~ 안녕하세요 อัน เนยอง ฮา เซ โย ~ บล็อกนี้เชื่อว่าหลายคนรอและอยากเห็นกันเร็วๆ นะคะ ถือว่าเป็นบล็อกเที่ยวๆ ปิดท้ายปีของเราเลยล่ะกัน ตัวเราเองก็อยากอัพให้เร็วๆ นะคะ แต่มาติดสัญญาใจในรีวิวต่างๆ ที่ต้องปั่นให้ทันเวลา รวมทั้งตอนนี้ทำบล็อกช้ามากด้วย และแล้วก็มาถึงคิวบล็อกเกาหลี สมใจๆกันซะที ^^ แต่เอิ่ม...กว่าจะมาถึงตอนนี้พี่ไทยเราก็หนาวๆๆ ด้วยอุณหภูมิเลขตัวเดียวเหมือนกันอะน้า ยังไม่พอ ตอนเราไปเที่ยวเกาหลีนั่นน่ะ ช่วงฤดูใบไม้เปลียนสีเกือบๆจะรุ่นสุดท้ายแล้ว พอตอนนี้ขาวโพลนด้วยหิมะ เล่นสกีกันได้แล้วอ่ะ เราก็เพิ่งๆๆๆ จะเอามาอัพ แฮ่.. ไม่ค่อยจะช้าเลยเนอะ ก่อน จะไปจะมาเกาหลี ทริปนี้นะคะ การเตรียมตัวอะไรต่างๆ บลาๆ สำหรับเราบอกคำเดียวว่า ไม่มี 555 เนื่องจากวันหนึ่งเราเปิดอ่านในเวปต่างๆ ดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยเปื่อย สายตาก็ไปเห็นรายการทัวร์ต่างๆ ก็คลิ๊กเข้าไปดูหน่อย ใจป๊ะกับรายการทัวร์ของฮ่องกง ที่ตั้งใจไว้แล้วจะไปๆ ทีนี้เลยมองหาคนไปด้วย กว่าจะลงตัวก็ปาไปเกือบอาทิตย์หนึ่ง พอโทรไปถามทัวร์อีกที เต็มๆ ฮ่วย.. ไอ้ความตั้งใจพร้อมแต่เต็มซะล่ะ แต่เราก็ไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้ เปิดดูต่อไปนี่เลยไปป๊ะกับทริปเกาหลีอีก อ่านรายละเอียด โอเชๆ ไปๆ เย้ๆ โอนเงินจองทัวร์วันนั้นพอดี จองบ่ายวันจันทร์ บินวันพฤหัส เกือบจะเรียกว่าปุ๊ปปั๊บทัวร์เลยก็ว่าได้ การเตรียมตัวหาข้อมูลต่างๆ แทบไม่มีเลยแหละ เอาฟร่ะ มีแต่ตัวกะใจรวมทั้งตังค์ก็พอแล้ว เสื้อกันหนาวปีก่อนไปเหนือดันไม่หนาวเลยไม่ขนกลับมาเลยต้องหาซื้อใหม่ 555 เอาล่ะๆ ไหนๆ ก็คิดว่าจะไปกันแล้ว ขาดเหลืออะไรไปหาเอาข้างหน้าแล้วกัน บินๆๆๆๆ14-18 Nov 2013 ~ เกาหลี เกาหลี ฟีเวอร์ ~ ขึ้น เครื่องจากสนามบินสุวรรณภูมิ 00.45 น. ค่ะ เกิดมาเพิ่งเคยนั่งเครื่องดึกขนาดนี้ ไปนั่งรอสัปหงกใน Gate เอาล่ะกัน ใช้เวลาบิน 5 ชั่วโมง เมื่อยโคตรๆเพราะเบาะนั่งบนเครื่องแคบ เหมือนรถทัวร์ชั้น 2 ก็ไม่ปาน เราว่าก็พอๆ กะนกแอร์และแอร์เอเชียอ่ะนะคะ อ๋อๆ อยากรู้ว่าสายการบินไหน JEJU AIRLINE ค่ะ ฮี่ๆ เวลาที่เกาหลีเร็วกว่าพี่ไทย 2 ชั่วโมง 8 โมงเช้าเครื่องแตะพื้นเกาหลีที่สนามบินอินซอน ถ้าเป็นบ้านเราก็คงพากันทั้งเดินทั้งวิ่งจาก Gate ไปยัง ตม.