|
ห่างไกล ไม่ห่างกัน (9)
สวัสดีทุกท่านที่เข้ามาอ่าน
ผมนำบันทึกที่เขียนถึงลูกเมื่อก่อนหน้านี้มาขัดเกลาตัดต่อเพิ่มเติม ขยับปรับแต่งเรียบเรียงเรียบร้อยแล้วมาให้อ่านกันเล่น
แต่สิ่งที่ยังคงอยู่เหมือนเดิมก็คือเรื่องราวความจริงและความรัก ของพ่อที่อยู่ไกลบ้านคนหนึ่ง
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็คงได้เห็นหนังสือชื่อ "ห่างไกล ไม่ห่างกัน" ในไม่ช้าไม่นานนี้
ด้วยมิตรภาพ
---------------------------------------
(9)
พเยีย ลูกรัก
วันนี้พ่อทำต้นฉบับเสร็จแล้ว จัดการส่งให้หนังสือที่พ่อเขียนประจำอยู่ พ่อใช้วิธีส่งต้นฉบับทั้งสองทาง คือเป็นต้นฉบับพิมพ์ในกระดาษพร้อมรูปประกอบเป็นฟิล์มสไลด์ส่งทางไปรษณีย์ EMS อีกทางหนึ่งแนบไฟล์ส่งทางอีเมล์
ที่พ่อต้องส่งต้นฉบับทั้งสองทางก็เป็นเพราะพ่อยังไม่ได้ใช้กล้องดิจิตอล คือตอนนี้ทั้งไม่มีและถ่ายไม่เป็น แต่คิดว่าคงต้องเตรียมตัวที่จะเปลี่ยนแปลงและหัดใช้แล้ว พ่อคิดว่าอย่างไรก็คงหนีไม่พ้นเทคโนโลยีชนิดนี้แน่
พ่อจะเขียนต้นฉบับส่งไปตุนล่วงหน้าไว้เสมอ ส่วนใหญ่เรื่องที่พ่อเขียนจะไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์และเรื่องเวลา คือจะอ่านในวันเวลาใดก็ได้ นอกเสียจากบางเรื่องที่เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆก็จะบอกบรรณาธิการว่าเรื่องนั้นขอให้ช่วยลงในสถานการณ์นั้นๆเพื่อความเหมาะสม การได้ส่งต้นฉบับไปตุนไว้ทำให้พ่อรู้สึกสบายใจในการทำงาน คือไม่ต้องรอให้ไฟลนก้นแล้วค่อยลงมือเขียน เราได้แก้ไขขัดเกลาจนพอใจจึงส่ง และเท่ากับเรามีต้นฉบับให้บรรณาธิการเลือกได้ตามใจชอบ หากเขาไม่ชอบเรื่องไหนเขาก็มีสิทธิ์ไม่เอาเรื่องนั้นลงตีพิมพ์ได้
ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกอิสระในการทำงาน จะใช้ความคิดสร้างสรรค์แบบไหนอยากเขียนอะไรด้วยรูปแบบไหนพ่อก็ทำได้เต็มที่ หลังจากพ่อได้เขียนหนังสือสม่ำเสมอมาระยะหนึ่ง ทำให้พ่อพบว่าการมีกำหนดวันส่งที่แน่นอนนั้น ทำให้เรามีการจัดการงานที่เป็นระบบระเบียบ งานของพ่อนั้นถึงแม้ไม่ได้กำหนดแน่นอนว่าจะต้องส่งต้นฉบับวันที่เท่าไร แต่พ่อก็จะมีกำหนดในใจว่าถ้าหนังสือที่พ่อเขียนวางตลาดเมื่อไร งานชิ้นใหม่ของพ่อก็จะต้องส่งก่อนหน้านั้นหรือในเวลาใกล้เคียงกัน โดยรักษาการตุนงานไว้เป็นระยะๆ
เป็นเวลาสามปีกว่าแล้วที่พ่อไม่ได้ยังชีพด้วยงานอื่นเลย นอกจากการเขียนหนังสือ พ่อมีรายได้จากการเขียนคอลัมน์ในนิตยสารรายปักษ์ 3 ฉบับ ลำพังค่าเรื่องกับค่าใช้จ่ายก็ยังไม่พอดีนัก อาศัยว่าแม่มีเงินเดือนประจำช่วยๆกันไป ก็พออยู่ได้ไม่เดือดร้อน แต่เมื่อเทียบกับช่วงชีวิตที่ผ่านมา พ่ออยากบอกว่าตอนนี้พ่อมีความสุขกับชีวิตและการงานมากกว่าแต่ก่อน แต่ก่อนนี้พ่อไม่ค่อยกล้าจะบอกใครว่าเป็น นักเขียน เพราะเขียนหนังสือเพียงเล็กๆน้อยๆเท่านั้น แต่ถึงวันนี้พ่อบอกกับตัวเองว่าทุกวันนี้ต้องทำตัวเป็น นักเขียน แต่ไม่ต้องเที่ยวไปบอกใครต่อใครว่า ผมเป็นนักเขียนนะครับ เพราะนักเขียนต้องเขียนหนังสือเป็นงานหลัก งานอย่างอื่นเอาไว้ค่อยทำทีหลัง ถ้าหากบอกว่าตัวเองเป็นนักเขียนแล้วไม่เขียนหนังสือก็จะรู้สึกอายตัวเองยังไงก็ไม่รู้ พ่อนึกถึงคำพูดในวัยหนุ่มที่เริ่มเขียนหนังสือใหม่ๆซึ่งคิดว่าเท่สุดๆแล้วในตอนนั้น คำพูดประโยคนั้นคือ ผมอาจจะทำงานอะไรก็ได้ แต่ว่าส่วนหนึ่งของชีวิตผมคือการเขียนหนังสือ ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดของพ่อจะศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ที่ผ่านมาชีวิตการเขียนหนังสือของพ่อจึงลุ่มๆดอนๆเพราะมัวไปทำอย่างอื่นเสียมากกว่าการเขียนหนังสือ ทั้งที่พ่อเริ่มต้นเขียนหนังสือมาหลายปีดีดักแล้ว เมื่อสี่ห้าปีที่ผ่านมาหลังจากที่พ่อกับแม่ช่วยกันทำปลากรอบตะกั่วป่า รายได้จากการขายปลากรอบช่วยชีวิตครอบครัวเราไว้ให้หายลำบากได้มากทีเดียว ทำให้พ่อได้กลับมาทำงานเขียนด้วยใจรักอีกครั้ง ถึงแม้คราวนี้จะเขียนคอลัมน์มากกว่าเรื่องสั้นหรือนิยายก็ตาม แต่พ่อคิดว่านี่ก็คืองานของนักเขียนเหมือนกัน
