีโอกาสได้ดูเทปสมัยเหตุการณ์ตุลา ภาพเก่า ๆ เรื่องราวเก่า ๆ ถูกเล่าต่อ ๆ กันมาในหมู่เพื่อน ๆ รุ่นพี่รุ่นแล้วรุ่นเล่า หลายครั้งที่ฉันมักรู้สึกขนลุกขนผองเวลาเห็นเหล่านักศึกษาประชาชน ถือรูปในหลวง ราชินี เดินขบวนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยบนท้องถนนราชดำเนิน ภาพนั้นยังจำติดตาฉันได้ดี พาลคิดอยู่ในใจลึก ๆ ว่า ทำไมเราไม่ไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นบ้าง...
จนมาถึงเหตุบ้านการเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลง พฤษภาทมิฬ ปี 2535 ฉันก็ยังไม่โตพอที่จะออกไปยืนอยู่ในสนามรบ ตอนนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านเมืองกำลังเกิดอะไรขึ้น รู้แต่ว่าเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างอำนาจรัฐและประชาชน จนมาเข้าใจอีกทีก็เอาตอนที่ใช้ชีวิตอยู่ในรั้วมหาลัยนั่นแหละ เพราะเรื่องแบบนี้ไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในตำราชั้นมัธยม
จนกระทั่งถึงวันนี้ ช่างเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ เหมาะสม และพอดีกับประวัติศาสตร์การเมืองครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญ ฉันโตพอที่จะรับรู้สถานการณ์บ้านเมืองมากขึ้น ที่สำคัญฉันโตพอที่จะออกไปเรียกร้องในฐานะประชาชนคนไทยที่เป็นเจ้าของประเทศคนหนึ่ง การออกไปในสนามรบครั้งนี้ ฉันไม่ได้ต้องการจากผู้นำประเทศทั้งนั้น นอกจากการดำรงชีพที่ไม่ได้อยู่ในยุคของเงินเฟ้อ ข้าวยากหมากแพงแบบนี้ คงไม่มีใครปฏิเสธว่าวันนี้ราคาน้ำมันต่อลิตรมันแพงสูงลิบลิ่วกว่าราคาข้าวแกงข้างถนน ฉันแค่อยากกินข้าวแกงจานละ 15 บาทอย่างอิ่มท้อง ฉันแค่อยากขึ้นรถเมลล์ครั้งละ 5 บาท มันก็เท่านั้น นี่มันเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ ใกล้ตัวที่ต้องเจอะเจอกันทุกคน ยังไม่รวมถึงประเด็นเขาพระวิหาร ยังไม่รวมถึงประเด็นสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังไม่รวมถึงเรื่องคอรัปชั่นอีกหลายเรื่อง เพราะหากจะพูดถึงหลายคนคงบอกว่าเป็นเรื่อง ไกลตัว เป็นกลาง และ เบื่อการเมือง
ฉันเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฉันเองก็เบื่อการเมือง ทำไมคนต้องมานั่งทะเลาะกัน ทำไมประชาชนเรือนแสนต้องมาอยู่ที่สะพานมัฆวาน หรือหน้าทำเนียบ ปรากฎการณ์บ้านเมืองหลาย ๆ อย่างทำให้ฉันต้องหันมาสนใจเรื่องการเมืองมากกว่าทุกวัน จากที่ไม่เคยนั่งฟังอภิปรายพรรคฝ่ายค้านกับพรรคฝ่ายรัฐบาลก็ต้องมานั่งฟัง นั่งติดตาม เรียกได้ว่าไม่กล้าออกจากบ้านไปไหนเลยในช่วงสองวันนี้
ผลกระทบที่เกิดจากตัวเอง ความรู้สึกว่าเราก็ลูกหลานคนไทยคนหนึ่ง ถ้าบ้านเมืองมันเป็นแบบนี้ต่อไปแล้วลูกหลานของเราต่อ ๆ ไปจะเป็นอย่างไร คงได้กินข้าวแกงจานละร้อย ขึ้นรถเมลล์ครั้งละร้อยห้าสิบกันล่ะ ไม่ใช่ไม่พยายามที่จะยึดหลักความพอเพียงดังคำในหลวง ยังเคยเขียนอีเมลล์ไปปรึกษาเพื่อนเลยว่า แค่ก้าวขาออกจากบ้านไปวันหนึ่ง ๆ เงินในกระเป๋ามันหายไปเป็นหลักร้อยแล้ว แต่หากมองลึกลงไป พอเพียงอย่างไรถ้าค่าครองชีพสูงแบบนี้คงไม่มีทางได้ลืมตาอ้าปากกัน และสาเหตุหลักไม่ได้อยู่ที่พ่อค้าแม่ขายที่ติดป้ายราคาสูงกว่าปกติ แต่มันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มันเกิดขึ้นกับรัฐบาลชุดนี้