นะคะ แต่เกาหลีนี่พอลงเครื่องปุ๊ป ก็เดินขึ้นรถไฟฟ้ามายัง ตม. เลยไม่ต้องมาเมื่อยหลายต่อ คณะ ทัวร์ที่เราจอง เห็นว่าทั้งกรุ๊ปจองไปกัน 50 คนค่ะ แต่เหลือที่ได้ไปเที่ยวกันจริงๆแค่ ยี่สิบกว่าคนเท่านั้น ส่วนใหญ่ไม่ผ่านด่าน ตม. มั้ง หนีเข้าเมือง หรือคงหนีเที่ยวเองมั่งล่ะ เพราะวีซ่าที่เกาหลีที่ใช้ได้ 90 วัน จริงๆ ตอนแรกที่่เราคิดมาก็ หวั่นๆ กับตม. เกาหลีพอสมควร เพราะได้ยินเรื่องกิตติศัพท์การตรวจค่อนข้างเข้มของที่นี่ บวกด้วย ภาษาอังกฤษเราก็ไม่กระดิก อะไรก็ไม่มี บลาๆ เวลายืนต่อแถวตรวจคนเข้าเมืองนี่เราต้องดูหน้าเจ้าหน้าที่กันก่อนล่ะ ลูกทัวร์ก่อนหน้าเรา 3-4 คนก็เข้าไม่ได้ เราก็เลยจัดการเปลียนช่องเจ้าหน้าที่เท่านั้นเอง พอถึงตาเรามั่ง แหมๆๆ หน้าตาเราก็ไม่ค่อยจะเต็มบาทเท่าไหร่ ไม่ต้องอะไรมาก เจ้าหน้าที่เลยประทับตรา โป๊ะๆๆ เชิญ เอ่อ.... เชิญเที่ยวเกาหลีกันเด้อค่าาาาาาา ฮิ้วววว.. เมื่อ ผ่าน ตม. เรียบร้อยแล้ว ก็ไปล้างหน้าล้างตา แปรงฟันกันค่ะ ทำกันแค่นี้จริงๆ เพราะน้ำไม่ได้อาบทั้งกลุ่มแหละ 555 ระหว่างที่รอกลุ่มทัวร์ ก็ CNN เช็คอินรายงานตัวใน Facebook หน่อยนึง เกาหลีส่วนใหญ่พื้นที่สาธารณะ Free Wi-Fi กันหลายจุดค่ะ ก็เลยทำอะไรสะดวกหน่อย แม้เราไม่ซื้อซิมมือถือเราก็ยังโทรได้ โทรด้วย Line นี่แหละสะดวกสุดแล้ว ว่าแล้วก็ไปกันโลด ช้าก่อนๆ ไกด์แจ้งบอกไว้เลยว่า วันนั้นอากาศข้างนอกหนาวมาก -1 - 3 องศา ป๊าดดดด ต้องไปพิสูจน์กันแล้วค่า ด้วยการวิ่งขึ้นรถบัสที่มาจอดรอทันที ฮี่ รถยนต์ที่เกาหลี พวงมาลัยอยู่ทางซ้ายมือค่ะ และก็ขับเลนขวา สลับกับบ้านเราหมด ทางชึ้นรถบัสด้านซ้ายข้างๆ คนขับซะด้วย เรียกว่า เวลาก้าว ขาขึ้นรถก็จะเห็นหน้าคนขับรถก่อนเลย คนขับรถบัสคนนี้ขับนิ่มมากๆๆๆ นิ่มพอๆ ที่จะให้เรานอนหลับบนรถได้โดยไม่ต้องสะดุ้งตื่นหลายรอบก็หลับอิ่มๆ (ในรถ)ตลอดทริปเลยล่ะกัน จากนั้นก็เพลินตากับวิวทิวทัศน์สวยๆ ตามข้างทางที่รถบัสขับผ่าน แต่ก่อนจะหลับต่อบนรถก็ได้รับแจกข้าวปั้นเกาหลี คล้ายๆ ชูชิเป็นแท่งๆ พันสาหร่ายคนละแท่งรองท้องกันก่อน พร้อมน้ำเปล่าขวดหนึ่ง ส่วนเราซื้อเครื่องดื่มมาจากสนามบินอินซอนไว้แล้วก็มาเปิดดื่มกันบนรถนี่แหละ เป็นชาขาว รสชาติไม่โอนะ กะน้ำขวดทรงแปลกๆ (ที่ซื้อมาเพราะรูปทรงขวดนะคะ 555) ขวดละ 3500 วอนค่ะ เป็นนมหรือน้ำเต้าหู้นี่ไม่รู้ เรียกไม่ถูก แต่รู้ว่าอร่อยมากๆๆๆๆ 4 วันที่เราอยู่ที่เกาหลีเราจะเข้าเซเว่น แวะซื้อแต่น้ำนมนี่ติดมือมาดื่มด้วยตลอด จากนั้นเราก็หลับล่ะ ระหว่างนั้นไกด์ก็เล่าเรื่องเกาหลีปาวๆ เข้าหูเราบ้างไม่เข้าบ้าง หลับดีกว่าแบบเพลียจัดอะ อิอิ หลับไปนานแค่ไหนไม่รู้ ถูกเรียกให้ตื่น เพื่อกินโดยเฉพาะ (อีกแล้วเหรอ) >"< กินอีกแล้วค่ะ เป็นมื้อเที่ยง เพราะเวลานี้เที่ยงวันแล้ว ลงรถปุ๊ป ลมหนาวซัดเข้ามาเย็นยะเยือก วันแรกที่เราไป เกาหลีฟ้าขาวหม่นมาก จะบอกว่า ทริปเกาหลีที่เราไปนี่ เจอสภาวะอากาศ แทบทุกแบบเลยก็ว่าได้ ทั้งหนาวจัด ทั้งลมแรง ทั้งฝนตก ทั้งฟ้าหม่น ทั้งหิมะตก และทั้งฟ้าสวยใสสุดๆ แต่ไม่เจออยู่อยางเดียว คือร้อนตับแตก ทัคคาลบี เป็นเมนูอาหารที่ได้รับความนิยมในประเทศเกาหลี เป็นไก่ที่หั่นชิ้นๆ วางโป๊ะบนผักราดด้วยซอสเกาหลี เปิดไฟกะทะแล้วคนๆๆ เท่านั้นแหละ ก็ได้กินกันแล้ว อิอิ เค้าว่าอร่อยกันนัก แต่เราก็ว่างั้นๆ อ่ะนะ หรือว่าเราทั้งปาก และลิ้น ไม่ถึงไม่รู้ >"< เห็นว่าเป็นของขึ้นชื่อเมืองชุนชอนด้วยนะคะ ส่วน topping ก็มีหลายอย่าง ทั้งข้าว ทั้งเส้น ทั้งเห็ด เติมไม่อั้น กิมจินี่มาเป็นชุดใหญ่กันเลย เราชิมๆ แล้ววางอะ แหะๆ ที่เติมบ่อยเป็นพิเศษ สำหรับเราคือ น้ำซุปสาหร่ายอุ่นๆ นี่ชอบมากๆๆๆ
มายังท่าเรือเฟอร์รี่ ข้ามฟากไปยังเกาะนามิกันต่อค่า~
(Winter Love Song)
ตอนนี้กลุ่มทัวร์ ไกด์นัดหมายให้มาเจอกันจุด เดิม ราวบ่ายสอง ให้พวกเราเดินเที่ยวดูใบไม้เปลี่ยนสีกัน ไม่ใช่มีเพียงใบไม้เปลี่ยนสีนะ เกาะนามิที่เราเห็นจะมีดงต้นสน ดอกสน ต้นเกาลัด เค้าว่ามีสัตว์ต่างๆด้วย ไม่ว่าจะเป็นนกกระจอกเทศ กระต่าย กระรอก เป็ด หากไม่เห็นกระรอกเค้าว่ามาไม่ถึงเกาหลีจริง เอ่อ..แต่เราไม่เห็นมีสักตัวเลยค่า
"เกาะนามิ" เป็นเกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง สำหรับในสายตาเราก็คล้ายๆ สวนหลวง ร.๙ ของบ้านเรานะคะ (ช่างเปรียบเทียบซะ อิอิ) ละครเรื่อง Winter Sonata (เพลงรักในสายลมหนาว) ที่สร้างกระแสเนรมิตรเกาะแห่งนี้ในการถ่ายทำ ได้ออกฉายฮิตระเบิดเถิดเทิงไปในหลายๆประเทศในแถบเอเชีย รวมทั้งพี่ไทยเราด้วย ทำให้เกิดกระแสเกาหลีฟีเวอร์ตามมา นักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ ก็หลั่งไหลไปตามรอยละครเรื่องนี้กันจนล้นเกาะนามิ ระหว่างนี้ เราก็เดินๆๆๆ ไปดูใบไม้เปลียนสีตามจุดต่างๆ มีให้ถ่ายรูปเพียบ พอกลับบ้านมาดูในกล้อง ภาพถ่ายบรรยากาศไม่ค่อยที่จะมีเลยค่ะ ส่วนใหญ่มีแต่ภาพตัวเองทั้งนั้นเลย 555 เอ่อ.. ภาพข้างบนนี้ไปโฟกัสที่ต้นไม้ซะงั้น แต่ก็อยากเอาลง อิอิ และก็ที่เกาะนามินี่ล่ะ ทำให้เราเพลินกับการถ่ายรูปมากๆ ทำให้เลยเวลานัดหมายกับกลุ่มทัวร์ราว 30 นาที ลูกทัวร์คนอื่น นั่งเรือกลับขึ้นฝั่งไปรอในรถบัสกันหมดแล้ว แหะๆ เราต้องมายืนรอเรือรอบต่อไป ระหว่างนี้ก็หลบสายตาไกด์เข้าไว้ แบบว่ารู้สึกผิดเป็นเหมือนกันนะเออ นั่งรถบัสไปกันต่อล่ะค่า แบบว่าเลทมากแล้ว นั่งไปอีกราว 2-3 ชั่วโมงนี่แหละ ไปถึงพิกัดใหม่เย็นพอดี แทบจะไม่เห็นวิวอะไรแล้วอุทยานแห่งชาติโซรัคซาน หรือสวิสเซอร์แลนด์ของเกาหลี เมื่อไปถึงทุกคนแบบว่าทำเวลากันมากเลยค่ ะ แข่งกับแสงฟ้าแสงต ะวัน ลมพัดก็โคตรที่จะเย็น ยังต้องพากันวิ่งเข้าไปอีกกลัวไม่ทัน "โซรัคซาน" เป็นอุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่ที่มีเนื้อที่ถึง 354 ตารางกิโลเมตร แต่ที่เราได้ไปชมชะโงกทัวร์นี้คงไปสัมผัสแค่ 2-3 กิโลเมตรเท่านั้นเองมั้ง แฮ่ เห็นว่าเป็นแนวเขาที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในเกาหลีด้วยนะคะ มีหุบเขาดอกไม้ที่บานสะพรั่ง ตอนขึ้น Cable Car สายตาเราจ้อง มองสองหุบเขาอย่างเพลินตามากๆ สวยจริงๆ ว่าแล้วก็ถึงจุดชมวิวข้างบนเอาตอนทไวไลท์พอดี
เก็บภาพมาได้นิดนึง เพราะส่วนใหญ่เราจะมองด้วยสายตาไปหมดล่ะ อีกอย่างถ่ายกลางคืนมักงอแงไม่ได้ดั่งใจค่ะ น้อยซ์กระจายเพียบ แต่ก็ยังอยากเอามาลงให้ดู ในสภาพแตกเป็นเม็ดๆ แบบนี้แหละ อิอิ พอขาลงกระเช้า เจ้าหน้าที่เค้าปิดไฟในกระเช้าเพื่อให้ดูวิวหมอก หิมะที่แซมตามเขาต่างๆด้วยตาสวยมากๆ สาวๆในกรุ๊ปพากันกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ พอลงมาน้องๆ ชาวเกาหลีแท้ มายืนคำนับขอบคุณ ก็เลยได้มีโอกาสขอถ่ายรูปร่วมด้วยหน่อย ระหว่าง สาวไทยกะสาวเกาหลี วัดชินฮันซา
ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติโซรัคซานเลยนะคะ ลงจากจุดชมวิวมาก็วิ่งขึ้นมาวัดนี้ต่อเพราะมืดสุดๆ >"< เป็นวัดเก่าแก่สร้างในสมัยอาณาจักรชิลล่า พระพุทธรูปปางสมาธิขนาดใหญ่ อายุกว่า 1,000 ปี และมีระฆังเก่าแก่กว่า 1,400 ปี แต่เราไม่เห็นอะว่าตั้งอยู่ตรงไหน แบบว่ามืดเกือบหมด เข้ามากราบพระและก็พากันกลับแค่นั้นจริงๆ กรุ๊ปอื่นๆ เค้ามาช่วงกลางวันกัน ทำไมเราได้มาช่วงมืดๆ ค่ำๆ หว่า มื้อค่ำ ของเรามาถึงแล้ว เรียกว่า แฮมุลทัง หรือซีฟู๊ดหม้อไฟนะคะ ที่เห็นบิ๊กเบิ้มนี่คือปลาหมึกตัวใหญ่มากๆ ไกด์หนุ่มชาวเกาหลีต้องเอากรรไกรมาตัดแยกส่วนให้ สาวๆ ร่วมโต๊ะเราก็กรี๊ดกร๊าดกันเชียว เมนูนี้สำหรับเราก็โอเคค่ะมีผักหลายอย่าง ซีฟู๊ดนี่มีกุ้ง หอย ปูอัด ปลาหมึก พูดถึงเรื่องกุ้งที่นี่ตัวกะเปี๊ยกเดียว เกือบๆ จะเป็นกุ้งฝอยด้วยซ้ำมั้ง เลิ็กเกิ้น แบบว่าชิมไปบ่นไป อิอิ มื้อนี้ก็อิ่มๆ กันไปตามๆ กัน
DELP PINO
โรงแรมของเราคืนนี้ค่า มาถึงราวสองทุ่มกว่าๆ ไม่ได้สนใจรอบๆของโรงแรมมากนัก เหนื่อยด้วยล่ะ มาถึงมืดแล้วก็อยากพักๆ กะว่า พอขึ้นห้องก็จะนั่งเล่นอยู่ในห้องกินสตอบอรี่ลูกแดงที่ซื้อมาด้วย นั่นแหละค่ะ คิดไว้แบบยนี้ จะไม่ไปไหนแล้วอ่ะนะ เพราะอากาศข้างนอกตอนนี้ คำว่า เย็นยะเยือก ยังน้อยไปที่จะใช้กันเวลานี้ แต่แล้ว ก็ทำให้เราต้องออกมาจากห้องจนได้.... พอเราเห็นห้องพักนะ ชอบอะกรี๊ดเลย (มันก็กรี๊ดทุกที่แหละ 555) ห้องเป็นสัดส่วนกว้างค่ะ ห้องนี้เรานอนกัน 2 คน แต่กว้างเหมือนนอนได้ 10 คนเลยก็ว่าได้ มี 2 ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องครัว นี่มีเตาแก๊ส จาน ชาม ช้อนส้อมครบๆเลยนะคะ แต่สิ่งที่ทำให้เราต้องลงไปเพราะ หิวน้ำ เปิดในตู้เย็น น้ำไม่มีสักขวด (ไรฟร่ะ) อินเตอร์เน็ต Wi-Fi นี่มาไม่ถึงอีก >"< ห้องน้ำเราไมได้ถ่ายรูปมานะคะ มีอ่างอาบน้ำ สายชำระเมินซะเหอะ ไม่มี สะอาดดี ที่นี่ครีมอาบน้ำ แชมพู บอดี้โลชั่น จะขวดใหญ่บิ๊กเบิ้มมากๆ แต่อีกที ผ้าเช็ดตัวโรงแรมนี้ ผืนเท่ากะเปี๊ยก ห่มไม่ได้ พันตัวไม่ได้ ขนาดเท่าผ้าขนหนูเรานี่แหละค่ะ แต่ได้มา 5 ผืน สู้ขอผืนใหญ่ 2 ผืนเลยไม่ดีกว่าเหรอเนี่ย จริงๆ พอกลับมาเราไปหาข้อมูลเพิ่มเติม โรงแรมในเกาหลีส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบนี้กันนะคะ อิอิ
