สวัสดีค่ะ หลังจากเห็นเพื่อนๆ หลายคนอัพบล็อกสถานที่ท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ที่ผ่านมากันบ้างแล้ว เราก็เข็นบล็อกนี้ออกมาบ้างค่า จุดยืนในปีนี้ เรายังคงเดินหน้า ทำบล็อกต่อไป แบบสบายๆ สไตล์ตัวเราเอง ด้วยเหตุ ยังมีหลายสถานที่หลายเรื่องราวที่เราดองไว้ เอ้ยไม่ใช่ๆ ที่ยังไม่ได้มาเล่า หรือแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้รู้กันอีกพอสมควร แม้บล็อกก่อนจะออกตัวว่า ปีนี้ไม่รับโหวตนะเออ แต่ด้วยแรงแห่งรักจากเพื่อนๆ ผู้ให้การสนับสนุนบล็อก RinSa YoyoLive อย่างเป็นทางการยังมีอยู่กันเยอะ (ว่าไปนั่น) ยังไงเราก็ขอเปลียนมาน้อมรับด้วยความยินดีค่ะ เดี๋ยวใครไม่รู้มาว่ากลับลำอีก >"< ใครใคร่โหวต โหวต ใครใคร่รัก ใคร่เอ็นดู เราไม่ปิดกั้น ตามสบายเลยค่า ขอเพียงมิตรภาพดีดี ณ ที่แห่งนี้ ยังคงตราตรึงอยู่ยืนยงตลอดไป เย้!! จากนั้นก็พามาเที่ยวกันกันละน๊า บล็อกอื่นที่ค้างๆ เอาไว้ก่อน วันนี้เราจะพามาปีนดอยกันที่นี่ค่ะภูลังกา - พะเยา เป็นทริปที่เราได้ไปเที่ยวเมื่อ 30-31 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่เราไปเมื่อ 3 ปีก่อน (พ.ศ 2553) ผ่านไป 3 ปีภูลังกามีอะไรเปลี่ยนแปลงกันบ้างนะ เรามีบอก บล็อกนี้พิเศษกว่าบล็อกภูลังกาครั้งแรกปี 53 ที่เราได้อัพไว้ค่ะ เพราะปีนั้นเราไม่ได้ขึ้นไปเยือนบนยอดดอยภูนม และภูเทวดา ซึ่งเป็นไฮไลท์ของภูลังกา ครั้งนี้จึงหมายมั่นปั้นมือที่จะปีนขึ้นมาให้ได้ ผู้ร่วมเดินทางทีมเดิม เพิ่มเด็กนักผจญภัยเข้ามาอีกคน ได้พากันขึ้นมาเหยียบเปลือกโลกบนนี้ หากไม่ได้ขึ้นมาจริง เราก็ไม่สามารถที่จะเล่าและเก็บภาพมาให้ชมได้นะจริงมั้ย !! ประมาณบ่าย 3 ของวันที่ 30 ธันวาคม เราได้เดินทางออกจากบ้าน แวะเข้า เซเว่นกันก่อนค่ะ (อยากจะบอกว่า อำเภอบ้านนอกเรามีเซเว่นด้วยนะ คือทั้งอำเภอมีเซเว่น 1 ร้านค่า แหะๆ ) เราเข้ามาซื้อของกินต่างๆ ไม่ว่า น้ำดื่ม ขนมนมเนย รวมไปถึงจานช้อนส้อมกระดาษ ที่พร้อมใช้แล้วทิ้ง ที่สำคัญคือ ผ้าห่มกับหมอน ที่เราเตรียมไปเพิ่มเองด้วยเพราะกลัวหนาวยามดึก เราขนมาแค่นี้จริงๆ พอไปถึงเห็นคนอื่นบ้าหอบฟางมาอย่างกะจะย้ายบ้านแหน่ะ เราว่ามันเยอะไปอ่ะนะ ก็เอาที่สะดวกใครสะดวกมันแล้วกันเนอะ จาก ที่เคยมาครั้งแรกในปี 53 ถนนหนทางลดเลี้ยวเคี้ยวคดอย่างไร ก็อย่างนั้น ถนนเส้นนี้ก็ยังไม่ผุพังค่ะ แต่หลังจากที่ได้ขึ้นไปดอยแม่สลองเชียงรายมาแล้ว เราว่า ทางขึ้นภูลังกา พะเยา ยังจิ๊บๆ ไปเลยล่ะเราใช้เส้นทาง