พอพูดถึงตรงนี้หลายคนคงบอกว่า รัฐบาลชุดไหน ๆ มันก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละ พอยุบสภา เลือกรัฐบาลใหม่ มันก็เป็นแบบเดิม แล้วจะเรียกร้องอะไรกันอีก มันก็ใช่ รัฐบาลอื่นก็เป็น แต่จำได้ไหม๊ว่าช่วงปี 2540 ยุคฟองสบู่แตก ราคาน้ำมันยังไม่พุ่งสูงถึง 40 กว่าบาทอย่างนี้ และอย่างน้อยก็ยังมีรถเข็นข้าวไข่เจียวกล่องละสิบบาทให้ได้อิ่มท้อง แต่ไปดูสิตอนนี้ข้าวไข่เจียวในปี 40 มันกลายเป็นกล่องละยี่สิบบาทแล้ว
ที่เล่ามาทั้งหมด ไม่ได้ต้องการให้ใครลุกขึ้นมาประท้วง หรือไปยืนอยู่หน้าทำเนียบ แต่ฉันแค่พยายามจะบอกว่าเรื่องการเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่มันเป็นเรื่องใกล้ตัวชัด ๆ และหากจะบอกว่าเป็นกลาง ก็ขอให้เป็นกลางอย่างมีสติ มีเหตุผล และถ้าคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องหน้าเบื่อ ก็ให้คิดซะว่าอย่างน้อยเราก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องอยู่ในประเทศไทย ต้องอยู่กับการเมืองไทย จะอยู่อย่างไรให้เท่าทันกับประเทศขวานทองนี้
ใจจริงฉันแค่อยากจะเล่าประสบการณ์ในขณะที่ไปร่วมอยู่ในสนามรบเท่านั้น ฉันเห็นผู้คนมากมาย มากหน้าหลายตา พูดภาษาถิ่นบ้าง เชื้อสายจีนบ้าง วัยรุ่นบ้าง คนทำงานบ้าง คนชราบ้าง ทุกคนต่างไปรวมอยู่ ณ ที่นั้น ฉันรู้ดีความมุ่งหวังของทุกคนที่นั่นคืออะไร เพราะเป้าหมายสูงสุดไม่ใช่แค่ต้องการขับไล่รัฐบาล หรือขับไล่ระบอบนอมินี แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องของความหวังที่จะเห็นการเมืองบ้านเราเป็นการเมืองแบบใหม่ ที่อำนาจไม่ได้ตกอยู่กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งและจะมีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่นั่นหมายความว่าประชาธิปไตยต้องเป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
ขณะที่ฉันกำลังนั่งฟังอภิปรายหน้าทำเนียบ กลุ่มคนกลุ่มเล็ก ๆ ตั้งวงคุยธรรมชาติขึ้น ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักกันเบื้องหน้าเบื้องหลัง พึ่งเคยเห็นหน้า แต่สามารถพูดคุยและวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์บ้านเมืองได้อย่างถึงพริกถึงขิง แต่ความรู้สึกที่เหนือกว่านั้นคือน้ำใจของคนไทยร่วมชาติ ที่มักแบ่งปันน้ำ อาหาร ที่นั่ง และอื่น ๆ อีกมากมายในขณะผู้อภิปรายบนเวทีกำลังทำหน้าที่ ฉันจำไม่ได้เลยว่าในขณะที่ฉันนั่งอยู่ที่นั่นราวสามชั่วโมง ฉันยิ้มให้ใครต่อใครบ้าง แต่ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ฉันไม่เคยปฏิสัมพันธ์มาก่อน
ฉันเห็นแม่วัยราว 40 กว่า มาพร้อมกับลูกชายอายุ 16 นั่งพูดคุยและซักถามในสิ่งที่ผู้อภิปรายกำลังพูด ฉันได้ยินอย่างถนัด แม่สอนว่า ลูกไม่ต้องเชื่อใคร แต่ให้ลูกฟัง รับข้อมูลจากหลาย ๆ ด้าน แล้วเอามาคิด มาวิเคราะห์ อันไหนใช่ อันไหนไม่ใช่ คำพูดประโยคนี้ฉันการันตีได้เลยว่า คนที่นี่ส่วนหนึ่งไม่ใช่คนที่บ้างมงาย ถูกปลุกระดมหรือคลั่งลัทธิอะไรทั้งนั้น สำหรับฉัน ฉันคิดว่าฉันมีสติพอที่จะรับรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่างน้อยฉันก็รู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวฉัน แล้วก็ออกมาทำอะไรบ้างเพื่อหวังว่าความเดือดร้อนในตัวเองจะได้คลายลง
มันอาจเป็นความกระเหี้ยนกระหือรือที่ฉันอยากจะบันทึกประสบการณ์ของหน้าประวัติศาสตร์ครั้งนี้ แต่อย่างไรก็แล้วแต่อย่างน้อยที่สุดฉันสามารถบอกตัวเองได้ทุกขณะว่า ฉันไม่ได้ลุ่มหลง ไม่ได้มัวเมา แต่ล้วนแล้วแต่มาจากสติทั้งสิ้น
ธงชาติที่โบกสบัดอยู่ด้านหน้า ทำให้ฉันขนลุกและยืนไม่ติดยิ่งกว่าการได้ดูภาพอยู่หน้าจอทีวีซะอีก..