เครื่องนอน นี่ไกด์บอกไว้เลยว่า คืนนี้ได้นอนพื้นแบบชาวเกาหลีแท้ๆ เครื่องนอนสะอาดมาก ตอนเราจะปูนอนก็แยกไม่ออกละว่า ผ้าห่มกะฟูกนอนต่างกันยังไง เพราะขนาดเท่ากัน ต่างกันที่น้ำหนักผ้า จำได้ว่าไกด์บอกว่า ผ้าห่มคือผืนที่หนัก ๆ ฟูกนอนผืนจะเบากว่า แต่ เราก็ยังเอาผ้าห่มที่หนักๆ กว่ามาปูนอนอะ มีเรื่องเล่ากันว่า คนที่ไม่รู้เอาฟูกมาห่ม และเอาผ้าห่มมาปูนอนแทนเช้ามาทำเอาลุกไม่ขึ้นเลย เพราะผ้าจะอบมาก แต่เราก็ไม่เป็นไรเลยนิ อ่ะๆ แล้วเราก็ต้องลงมายังล็อบบี้มาซื้อน้ำกับขนม และมาใช้ Wi-Fi ที่ล็อบบี้ด้วย ทำให้เห็นคณะทัวร์ทั้งกรุ๊ปเรานั่นแหละค่ะมานั่งเล่นเน็ตกันเต็มเลย 555 อดข้าวนะพอทนไหว แต่ขาด Wi-Fi นี่ช่างทรมานยิ่งนัก เค้าบอกไว้แบบนี้อ่ะ อิอิ
ตื่น ๆ สายมากแล้ว ตอนเช้าวันที่สอง ตื่นสายอีกต่างหากเราน่ะ ไกด์นัดไว้ 8 โมงเช้า เวลานั้นเรายังกุลีกุจอออกจากห้อง ตรงดิ่งไปชั้นใต้ดิน กินข้าวเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ ไม่ได้ถ่ายรูปมาคะเพราะรีบเร่งมากๆ อาหารเป็นแบบชาวเกาหลีแท้ เน้นเป็นอาหารเพื่อสุขภาพแบบนั้นจริงๆ รีบๆ พากันมาที่รถ ห๊ะ คนอื่นยังไม่ลงมาอีกหลายคน ทำให้มีเวลามองรอบๆ โรงแรมเค้าหน่อย เดินมาเก็บภาพได้สองสามภาพมาฝากกัน ก็วิ่งขึ้นรถต่อ >"<
ด้านหลังเป็นเทือกเขาสวยด้วยนะ แต่ไม่รู้ว่าเทือกเขาอะไร เราเก็บภาพได้แค่นี้จริงๆ ไปยังเป้าหมายใหม่กัน วันนี้ฟ้าสวยมากด้วย อากาศก็ดี แต่ก็ยังเป็นอุณหภูมิเลขตัวเดียวเช่นเดิม เอาน่า เราเริ่มปรับตัวกับพื้นที่นี่ได้บ้างแล้ว ไปกันต่อค่า
Sea Train
รถไฟสายโรแมนติก เป็นรถไฟที่ได้รับการ จดบันทึกลง Guinness Book ว่าเป็นสถานีรถไฟที่ตั้งอยู่ใกล้มหาสมุทรมากที่สุด ปรากฏว่ามาถึงก่อนเวลาที่รถไฟรอบต่อไปจะออก เหลือเวลาประมาณเกือบๆ ชั่วโมง ก็พากันมาเดินเล่น ตากแดดบ้าง ถ่ายรูปเล่นกันบ้างล่ะ แถวๆ บริเวณด้านหน้าสถานี เมือง Gangneung เดี๋ยวๆ พากันถ่ายรูปเล่นหน่อยนึง ได้เวลารถไฟเคลื่อนขบวนแล้วค่า ภายในโบกี้รถไฟ ที่นั่งในขบวนหมุนได้อิสระรอบทิศทางให้หันหน้าออกไปยังกระจกกันเลย กระจกก็บานใหญ่มาก เพื่อให้ชมวิวสองข้างทางได้อย่างเต็มๆ ตา สาวๆ ในกรุ๊ปจะกรี๊ดกร๊าดกันมาก เมื่อรถไฟแล่นผ่านตรงที่วิวสวยๆ ขอบอกว่า สวยมากจริงๆค่ะ เราเก็บภาพไว้ได้ไม่ทันอะ ถ่ายมาก็ไม่ชัดอีก แต่ยังไงก็เก็บไว้ด้วยสายตาตัวเองไปเยอะแล้ว ฮี่ เมื่อรถไฟแล่นมาถึงสถานี Samcheok พวกเราก็ลงเก็บภาพกันต่อ โดยมีรถบัสมาจอดรอแถวนี้ก่อนแล้วล่ะ มีมุม วิวสวยๆ ให้ถ่ายรูปเล่นเพียบ Sea Train