ดิวิเอ สโคป
 
 

บทที่ 3 จากลาแผ่นดินไทย

บทที่ 3 จากลาแผ่นดินไทย

และแล้วการฝึกภาคทะเลก็มาถึง มันเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย มีเฮตั้งแต่เริ่มออกตัว เจอทั้งคลื่นทั้งลม เจอแม้กระทั่งผี จากวันเป็นเดือน และหลายเดือนได้ผันผ่าน พร้อมๆเรื่องราวนับพัน ด้วยวัยที่ย่างเข้าสิบเก้าปี ผมได้ผ่านความเข้มข้นของชีวิตทั้งคุก ตาราง สถานพินิจเด็ก ขึ้นโรงขึ้นศาล จนถึงได้มาสวมแหวนวงนี้ เป็นแหวนวงเดียวที่ผมยึดถือเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ติดตัวผมมาสิบปีกว่าๆ จากการที่ผ่านการฝึกมาอย่างหนักทำให้ชีวิตบนเรือได้หลอมรวมกับวิถีชิวิตของผม แม้จะอยู่บนบกก็ตามความไว้เนื้อเชื่อใจกันเป็นสิ่งหนึ่งที่คนประจำเรือทุกคนต้องมีให้แก่กัน เมื่อเรือออกจากท่าเรือแล้วพวกเราจะไม่มีการล๊อกประตูห้องนอนเป็นอันขาด และของไม่มีหาย เพราะเมื่อมีเรื่องฉุกเฉินขั้นสละเรือจะได้ปลุกชนิดถึงเนื้อถึงตัวโดยง่ายลากกันรอด และจะไม่ทิ้งใครใว้ข้างหลัง ความใว้ใจนี่เองที่ผมมีให้กับดา เสมอมาแต่คงเป็นเพราะช่วงฝึกภาคทะเลมันยาวนานไป หรือไม่เธอก็คงไม่รู้จะส่งจดหมายไปให้ผมได้ยังงัยพอไม่มีอะไรจะเขียนก็เริ่มอยู่ไม่สุข ต้องออกไปหาอะไรคลายเหงาตลอดช่วงที่ผมฝึกอยู่เรือ คำที่ว่าจะรอผมกลับไม่ว่านะนานเท่าไหร่ ยังคงก้องอยู่ในหูผมตลอดมา ผมเข้าใจนะเวลาที่คิดถึง หรือเป็นห่วงใครมากๆ มันก็ต้องออกไปหาอะไรทำ หรือหาใครมาช่วยไม่ให้คิดมาก แล้ว ดา ก็ทำสำเหร็จ เพราะหลังจากที่ผมจบได้ไม่นานคำบอกลาก็ตามมา

สามเดือนกว่าๆหลังจากเดินออกจากรั้วโรงเรียน หลายอย่างในชีวิตเปลี่ยนไป เพื่อนที่เคยลำบากมาด้วยกันเริ่มหายไปบางคนก็ติดต่อไม่ได้ ต่างคนต่างกระจายอยู่ทั่วโลกความเหงาเริ่มเข้ามาเกาะกินใจ บ่อยครั้งที่ผมต้องออกไปเที่ยวคนเดียวไม่ว่าจะผับเธค ที่ตรงใหนก็ได้ที่มันมีเหล้ากินเพื่อดับไอ้ความปวดที่มันเต้นๆอยู่ในหน้าอกจากคนที่ดื่มเพราะชอบ กลายเป็นดื่มเพื่อจะได้สลบ ไม่อย่างนั้นมันจะปวดจนทะลุออกไปทางข้างหลัง กลายเป็นนายหน้าไม้ลูกชิ้นปิ้ง รู้สึกอนาถกับตัวเองเหลือเกิน แม้มันจะผ่านมาสิบกว่าปีแล้วทุกครั้งที่นั่งรถผ่านหน้าบ้านเธอผมก็ยังรู้สึกหวิวๆในใจอยู่เสมอ นั้นอาจเป็นเพราะผมยังไม่มีโอกาศได้กล่าวหรือแสดงความขอบคุณที่เป็นจุดเริ่มต้นให้ผมเป็น ว่าที่รองผู้การเรือในทุกวันนี้

