วิทยาศาสตร์ของซุปเปอร์มูน
วิทยาศาสตร์ของซุปเปอร์มูน
โศกนาฏกรรมแผ่นดินไหวและสึนามิในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ทำให้อินเตอร์เนตเต็มไปด้วยข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องที่ดวงจันทร์ซึ่งจะเต็มดวงมากที่สุดในวันที่ 19 มีนาคมนั้น ว่ามีบทบาทในหายนะภัยครั้งใหญ่ในธรรมชาติครั้งนี้ด้วย
จันทร์เต็มดวงในภาพเหนือขอบฟ้าและ airglow ของโลก ภาพโดย Leroy Chiao ผู้บังคับการ Expedition 10 บนสถานีอวกาศนานาชาติ :
จุดเริ่มแนวความคิดนี้เกิดจากนักโหราศาสตร์ ซึ่งบอกว่าดวงจันทร์เต็มดวงขนาดใหญ่ครั้งนี้ซึ่งเรียกว่า ซุปเปอร์มูน(supermoon) น่าจะทำให้เกิดหายนะภัยในธรรมชาติเช่นแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น เมื่อดวงจันทร์เข้าใกล้โลกมากที่สุดในรอบ 18 ปี อย่างไรก็ตาม นักดาราศาสตร์ปฏิเสธแนวความคิดนี้ทั้งปวง
ในแถลงการณ์ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 18 มีนาคม นักดาราศาสตร์นาซ่า Jim Garvin ได้อธิบายกลไกเบื้องหลังสภาพเว้าแหว่งของดวงจันทร์และสาเหตุที่ทำให้เกิดซุปเปอร์มูน Garvin เป็นหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ที่ศูนย์การบินอวกาศกอดดาร์ด เขาเขียนในแถลงการณ์ว่า ซุปเปอร์มูนเป็นเหตุการณ์เมื่อดวงจันทร์โคจรเข้าใกล้โลกมากขึ้นอีกนิดหน่อยจากค่าเฉลี่ย และปรากฎการณ์นี้ก็สังเกตได้ง่ายที่สุดเมื่อมันปรากฎในช่วงเวลาเดียวกับที่จันทร์เต็มดวง ดังนั้น ดวงจันทร์อาจจะดูใหญ่ขึ้นแม้ว่าความแตกต่างของระยะทางจากโลก(ถึงดวงจันทร์) จะมีเพียงไม่กี่เปอร์เซนต์เท่านั้นในช่วงดังกล่าว
จันทร์เต็มดวงในเดือนมีนาคมเกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 19 มีนาคม เมื่อดวงจันทร์จะอยู่ห่างจากโลก 356,577 กิโลเมตร ระยะทางเฉลี่ยจากโลกถึงดวงจันทร์อยู่ที่ประมาณ 382,900 กิโลเมตร
Garvin อธิบายว่า มันถูกเรียกว่าซุปเปอร์มูนเพราะว่ามันเป็นการเรียงตัวที่เห็นได้ง่ายมากๆ ซึ่งเห็นผลเมื่อมองผ่าน ซุปเปอร์ ในซุปเปอร์มูนนั้นแท้จริงเป็นเพียงลักษณะปรากฎที่อยู่ใกล้มากขึ้น แต่กระทั่งเราตรวจสอบระยะทางโลก-ดวงจันทร์ด้วยเครื่องวัดระยะเลเซอร์(อย่างที่เราตามรอย LRO ในวงโคจรต่ำรอบดวงจันทร์และการเฝ้าดูระยะทางระหว่างวัตถุทั้งสองในรอบหลายปี) มันก็ไม่แตกต่างจริงๆ
เป็นโหราศาสตร์ Richard Nolle ที่เชื่อมโยงจันทร์เต็มดวงวันที่ 19 มีนาคมเข้ากับภัยธรรมชาติ เขาอ้างว่า ซุปเปอร์มูน น่าจะหน่วงนำให้เกิดแผ่นดินไหว, ภูเขาไฟและพายุใหญ่ยักษ์เมื่อถึงเวลา แต่นักวิทยาศาสตร์ให้ความเชื่อมั่นว่าไม่มีแน่นอน
Garvin ยกตัวอย่างว่า ในกรณีผลของดวงจันทร์ต่อโลกนั้นเป็นหัวข้อที่ศึกษากันอย่างกว้างขวาง เขาเขียนว่า ผลต่อโลกจากซุปเปอร์มูนนั้นไม่มาก และจากการศึกษาที่ละเอียดที่สุดโดยนักแผ่นดินไหววิทยาและนักภูเขาไฟวิทยา ผลร่วมระหว่างดวงจันทร์เข้าใกล้โลกมากที่สุดในวงโคจรกับการเป็นจันทร์เต็มดวง ไม่น่าจะส่งผลต่อสมดุลพลังงานภายในโลกเมื่อมันมีน้ำขึ้นน้ำลงจากดวงจันทร์ทุกๆ วันอยู่แล้ว
แต่ขณะที่ดวงจันทร์ช่วยผลักดันน้ำขึ้นน้ำลงของโลก มันก็ไม่มีความสามารถที่จะกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหวร้ายแรง Garvin อธิบายว่า โลกได้เก็บกักพลังงานภายในจำนวนมากอยู่ภายในเปลือกชั้นนอกที่บาง และความต่างเพียงเล็กน้อยในแรงดึงฉีก(tidal force) ที่ดวงจันทร์(และดวงอาทิตย์) ส่งมาไม่เพียงพอที่จะเอาชนะแรงขนาดใหญ่กว่าภายในดาวเคราะห์อันเนื่องมาจากการพา(convection) และสมดุลพลังงานภายในอื่นๆ ที่ผลักดันการแปรสัณฐานได้
แหล่งที่มา: space.com : NASA scientist explains science behind Supermoon phenomenon
Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2555 |
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2555 9:33:00 น. |
|
4 comments
|
Counter : 1513 Pageviews. |
|
|
|