ยังเป็นสถานที่ที่ชาวเกาหลีมารอชมพระอาทิตย์ดวงโตสีแดงสดโผล่จากขอบฟ้าในวันขึ้นปีใหม่ด้วยนะคะ และเห็นว่า สถานีแห่งนี้เป็นฉากในภาพยนตร์และซีรี่ย์มาแล้วหลายเรื่อง ทำให้เป็นสถานที่ป๊อบปูล่าร์ในหมู่หนุ่มสาวและครอบครัวชาวเกาหลีเป็นอย่างมาก ส่วนเรานะ ยิ่งฟ้าสวยๆ อากาศดีดี แบบนี้ เลยจัดไปซะหลายมุม อิอิ เดินทาง กันต่อค่า หลังจากที่อิ่มกับวิวแสนจะโรแมนติกไปแล้ว คราวนี้็ต้องไปอิ่มลงพุงมั้งสิ เมนูกลางวันวันนี้ ข้าวยำเกาหลี + ซุป หน้าตาออกมาแด้งแดง เพราะใส่ซอสบิบิมบับ ไปด้วย (ชื่ออ่านยากจังนิ) รสชาติโอเค ใช่ได้ค่ะ แต่เราอธิบายไม่ถูกล่ะว่าเป็นอย่างไร กินเมื่อ 1 เดือนก่อน มาเล่าตอนนี้ลืมรสชาติไปแล้ว ที่เราชอบๆ ก็สาหร่ายเกาหลีนี่แหละค่ะ มาเติมให้ไม่อั้น แถมด้วยขวดพริกป่นสำหรับเราคงขาดไม่ได้แน่ๆ เพราะว่าอาหารเกาหลีส่วนใหญ่จะจืดมากกก เวลานั้น คิดถึงแต่้ข้าวเหนียว ส้มตำก็ว่าได้ 555 กินแล้ว หลับ ขับไปกันต่อ !! ถนนหนทางเกาหลีเค้า โล่ง รถไม่ติด ห้องน้ำสาธารณะนี่สะอาดมาก ในปั้มน้ำมันนี่ไม่ีมีเซเว่น ไม่มีห้องน้ำ เหมือนพี่ไทยเรานะคะ ส่วนใหญ่ใช้แก๊สกันมากกว่า คราวนี้ไปเข้าโรงเรียนทำกิมจิมั่ง กิมจิเป็นเครื่องเคียงประจำโต๊ะของชาวเกาหลีที่ขาดไม่ได้ แต่เรานี่คงเพี้ยนจัดแน่ๆ คือไม่ชอบเลย >"< แม้จะบอกว่ากิมจิเป็นอาหารประเภทหมักดอง มีคุณค่าทางอาหารสูงก็เหอะ เราน่ะขอบายไม่ค่อยปลื้มรสชาติเท่าไหร่ ห้องเรียน รู้การทำกิมจิ ได้จานหัวผักกาด ต้ม และเครื่องปรุงที่ผสมกันหมดมาให้พร้อมแล้ว โดยไกด์และคนสอนชาวเกาหลีพูดและเป็นล่าม จากเกาหลีมาเป็นไทย จากไทยเป็นเกาหลี บอกเราอีกทีหนึ่ง วิธีการที่เราได้ทำคือ ใส่ถุงมือและเอาเครื่องสีแดงๆ นั้นแหละทาๆรอบๆ ตัวผักทั้งนอกใน มัดถุงไว้ เป็นอันเสร็จพิธี ไม่ค่อยมีไรให้ตื่นเต้น 555 แต่พอขึ้นมายังชั้น 2 หรือ 3 ของตึกนี่สิคะ สาวๆ กรี๊ดกร๊าดกันอีกแล้วเพราะได้สวมชุดฮันบก ซึ่งเป็นชุดประจำชาติเกาหลี กันด้วย เราได้ชื่อเกาหลีใหม่ด้วยนะ "ยอง ยอง ริน" จบป่ะ ยังนะคะ ทริปเกาหลียังไม่หมด ยังไม่สิ้นสุดเพียงแค่นี้สวนสนุกเอเวอร์แลนด์ Trick eye museum ย่านเมียงดง ทงแดมุน Seoul Tower บลาๆ อีกเยอะค่ะ บล็อกนี้ เล่าไปแค่ วันครึ่ง ก็เลื่อนเม้าส์กันยาวแล้ว เหลืออีก 2 วันครึ่งไว้มาเล่าต่อปีหน้า นะคะ พร้อมกันนี้ ขอบอกว่า สวัสดีปีใหม่ 2557 ค่า ~