ที่แรกผมคิดว่าจะอยู่สายในก่อน แล้วค่อยๆขยับออกไปสายนอก แต่เมื่อไม่มีใครให้คิดถึง ประกอบกับผมจีบสาวไม่ค่อยเป็น ทั้งยังอยากหนีไปให้พ้นๆ เลยตอบตกลงแบบไม่ต้องคิดกับบริษัทเรือเดินสายนอกแห่งนึง ในตำแหน่งนายท้ายเรือฝึกหัด ผมเก็บเสื้อผ้าลงถุงทะเลใบเดียวกับที่เคยใช้หนุนหัวต่างหมอนนอนดูดาวหลังที่ฟื้นจากสลบบนสนามทราย ด้วยการฝึกอันโหดระทึก ความเข็มแข็ง และฮึกเหิมกลับคืนมาอีกครั้ง เมื่อได้ก้าวเท้าลงบนดาดฟ้าระวางเรือลำที่ผมจะใช้เพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายท้ายมือหนึ่งให้จงได้

เมื่อธงปาป้าขึ้นสู่ยอดเสา เสียงหวูดยาวสงบลง เสียงเครื่องกว้านทั้งหัวเรือท้ายเรือดังกระหึ่มพร้อมๆกัน ทั้งลำพร้อมแล้วกับการเดินทางอันยาวนาน และภาระกิจแรก ของผมกำลังจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อสิ้นเสียงรายงานว่า "โซ่สมอสามสเกนบนกว้าน ทิศทางสิบสองนาฬิกา พร้อม หัวเรือถอนสมอได้"

กราบลาแล้วครับแม่ กราบลาแผ่นดินไทย หากไม่ตายคงได้คืนพื้นแผ่นดินไทยอีกครา




 

Create Date : 07 ธันวาคม 2549   
Last Update : 7 ธันวาคม 2549 11:27:26 น.   
Counter : 1103 Pageviews.  


บทที่ 2 ก่อนจะถอนสมอ

บทที่ 2 ก่อนจะถอนสมอ

อกเอ๋ย ขอลาก่อน เมื่อเรือถอนสมอ ของปองใหว้
กราบลาแผ่นดินไทย อยู่ไหนใจยังห่วง หวงไม่เลือน
แต่นี้ เช้าเย็นค่ำ ข้าคงเห็นแต่น้ำ ฟ้าเป็นเพื่อน
จ้องดู แต่ดาวเดือนไม่เหมือนรักที่เตือน ของเพื่อนใจ
ลอยเรือเหนือลูกคลื่น ที่คลั่งคอยกลืนชิวิตไป
ชีพนี้ เหมือนเช่นใย ที่ภัยทะเลจ้องปองหมาย
คลื่นลมโหนกระหน่ำ สู้กับฟ้าและน้ำ มิยอมหน่าย
นี่เราก็เป็นชาย ไม่ตายคงได้คืนพื้นแผ่น"ดิน"

เพลงนี้ครูของผม ท่านให้ร้องเป็นประจำสมัยเป็นนักเรียนคือเช้าวิ่งเย็นวิ่ง ต้องมีเพลงนี้ทุกครั้งไป ความเป็นมาคือในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง นักรบไทยจำต้องออกไปเพื่อร่วมรบในนามของสหประชาติ สมัยนั้นการเดินทางไกลๆนั้นใช้เรือเป็นหลัก บริเวณท่าเรือจึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งญาติพี่น้องเพื่อนฝูง และคนรัก ซึ่งบางทีก็มีมากกว่าหนึ่ง ก็เลยได้ตบตีกันเป็นที่สนุกสนานบรรเทิงใจแก่ผู้พบเห็นเป็นยิ่งนัก แต่เมื่อได้ชักธงปาป้า หรือธง "P" พร้อมชักหวูดยาว เสียงอันอื้ออึง ก็เงียบลง นักรบต่างยืนเรียงรายเต็มกราบเรือ ญาติๆ และคนรักไม่สามารขึ้นบนเรือได้อีกแล้ว ต่างคนต่างส่งเส้นด้ายดิบ ม้วนใหญ่ลงมาเพื่อให้คนรักข้างล่างได้ถือไว้ เปรียบเสมือนได้เกาะกุมมือซึ่งกันและกัน เพลงนี้จะค่อยๆดังขึ้นพร้อมกับเรือที่ค่อยๆเคลื่อนเดินหน้าไป แล้วด้ายดิบจากม้วนใหญ่ๆ ก็ค่อยๆ เล็กลงจนหลุดจากมือไป บางคนก็ได้กลับบ้าน บางคนก็กลับมาแต่เหรียนตราเท่านั้น

จุดที่เปลี่ยนผมจากเด็กไม่เอาใหนจนมารู้จักเพลงนี้ที่โรงเรียนเดินเรือ ซึ่งไม่ว่าครูฝึกจะตะโกนด่าทอสั่งสก๊อตจั๊มบั๊มพื้น แทงปลาใหลกางมุ้งแบกโลก กลิ้งไปมาบนพื้นทราย ไม่ว่าจะกี่อ้วกมองดูเพื่อนสลบกี่คนก็ตาม ผมก็ยังมีมุมที่สงบเล็กๆแต่ยิ่งใหญ่และอบอุ่นเพียงพอที่จะกลบความหนาว และบรรเทาความอ่อนล้าตอนตีสองกว่าๆ ในท่ามกลางบททดสอบ และความกดดันต่างๆนาๆของครูฝึกทั้งหลายไม่ว่าจะล้มซักกี่ครั้งเพียงแค่นึกถึงก็มีแรงลุกขึ้นมาฝึกต่อ

"ดา"คือชื่อของผู้หญิงตัวเล็กๆที่มีความหมายยิ่งใหญ่ เธอเขียนจดหมายถึงผมทุกวัน และในทุกถ้อยคำนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนหวาน ปลอบโยนให้ชุ่มชื่นใจ หายเหนื่อยทุกครั้งที่ได้อ่าน หรือแม้แต่ยังไม่ได้อ่านแต่ได้ยินเสียงขานชื่อให้ออกไปรับจดหมายหน้า ก็เป็นอันปลื้มตื่นเต้นรายงานตัวรับจดหมายหน้าแถวผิดๆถูกๆให้ฮาเฮทุกครั้งไป ยึดพื้นสิบคือราคาต่อฉบับที่ต้องจ่ายทุกครั้งเมื่อมีจดหมายมาถึงใครก็ตาม แต่ผมไม่ยอมแพ้จนต้องลาออกแบบเพื่อนอีกหลายคน ไม่ยอมทำผิดใดๆ ไม่หนีเที่ยว เพราะ คำที่ลงท้ายในจดหมายทุกฉบับว่า "จะรออยู่ที่วันศุกร์นะ" ผมจึงไม่ยอมที่จะโดนกักบริเวณ หรือแม้แต่ยืดวันไปหดวันกลับ โดยเด็จขาดถึงแม้ว่าโดยสันดานแล้วอยากท้าต่อยกับครูฝึกก็ตาม(SEAL'S ก็เถอะ) ถึงจะต้องนั่งท่องรหัสมอส ธงประมวลประดามี ฝึกการตีธงสัณญาณท่าสองมือ อันเป็นกฎเหล็กสำหรับใครก็ตามที่อยากจะได้ขึ้นบก(กลับบ้าน) ก่อนชาวบ้านหนึ่งชั่วโมง(สี่โมง ใครไม่ได้ดั่งใจครูกลับห้าโมง ไม่ได้เลยแถมมีคดีก็กลับพรุ่งนี้) จนผมได้เลื่อนเป็นนายตอน และหัวหน้าชุดฝึกภาคทะเลในเวลาต่อมา (แต่ที่ไม่ได้เป็นประธานนักเรียนเพราะก่อนจะรักดี ผมก่อคดีไว้เยอะ)

ทุกวันศุกร์ นั่งรถจากปากน้ำข้ามที่เดียวสามจังหวัด สมุทรปราการ กรุงเทพ นนทบุรี เพราะเธอเรียนอยู่แถวๆปากเกร็ด รอจนถึงสองทุ่ม ทั้งสองคนก็นั่งรถย้อนกลับมาที่ฝั่งธน ชั่วโมงกว่าๆ ที่ได้นั่งคุยกันทำให้ความหฤโหดของการฝึกมลายหายไป ผมแทบไม่อยากให้รถถึงบ้านเลย แม้จะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ก็ได้แต่ภาวนาว่าให้ติดไฟแดงนานๆ รถเยอะๆ จนการจราจรมีอันเป็นไป แต่คนขับก็พามาถึงโรงเรียนเซนต์คาเบรียนจนได้ แต่นั้นก็เป็นการนั่งรถ ปอ. ที่ทั้งคนนั่งและคนยืนต้องอิจจา พอเธอลงรถผมก็นั่งต่อไปอีกสองป้ายนั่งเรือข้ามฟากกลับบ้าน วันเสาร์เป็นวันที่งานมอบประดามีที่ต้องให้จบ ภายใน 24 ชั่วโมง นอนสามชั่วโมงเก็บรายละเอียด จนงานแต่ละชิ้นบรรลุในตอนเช้า เพื่อในช่วงบ่ายจะได้มีเวลาอยู่กับ คนที่ผมต้องฝ่านรก เพื่อมาทวงถามความรักอันอบอุ่นอ่อนหวาน อบไอรักอย่างนุ่มนวล ที่หลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมแขนของความคิดถึงที่โหยหาอย่างสุดหัวใจ