ด้วยความเคารพ (ในตัวเอง) 25 มิ.ย. 51 หนึ่งทุ่มยี่สิบสี่นาที
Create Date : 25 มิถุนายน 2551 |
|
11 comments |
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2551 19:01:40 น. |
Counter : 590 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: One เองอ่ะนะ IP: 124.121.3.219 25 มิถุนายน 2551 20:11:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: jinanaplakap@hotmail.com (Gypsy..jInA ) 25 มิถุนายน 2551 20:21:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: พิม IP: 117.47.195.185 25 มิถุนายน 2551 20:58:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: VoYardGer - คนผ่านมา IP: 125.25.179.112 26 มิถุนายน 2551 23:37:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: พีช IP: 202.91.18.192 27 มิถุนายน 2551 22:55:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: โฟน IP: 202.91.19.192 28 มิถุนายน 2551 4:48:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 29 มิถุนายน 2551 20:24:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 9 กรกฎาคม 2551 8:42:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: พิม IP: 117.47.154.38 16 กรกฎาคม 2551 3:14:48 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
ความเหงาคือความรู้สึก เหมือนมีช่องว่าง ที่ถมไม่เต็ม ระหว่างตัวตนภายใน ของเรา กับสิ่งที่เราคิดว่า เป็นตัวตนของคนอื่นๆ มันไม่ได้ก่อรูปขึ้น จากความไร้ญาติขาดมิตร หากเกิดจากการพบปะ ปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ที่เรารู้สึกแปลกแยก ทางความรู้สึกนึกคิด ต่างหาก
เวลาที่คุณอยากบอกใคร สักคนว่าคุณชอบ และเกลียดกลัวสิ่งไหน หรืออยากทำอะไร ในชีวิต แล้วเขาไม่เข้าใจ สิ่งที่คุณพูด คุณจะอ้างว้างหนาวใจ ขึ้นมาติดหมัด ในแง่นี้ การถวิลหาความรัก ก็คือ การค้นหาทางออก จากสถานการณ์ดังกล่าว
เราอยากมีใครสักคน ที่คอยบอกว่า ฉันเข้าใจว่า คุณรู้สึกอย่างไร ไม่ใช่เพราะ คุณบอกออกมา แต่ฉันเอง ก็รู้สึกอย่างเดียวกัน กับคุณ
การบรรจบอารมณ์ ความรู้สึกนี่แหละ ที่ทำให้ เราเรียกเพื่อนสนิท หรือคนรักว่า"คนรู้ใจ"
คนรู้ใจไม่ต้องรอ ฟังคำอธิบายอันยืดยาว ก็เข้าใจทุกอย่าง ที่คุณอยากจะบอก เพราะเขาเอง ก็เคยผ่านประสบการณ์ ทางอารมณ์ แบบเดียวกันมาแล้ว เมื่อมองจากมุมนี้
เราก็เข้าใจได้ทันทีว่า เพราะเหตุใดมิตรภาพ จึงถือเป็นความรัก อีกสายพันธุ์หนึ่ง
จากความลับในความรัก conditions of love แปลโดย จีระนันท์ พิตรปรีชา
|
|
|
|
|
|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|