แล้วพ่อก็พูดเกี่ยวกับการเขียนหนังสือของตัวเองเสียใหม่ว่า ต่อไปนี้ชีวิตของผมคือการเขียนหนังสือ ส่วนหนึ่งที่เหลือผมอาจจะทำงานอะไรก็ได้ พ่อสะกดคำพูดนี้ลงไปในจิตใต้สำนึกอีกครั้ง ปรึกษากับแม่ว่าจะเลิกขายปลากรอบ เพราะพ่ออยากจะเขียนหนังสืออย่างเดียว ถึงวันนี้พ่อได้หยุดขายปลากรอบแล้ว และทำให้พ่อได้พบว่าความตั้งใจที่จะทำอะไรจริงจังนั้นย่อมสัมฤทธิ์ผลเสมอ ถึงแม้ทุกวันนี้พ่ออาจจะไม่ใช่นักเขียนที่ประสบความสำเร็จในเรื่องชื่อเสียงหรือเงินทองก็ตาม แต่พ่อคิดว่าพ่อก็ประสบความสำเร็จในสิ่งที่พ่อตั้งใจไว้ระดับหนึ่งแล้ว คือได้ทำงานที่ใจรักและพอจะเลี้ยงดูตัวเองได้ตามสมควร ด้วยความรู้สึกอิสระอย่างที่ตัวเองปรารถนา ได้สัมผัสถึงเสรีภาพในการคิดและการวางแผนขั้นตอนการทำงานของตัวเอง ได้เลือกที่จะตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเอง และซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง ความรู้สึกต่างๆเหล่านี้กระมังที่ทำให้พ่อรู้สึกว่านี่คือความสุขในการทำงาน ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายต่อการงานที่ทำหรือรู้สึกว่าทำงานด้วยสภาวะจำยอม หรือต้องทำเพราะต้องการเงินมาเลี้ยงชีพ หรือทำเพราะต้องการดำรงสภาพความเป็นนักเขียนของตัวเองไว้เท่านั้น ในช่วงเวลาที่ผ่านมาพ่อได้ฝึกฝนการคิดหาเรื่องราวที่จะนำมาเขียน ฝึกฝนการนั่งลงทำงานอย่างมีวินัย พ่อฝึกตัวเองที่จะไปนั่งทำงานในที่ต่างๆ ไม่ว่าที่บ้านของตัวเอง ที่วัด หรือโรงแรม หรือที่บ้านเช่า เพราะพ่อถือว่าการได้เดินทางไปไหนต่อไหนแล้วนั่งทำงานได้ด้วยนั้นคือความฝันอย่างหนึ่งของพ่อ จนถึงวันนี้พ่ออยากพูดว่าการฝึกฝนความคิดเพื่อจะเขียนอยู่เสมอนั้นทำให้เราสามารถทำงานได้ต่อเนื่อง ไม่จำเป็นต้องรอให้อารมณ์ศิลปินเข้าสิงเหมือนแต่ก่อนจึงค่อยเขียนงานได้ และทำให้พ่อได้พบว่าการเป็น นาย ของตัวเองนั้นไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรตามใจหรือตามความต้องการของตัวเองแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อคุณสามารถทำงานอย่างที่ นาย สั่งได้แล้วคุณก็ย่อมเป็นอิสระได้ พ่อชอบประโยคคำพูดของใครก็ไม่รู้ที่พูดไว้นานดึกดำบรรพ์แล้วว่า ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้น พ่อเห็นจริงด้วย ณ วันนี้พ่อถือว่าเป็นเพียงการเริ่มต้นใหม่ในภาคสองของชีวิตเท่านั้น แน่นอนว่ามันยังไม่จบ
รักและคิดถึง พ่อ
Create Date : 01 ธันวาคม 2549 |
|
7 comments |
Last Update : 1 ธันวาคม 2549 6:28:03 น. |
Counter : 867 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: บ้านโคกโจด (my_oom ) 1 ธันวาคม 2549 7:37:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: สายลมอิสระ IP: 124.157.174.109 1 ธันวาคม 2549 21:00:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: filmgus 2 ธันวาคม 2549 17:12:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: Htervo 13 มิถุนายน 2550 21:25:33 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
นนทบุรี Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]
|
ด้วยความยินดี... หากมีผู้ใดละเมิด โดยนำภาพถ่าย,บทความ หรือข้อเขียนต่างๆ ใน Blog นี้ไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด สามารถทำได้เลยทันที โดยไม่ต้องขออนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
เว้นเสียแต่ว่า
ถ้านำไปพิมพ์จำหน่าย กรุณาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ด้วย
|
|
|
|
|
|
|
มาอ่านจดหมายพ่อจ๊ะ
สวัสดียามเช้าอ่ะ