 

Create Date : 05 ธันวาคม 2549   
Last Update : 5 ธันวาคม 2549 23:52:39 น.   
Counter : 565 Pageviews.  


บทที่ 1 ปฐมบทแห่งนายท้ายเรือ

บทที่ 1 ปฐมบทแห่งนายท้ายเรือ

ในการฝึกภาคทะเลที่ผ่านมานั้น ทำผมได้รู้จักกับการใช้ชีวิตชาวเรือขนานแท้ คือการฝึกตัวเองให้เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสถานะการณ์ฉุกเฉินในสถานีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สถานีอุดปะค้ำจุน สถานีไฟใหม้ สถานีเรือโดนกัน ทุกๆวัน ผมต้องเข้าเวรสองครั้ง ภายใต้ความกดดัน หนึ่งร้อยเปอร์เซนต์ ตลอดเวลาสี่ชั่วโมง ของการเข้าเวรเรือเดิน โดยเฉพาะในอ่าวไทย อันอุดมทรัพยากรสัตว์น้ำมากมาย จึงคลาคล่ำไปด้วย เรือประมงนาๆชนิดที่พร้อมใจกันยกเลิกกฎการเดินเรือทุกมาตราที่ผมได้ร่ำเรียนมา ไม่ว่าจะสัณญาณไฟ, ทุนเครื่องหมาย, การบังคับเส้นทาง, พี่แกเล่นติดกันมั่วไปหมด ยิ่งในช่วงกลางคืนไฟเรือเดินที่กำหนดเอาไว้ว่า ไฟเขียวติดข้างเรือกราบขวา และไฟแดงติดกราบซ้าย เนื่องจากเรือต่างจากรถ เมื่อจะสวนทางกันมันจะหลีกทางซ้าย คือเอาไฟแดงสวนกัน (ภาษาเรือเรียกว่า แดงโชว์แดง) ตำราว่าไว้อย่างนั้น แต่ผลปรากฎว่าด้วยความอ่อนด้อยประสบการณ์ และยึดติดตำรามากเกินไป ผมก็เลยเอาแดงโชว์แดง กว่าจะรู้ตัวก็เกือบเกิดการสังหารหมู่เข้าให้ เพราะพี่แกเล่นเอาไฟแดงติดไว้หัวเรือ และเอาไฟเขียวติดไว้ตรงท้าย ดีนะที่ความเร็วเรือผมมากกว่า เลยปาดหน้าชนิดไม่ถึงเมตร ต้องวิ่งออกไปตะโกนขอโทษเป็นการใหญ่ พวกเลยตอบกลับมาด้วยอาก้า หนึ่งแม๊กเต็มๆกระจกแตกไปหลายบาน หลังจากเหตุการนั้นผมได้ความรู้มาว่า เรือปลามันชอบตัดหน้าเรือใหญ่เพราะต้องการอ้อมมาจับปลาบริเวณพริ้วน้ำใบจักรเรือท้ายเรือ คือมันง่ายดี เพราะปลามันจะงงจากกระแสน้ำที่ปั่นป่วนจากใบจักร สองสามครั้งปลาก็เต็มจะได้กลับบ้านไวๆ เหตุผลของพวกเค้ามันมีเท่าเนี้ย โอ้วไอเดียบรรเจิดจิงจริ๊ง

