ในชั้นเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ฉันต้องท่องอยู่เสมอว่าสิ่งมีชีวิตประเภทสัตว์มีอยู่ 9 phylum แต่ละ phylum เป็นพวกไหน ประเภทไหน มีคุณลักษณะพิเศษและแตกต่างกันอย่างไร ตลอดจนระบบนิเวศน์ของสิ่งมีชีวิตที่ต้องอาศัยภาวะการพึ่งพิง ระบบแห่งการพึ่งพา เพื่อให้ระบบของทุกชีวิตดำรงอยู่รอด สัตว์ที่แข็งแรงกว่ากินสัตว์ที่อ่อนแอกว่า แต่สุดท้ายทุกชีวิตก็ต้องกลายเป็นซากศพ ถูกย่อยสลายเพื่อให้สิ่งมีชีวิตอื่นได้ดำรงอยู่ต่อไป
ฉันไม่สามารถอธิบายอะไรได้มาก เพราะความรู้ชุดนี้เลือนลางจากหัวสมองเต็มที จากความรู้วิทยาศาสตร์ที่นักวิชาการสายสังคมศาสตร์ต่างมองว่าเป็นความรู้ที่แข็งทื่อ วัดได้ ตวงได้ และดูจะกลายเป็นความรู้ที่ยังคงมีอิทธิพลอยู่และปฏิเสธไม่ได้ในปัจจุบัน โทษฐานที่ฉันไม่ได้ร่ำเรียนสายวิทยาศาสตร์มาอย่างโชกโชน แต่ก็ยังไม่ได้เป็นนักสังคมศาสตร์อย่างช่ำชองด้วยเช่นเดียวกัน ทำให้ฉันมองอะไร ๆ ที่ละเลยความเป็นวิทยาศาสตร์ไปมากโข ค่า x ค่า y หรือสมการยาว ๆ ไม่ได้อยู่ในหัวฉันสักกระเบียด ฉันเชื่อว่านักสังคมศาสตร์ที่เป็นแบบฉันก็มีไม่น้อย การทำงานในห้องแลบกับการทำงานจากภาคสนามดูจะแตกต่างกันลิบลับ ซึ่งทำให้แต่ละศาสตร์จมปรักอยู่กับสิ่งที่เป็น วิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ดูเหมือนจะเป็นคู่ตรงข้ามที่ยากจะมาบรรจบเจอกัน ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเรื่องเดียวกัน
หลักปรัชญา หลักศาสนา หลักธรรมชาติ ทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ แนวคิดสมัยใหม่ หลังสมัยใหม่นิยม ถูกบันทึกไว้ใน memory ของหัวสมองฉันเกินกว่าครึ่ง ฉันมุ่งหน้าเลือกเรียนทางสังคมศาสตร์ เพียงเพื่อจะสามารถนำวิชาความรู้กลับมาพัฒนาตัวเอง เข้าใจผู้อื่นเพื่อพัฒนาสังคมให้กลายเป็นสังคมแห่ง utopia หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ถูกตราหน้าว่าดีงาม และเปี่ยมสุข นึกไม่ออกจริงๆ ว่าการเรียนสังคมศาสตร์จะไปทำมาหากินอะไรให้ร่ำให้รวยเหมือนกับพวกแพทย์ วิศวกร หรือนักธุรกิจ เพราะเชื่อแต่ว่า การศึกษาสังคมจะช่วยให้เราเข้าใจตัวเอง แล้วมันจะทำให้เรายืนอยู่ในสังคมได้ทุก ๆ ที่ ดั่งเช่นเมล็ดพืชสีแดงที่นำไปหว่านที่ใดก็งอกงามที่นั่น แต่จนถึงวันนี้ฉันเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าในหนทางที่ฉันเลือก มันจะเป็นไปอย่างนั้นไหม หรือมันเป็นเพียงแค่ความคิดสวยหรูของฉันคนเดียว หรือฉันกำลังถูกหลอกจากวาทกรรมแห่งสังคมศาสตร์
ร่ำเรียนมาก็ไม่ใช่น้อย รวมวันเวลาแล้วมากโข แต่กลับพบว่าความรู้ที่ร่ำเรียนมาไม่ได้ถูกควักมาใช้เมื่อเกิดปัญหา หรือไม่สัมฤทธิ์ผลเมื่อเกิดภาวะวิกฤต นักสังคมวิทยาพยายามอธิบายสังคมด้วยแนวคิด ทฤษฎีต่าง ๆ ที่ถูกพิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากเรื่องราวของคนอื่น สังคมอื่น แต่น้อยคนนักที่จะกล้ามาอธิบายตนเองหรือลุกขึ้นมาบอกว่าตัวเองดี ชั่วอย่างไร เราทำได้แค่เล่าเรื่องราวของคนอื่น วิเคราะห์เรื่องราวของคนอื่น ตลอดจนตัดสินเรื่องราวของคนอื่นอย่างนั้นหรือ แล้วจะมีใครสักกี่คนที่หันกลับมาศึกษาเรื่องราวของตนเอง และกล้าตัดสินตัวเองอย่างกล้าหาญและชาญฉลาด ซึ่งดูเหมือนมันจะไม่ค่อยยุติธรรมสักเท่าไหร่นัก
หลายคนต่างพรั่งพรูวาทกรรมที่สวยหรู เฉกเช่นอุดมคติที่ดีงามเพื่อรับใช้ศาสตร์สาขาวิชานี้ แล้วอย่างไรเล่า สุดท้ายแล้วฉันก็ไม่เห็นว่าสังคมมันจะสวยหรูอย่างที่หลายคนอยากให้เป็น เราต่างพากันมองคนอื่น ศึกษาคนอื่น แล้วก็พร่ำตัดสินว่าดี ไม่ดี ควร ไม่ควร อย่างนั้น อย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่มันไม่ควร แต่มันก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือถึงแม้จะไม่ได้กล่าวกันตรง ๆ แต่เนื้อหาใจความมันก็คือการตัดสินอยู่กราย ๆ เหมือนกับที่ฉันเขียนข้อเขียนนี้ขึ้น ที่แอบแฝงด้วยทัศนคติและการตัดสินบางอย่าง
ฉันไม่ได้เขียนบทความนี้ขึ้นเพื่อที่จะเชื่อมโยงสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้ และฉันก็ไม่ได้เขียนเพื่อเรียกร้องให้ผู้อ่านได้มองเห็นปัญหาหรือชี้ทางให้เห็นทางออกของสังคม ฉันเพียงแค่ถ่ายทอดออกมาเพื่อเป็นการระบายความใคร่ที่ฉันอยากบอก อยากเล่าในศาสตร์ที่ฉันร่ำเรียนมา ด้วยก้นบึ้งของหัวใจล้วน ๆ เหตุผลหนึ่งเพราะฉันไม่สามารถพูดหรือบอกเล่าอะไรแบบนี้ได้ในชั้นเรียน หรือแม้แต่ข้อเขียนใด ๆ มันน่าสมเพศไหมเล่าที่เรารู้สึกต่อศาสตร์สาขาวิชาที่เรียน แต่เราไม่สามารถบอกเล่าให้ใครได้รับรู้แม้แต่ปรมาจารย์
ฉันคงไม่กล่าวโทษใครว่าการศึกษาบ้านเรามันไม่ดี หรือครูบาอาจารย์สอนไม่ได้เรื่อง เพราะพวกศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ทั้งหลาย ก็ไม่เห็นจะเป็นชนชั้นนำที่ช่วยทำให้ฉันมั่นใจและศรัทธาต่อสิ่งที่ฉันกำลังเรียนได้ .... หรือแม้แต่เด็กประถมที่ต้องนั่งเรียนวิชาสังคม จะมีใครสักกี่มากน้อยที่จะบอกได้ว่าเรียนไปเพื่ออะไร เรียนไปแล้วเอาไปใช้อะไร นอกจากเรียนให้ผ่านไปตามหลักสูตร....สุดท้ายแล้วฉันก็จะกลายเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ต้องกลายเป็นปุ๋ยเข้าสักวัน แล้วอะไรเล่าที่ฉันจะเหลือทิ้งไว้เพื่อให้ชีวิตอื่นได้ดำรงอยู่ต่อไปอย่างมีคุณค่า ที่เขียนแบบนี้ฉันไม่ได้อยากเป็นฮีโร่ให้ใคร หรือเรียกร้องให้ใครมายกย่อง ฉันก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่อยากเป็นฮีโร่เพื่อตัวเอง และสำหรับตัวเองก็เท่านั้น ...มันช่วยไม่ได้จริง ๆ ...
ได้โปรดอย่าตัดสินข้อเขียนหรือความคิดของฉัน แต่ขอจงมองไปที่หัวใจของฉัน..อย่างที่ฉันรู้สึก
ด้วยจิตคารวะครูบาอาจารย์ทุกท่าน
ตีหนึ่งยี่สิบห้า
30 กันยายน 2551
ขอขอบคุณ : บีจี : จากคุณทาสบอย
กรอบ : จากคุณ KungGuenter
แต่สิ่งที่ศาสตร์แห่งสังคมยึดมั่นสืบทอดสอนสั่งกันมานั้น...ตามทัศนะของข้าน้อยแล้ว..เพียงเพื่อมุ่งในคนธรรมดาอย่างเราๆเข้าใจบริบทแห่งสังคม..เพื่อจะได้อยูได้ด้วยใจเปี่ยมสุขและสันติภาพภายในใจตน...หาได้ให้เราเปลี่ยนไปตามกระแสสังคมที่เชี่ยวกรากจนยากจะตามติด..จิตใจเราเพียงทำหน้าที่รับรู้อย่างเข้าใจ..."ว่าด้วยบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปทุกขณะจิต"
อย่าโทษสังคมที่หมุนตามโลก..อย่าโทษระบบการบริหารที่หมุนตามคน..อย่าโทษอัตตาแห่งตนเลยที่เป็นทุกข์..เพราะเราเปลี่ยนแปลงจิตใจตนไม่ได้ฉันใดจิตใจใครเราก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ฉันนั้น....อย่าทุกข์ใจเพราะระบบการศึกษา...ระบบการบริหาร???
............แวะมาให้กำลังใจค่ะ......
...เพราะระบบที่บริหารยากที่สุดในโลกก็คือการ"บริหารใจตนเอง"...มองที่ตนเองก่อนเสมอ...ข้าน้อยเชื่อว่าสักวันท่านจะเจอคำตอบในประเด็นที่ท่านเฝ้าถามตนเองอยู่เรื่อยมา????.....อย่าถามหาคำตอบจากใครที่ไหนอีก..เพราะวันนี้ใจเราได้สร้างเกราะที่ชื่อว่า"อคติ"ต่อบุคคลเหล่านั้นไว้แล้ว..ถามใจตัวเองดู...ว่าสิ่งที่เราทำอยู่วันนี้"มีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์"...???...ขอให้พบเจอวันที่สวยงามนะคะ