จุน-เชียงคำ และขับเข้าไปยังทางเชื่อมต่อของอำเภอเชียงคำและปง ข้างค่ายทหารฯ ของเชียงคำจะใกล้กว่ามาก ครั้งนี้เราใช้ GPS นำทางด้วยจึงแม่นยำกว่าครั้งแรก (ครั้งแรกใช้ ไอโฟนนำทาง คลื่นหายเมื่อไหร่ ปวดหัวเมื่อนั้น 555) พอมาถึงเขต วนอุทยานภูลังกา จะมีไม้กั้น เจ้าหน้าที่มาสอบถามและให้กรอกประวัติว่าเป็นใครมาทำอะไรที่นี่ ในแบบฟอร์ม จะส่งคืนเมื่อตอนวันกลับก็ได้ค่ะ เราติดต่อขอเช่าเต้นท์พร้อมถุงนอนด้วย ปี 53 ที่มา เต้นท์พร้อมถุงนอน 2 ชุด ในราคา 200 บาท ปีนี้เพิ่มเป็น 300 บาท เต้นท์มีขนาดเดียว พร้อมเจ้าหน้าที่พาไปยังจุดกางเต้นท์ให้เราเลือก และบริการกางเต้นท์ให้เราด้วย รู้สึกว่าเราจะมาแต่เนิ่นๆ จึงเลือกมุมได้อย่างสบาย เราจึงเลือกให้กางตรงกลางกลุ่มไว้ก่อนเป็นยอดดี ส่วนหากใครที่นำเต้นท์มาเอง จะเสียแค่ค่าบำรุง 100 บาทค่ะ ที่นี่ ห้องน้ำ ไฟ มีบริการเพียงพอไม่ต้องเดินไกล
บริเวณ ลานกางเต้นท์ เดินลงไปประมาณ 200 เมตร จะมีร้านค้า มาขายของกินของใช้ในช่วงเทศกาลด้วยนะคะ เราจึงไม่อดเพราะเรารู้แล้วจึงไม่ซื้อข้าวอะไรมานอกจากมาม่าคัพ อิอิ (มีน้ำร้อนฟรีที่ร้านค้าด้วย) ดินเนอร์มื้อนั้น เราจึงสั่ง ไข่เจียวหมูสับ และกะเพราหมู มันเผา ข้าวโพดเผา และองุ่นแดงนอก (อย่างหลังนี้แวะซื้อที่ตลาดมา) มานั่งโซ้ยกันหน้าเต้นท์อย่างอร่อย เข้ากับบรรยากาศ ในการนอนกลางดิน กินกลางทราย (ทรายไม่มีก็บอกว่ากินบนดินนี่แหละ อิอิ) เสื่อเราก็ไม่ได้เอามาด้วยนะ อาศัยกระดาษงานเก่าๆ ที่ไม่ได้ใช้แล้วหลังรถมาปูๆ วางเอาล่ะง่ายดี 555 ส่วนน้องมังกร น่ารักค่ะ ไม่บ่นไม่ว่า ไม่งอแงด้วย ขอแค่มีเกมส์ให้เขาเล่นก็พอ นอกนั้นลุยถึงไหนถึงกัน เย้ !! ยามเย็น ในขณะที่เต้นท์หลังอื่นๆปาร์ตี้กองไฟกัน เราก็เข้ามาในเต้นท์ล่ะเพราะคืนนั้นน้ำค้างลงเยอะมากๆ เราลืมไปเสียสนิทเลยว่า อยู่บนดอยสูง ดาวจะสวย คืนนั้น เราหลับไปก่อน จนลืมนับดาว >"<
ตี 5 ครึ่ง เราตื่นมาในสภาพผมเกือบเปียกโชกเพราะดันนอนเอาหัวไปติดกับตัวเต้นท์เกินไปน้ำค้างติดมาเต็มเลย 555 ข้างบนนี้ยังมืดอยู่นะคะ ตื่นๆ ไปล้างหน้าแปรงฟัน เตรียมไปเดินชมพระอาทิตย์ขึ้นกัน ซึ่งยอดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นอยู่ห่างจากจุดกางเต้นท์ 4 กิโลเมตร เราต้องนั่งรถ 4WD ไปอีก ช่วงเทศกาล มีการจองคิวกันในคืนก่อนเดินทาง รถหลายคันค่ะ หารๆ กันไป ก็ตกอยู่ที่หัวละ 100 บาท (เด็กไม่เก็บ) เราได้นั่งเบาะหน้า ไม่รู้ว่า ข้างหลังกระบะนั้น จะกระเด้งกระดอนแค่ไหน