หลังจากนั้นเป็นต้นมาผมต้องจับตาเรือที่อยู่บริเวณหัวเรือทุกลำ ทุกเป้าทุกความเคลื่อนใหวของมัน อ่านทางมันใช้ทั้งเรดาห์ สายตาทั้งความรู้สึกนำเรือชนิดถึงแม้ว่าเรือเป้าจะไม่เป็นอันตราย หรือเป็นภัยคุกคามแล้วก็ตาม แต่ถ้าแค่รู้สึกไม่สบายใจ สงสัยหรือกวนใจ แม้แต่เพียงน้อย ผมต้องเทคแอคชั่นทันที ไม่ว่าจะเป็นการใช้วิทยุเพื่อติดต่อบังคับเรือเป้าให้หลีกพ้นทาง ตีสัณญาณไฟ ธง เสียง(หวูด) รวมถึงรหัสมอส ถ้ามันไม่หลีก ผมจะหันหางเสือตีเรือออกห่างทันที แม้นจะต้องออกนอกเส้นทางก็ตาม จากการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง มันได้ปลุกสัญชาติญาณของนักเดินเรือขึ้นมา อันเป็นการก้าวเข้าสู่อีกระดับขั้นของการเป็นนายประจำเรือโดยไม่รู้ตัว

จนถึงวันที่ผมได้รับใบประกาศการจบหลักสูตรคนประจำเรือ วันนั้นจึงเป็นวันที่ภาคภูมิใจที่สุดในครั้งหนึ่งของชีวิต เพราะผมคือหนึ่งในไม่ถึง 60นาย ที่สามารถจบได้ทั้งสองภาค อย่างเต็มหลักสูตร ทั้งภาคทฤษฎีที่ได้รับการถ่ายทอดจากบรมครูชาวเรือที่ชาญทะเล ถึงแม้จะเลยวัยตรากตร่ำแลัวก็ตาม แต่ด้วยความที่ไม่ต้องการให้วิชาเดินเรือตายไปพร้อมกับตัว ก็เคี่ยวเข็ญไอ้บรรดาลิงกังทั้งหลาย จนกระทั่งพวกเราสามารถใช้วิชาเดินเรืออย่างถูกต้องแม่นยำไม่น้อยหน้าลูกเรือต่างชาติแต่อย่างใด รวมถึงการฝึกความอดทนเข้มแข็งของร่างการและจิตใจ จากบรรดาครูฝึกที่สั่งตรงมาจากหน่วยทำลายใต้น้ำจู่โจม ที่เคี่ยวกร่ำพวกนักเรียนทั้งหมด 120 นาย อย่างชนิดกระอักจนเหลือรอดมาฝึกภาคทะเลแค่ 76นาย ถึงแม้ว่าจะมีอยู่หลายนายไม่สามารถผ่านการฝึกภาคทะเล แต่ทุกคนก็ได้เข้าใจลึกซึ้งถึงคำว่า "ภาระกิจบรรลุ" นั้นมีความหมายที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าคำว่า บรรลุภาระกิจ มากมายนัก และแล้วจากคนที่ ไม่เคยเป็นโล้เป็นพายติดคุกติดตาราง แถมพกด้วยการเป็นศิษย์เก่าบ้านเมตา สอบที่ใหนก็ไม่ได้ติด กลับได้กำเหนิดใหม่โดยมีพ่อเป็นเสด็จเตี่ย แม่ของพวกเราคือ ย่านางประจำเรือทุกลำที่เราจะต้องลงไปทำการ เรือจึงเป็นทั้งบ้านที่อบอุ่น ที่ทำงาน แต่นั้นก็รวมความถึงภัยอันตรายความโหดร้ายของท้องทะเล ซึ่งพร้อมจะกลายเป็นที่ฝังศพของพวกเราได้ทุกเมื่อ




 

Create Date : 05 ธันวาคม 2549   
Last Update : 5 ธันวาคม 2549 12:32:16 น.   
Counter : 737 Pageviews.  



หน้าไม้ใจเย็นยิ่ง
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




เป็นนักเดินเรือรุ่นกลางๆคือไม่อยากแก่ (ฮา)แม้จะ 32 แล้วก็ตาม ไม่ใช่เรือประมง ไม่ไปต่อตีกับใครเพราะไม่ใช่เรือรบ แต่เป็นเรือสินค้าวิ่งปุเลงๆ รับส่งอยู่แถวๆ เอเชียตะวันออกนี่เอง

4ปีนายท้าย 6ปีต้นหน รวม10ปีที่อยู่เรือ ไม่ได้เป็นต้นเรือซะทีเฮ้อ
[Add หน้าไม้ใจเย็นยิ่ง's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com