เพราะตามระยะทางที่ขับผ่านมาบอกได้คำเดียวว่า โหดสุด หากเป็นหน้าฝนไม่สามารถขึ้นมาได้เด็ดขาด และมอไซด์ที่จะขึ้นมาได้คงเป็นแค่มอไซด์วิบากเท่านั้น ระยะ ทางแค่ 4 กิโลเมตร แต่ต้องนั่งรถไปกว่า 30-45 นาที เพราะทางโหดๆ นี่เอง แบบกระดึบๆ และยากมากด้วยที่รถจะสวนทางกันได้ เห็นว่า เจ้าหน้าที่ วนอุทยานฯ คอยอำนวยความสะดวก มีกำกับควบคุม การปล่อยรถแต่ละคันขึ้นไปด้วยนะคะ ระหว่างทางก่อนถึงจุดจอดรถ เราจะเห็นกลุ่มทีมเดินป่าหลายกลุ่มมาปักหลักกางเต้นท์กันที่นี่ ซึ่งจากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่เห็นว่ามีถ้ำขนาดใหญ่ และน้ำตกที่สวยอีก 2 แห่งอยู่ในเขตนี้ด้วย ที่ต้องเดินเข้าไปอีกลึก ก็คงต้องเป็นจุดของนักเดินป่าที่จะต้องไปผจญภัยกันต่อ สำหรับเรา รถจอดปุ๊ป พากันเดินเท้าขึ้นไปยังยอดภูนม และภูเทวดากันค่า ~ เดิน เดิน เดิน เจอมุมไหนอยากถ่ายรูปก็ แชะๆ น้องมังกรน่ารักมาก ร่าเริง เดินนำหน้าเราไปด้วยล่ะ แต่พอเราอยากหยุดเก็บภาพถ่ายมุมนั้นนี่ น้องมังกรก็จะมานั่งอยู่ใกล้ๆ เป็นเพื่อน ที่มานั่งใกล้ๆ เป็นเพื่อนนี่ไม่ให้เวลาเสียเปล่านะคะ ควักเกมส์มาเล่นหน้าตาจริงจังมาก 555 เมื่อเราเดินมาถึงครึ่งทาง มองย้อนกลับไป แลเห็น ยอดภูนมที่เราได้ผ่านขึ้นมาไกลๆ แบบว่าตอนเดินอยู่จุดนั้นเราก็ไม่รู้นะว่า เออ ถึงยอดแล้ว ต้องเดินมาอีกจุดหนึ่งแล้วย้อนกลับไปดูถึงจะรู้ ว่าหน้าตาเป็นแบบนี้อ่ะ 555 จากจุดที่จอดรถ เดินขึ้นมาายังดอยภูนมประมาณ 800 เมตรค่ะ และพากันเดินไปยังภูเทวดาอีก 1 กิโลเมตร หมอกบางๆ ได้เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ จึงอดไม่ได้ที่จะเก็บภาพตรงหน้ามาฝากกันๆ เรากำลังจะขึ้นไปยอดภูเทวดา ทางค่อนข้างสูงและชัน แต่เด็กน้อยคนนี้ เดินได้อย่างว่องไว ไม่สะดุดเหมือนแม่เค้านะ "ตามมังกรมาเลยคร้าบบบบ" ขึ้นมาถึงแล้วค่า "ภูเทวดา" ที่มีความสูงระดับน้ำทะเล 1,720 เมตร สูงกว่า ภูชี้ฟ้า เชียงราย (สูง 1,600 เมตร) เนื่องจากเป็นวนอุทยานแห่งใหม่ (เปิด พ.ศ 2547)จึงยังมีคนรู้จักไม่มากนัก เท่าที่เรามาวันนี้ นักท่องเที่ยว ก็ไม่ถึงกับว่าเยอะหรือหนาแน่นนะคะ แต่ก็มีบ้าง พอที่จะมาประกอบฉากให้เราด้วย อิอิ ข้างบน นี้สัญญาณมือถือไม่ว่าค่ายไหนๆ ก็หายเกลี้ยงนะคะ หากจะอัพฟง อัฟเฟส ก็รอลงไปอัพกันข้างล่างนู้น ข้างบนนนี้ เทวดาเค้าอยู่กัน จึงมี "แท่นเทวดา" ด้วยนะเออ พร้อมป้ายความสูงบ่งบอก 1,720 เมตร เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปไว้อวดเพื่อนๆ กันว่ามาถึงจุดสูงสุดของภูลังกาพะเยาแล้ว เย้ !! ข้างบนจะมีเจ้าหน้าที่ของ วนอุทยานภูลังกา คอยมาอธิบายและให้ความรู้เพิ่มเติมกับนักท่องเที่ยวด้วยนะคะ ชาวเมี่ยน ชาวเย้าเรียกแท่นเทวดาว่า"แท่นฟินจาเบาะ" ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่สิงสถิตย์ของเทพ และเทวดา ทุกปีจะมีพิธีเซ่นไหว้ เพื่อให้ท่านช่วยปกปักษ์รักษา เมื่อเราขึ้นมาเป็นเทวดา ดื่มด่ำธรรมชาติบนยอดภูจนหนำใจแล้วก็เดินลงๆ เก็บอุปกรณ์บันทึกภาพกันก่อนค่า ในภาพนี่คนหนึ่งเก็บอุปกรณ์น่ะ คะ แต่อีกคนตัวเล็กๆน่ะ เอิ่ม เหมือนกำลังจะช่วยกันเก็บของอะเนอะ แท้จริงแล้วยังเล่นเกมส์อยู่เลย 555 ตอนเดินลงมานี่ต้องใช้เท้าเบรคกันด้วยค่าเพราะทางขึ้นมาชันแล้ว ทางลง แทบจะกลิ้งกันเลยทีเดียว และเราก็กลิ้งจริงๆ ด้วย >"<ตอนลงทำเวลาได้ดีกว่าขึ้นอีก ปรู๊ดๆๆพากันมานั่งรออยู่ที่ลานจอดรถ รถของพวกเรายังไม่มารับ เก็บภาพเล่นไปเรื่อยเปื่อย มีศาลา มีป้ายบอกจุดชมวิว แต่เราดูแล้วแทบไม่เห็นวิวอะไร นอกจากป่าหญ้าคาเต็มไปหมด จึงต้องแพนกล้องส่องขึ้นฟ้าอีกครั้ง กลับ มายังที่ทำการกันแล้ว หิวมากๆๆค่า พากันเดินเข้าไปร้านอาหารตามสั่ง ข้าวต้มมากินคนละชาม น้องมังกรมีพ่วงมาม่าคัพอีกถ้วย 555 ราคาอาหารข้างบนนี้ไม่ได้บวกแพงเกินควรนะคะ อย่างข้าวต้มหมูนี่ก็ 30-35 บาท ชานมเย็นถุงกระดาษที่ฮิตกันขณะนี้ข้างล่างขาย 25 แต่ข้างบน 40 บาทอะ แต่ที่ถูกใจอร่อยเรามากสุดๆ ก็คือ กองมันเผานี่เลย หอมอร่อยมากๆ ลูกละ 5-10 บาท จัดกันไปคนละหลายลูก อร่อยจริงไรจริง
ท้องฟ้าของสายๆ วันนั้น ชอบมากกกกกก ขับรถลงจากที่ทำการมาเจอป้ายเดิมที่เราเคยถ่ายรูปไว้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว อะ จัดกันหน่อยพอกลับมา ค้นหาภาพเมื่อ 3 ปีก่อนของตัวเองเป็นอย่างไร เอามาเทียบกันดู ผลปรากฏว่า.. หัวเหม่งกว่าเดิมเยอะเลยค่ะ 555
ขาลง ทางผ่านจะผ่าน "โครงการหลวงปังค่า" ซึ่งเป็นโครงการปลูกผักปลอดสารพิษวันนั้นมีการจัดซุ้มถ่ายรูปสวยๆ กันหลายจุดครั้งแรกปี 53 ที่เรามาตื่นตาตื่นใจ กับ ฟักทองยักษ์และมะเขื่อเทศมิกกี้เมาส์ มากๆ เลยค่ะเพราะไม่เคยเห็นมาวันนี้ น้องมังกร ตื่นเต้นแทน อิอิ เพราะเป็นครั้งแรกของผมคร๊าบบบ ก่อนจากเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกๆ และแล้ว ทริปภูลังกา-พะเยา ต้องลาเพียงเท่านี้ แน่นอนว่า เรากลับมามองภาพเหล่านั้น รอยยิ้ม และ ความสุขเพิ่มเป็นทวีคูณ แล้วพบกันใหม่ บล็อกหน้าค่า
อู้ย คนแรกปะเนีย
โชว์เกรียนสะโหน่ย