คำกล่าวของ"อภิชาติพงศ์"บนเวทีโลก-ความหวังดีที่มีต่อประเทศไทย-อยากให้รางวัลช่วยลดอุณหภูมิขัดแย้งในปท.
พี่เจ้ย สุดยอดครับ
"ประเทศไทยกำลังต้องการความหวังในวิถีทางอื่นๆ เนื่องจากทุกคนกำลังโศกเศร้าเสียใจอย่างหนักกับเหตุการณ์การเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์แตกต่างกัน ผมจึงหวังว่าข่าวคราวเกี่ยวกับรางวัลทางวัฒนธรรมที่ผมได้รับคงจะสามารถทำให้อุณหภูมิร้อนแรงของสถานการณ์ดังกล่าวเย็นลงได้บ้างไม่มากก็น้อย" "อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล"//is.gd/cn5UTมติชนออนไลน์
24 พฤษภาคม 2553

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส เพิ่งทำการประกาศผลรางวัลให้แก่ภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ ที่ถูกคัดเลือกเข้าฉายในสายประกวดของเทศกาลประจำปีนี้ ไปเมื่อเวลา 24.00 น. ของวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา และเป็นที่น่ายินดีสำหรับประเทศไทยว่าภาพยนตร์เรื่อง "ลุงบุญมีระลึกชาติ" ของ "อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล" สามารถคว้ารางวัล "ปาล์มทองคำ" ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดของเทศกาล มาครอบครองได้สำเร็จ
โดยภายหลังได้รับมอบรางวัลจากนักแสดงสาวชาวฝรั่งเศส "ชาร์ล็อตต์ แกงสบูร์ก" อภิชาติพงศ์ได้กล่าวว่า
"เขาขอขอบคุณผีและวิญญาณทุกดวงในประเทศไทยที่นำพาตนเองมายังสถานที่แห่งนี้"ขณะที่ "ทิม เบอร์ตัน" ผู้กำกับชื่อดังจากฮอลลีวู้ด ที่ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการตัดสินรางวัลปาล์มทองคำประจำปีนี้ กล่าวถึงเหตุผลในการมอบรางวัลให้แก่ "ลุงบุญมีระลึกชาติ" ว่า
"โลกปัจจุบันเล็กลงและถูกทำให้มีความเป็นตะวันตกหรือความเป็นฮอลลีวู้ดมากยิ่งขึ้น แต่หนังเรื่องนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองกำลังมองโลกมาจากแง่มุมของประเทศอีกแห่งหนึ่ง หนังใช้รูปแบบแฟนตาซีในการเล่าเรื่อง แต่เป็นแฟนตาซีในแง่มุมที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน ดังนั้น เขาจึงรู้สึกว่าลุงบุญมีระลึกชาติเป็นดังความฝันอันงดงามและแปลกประหลาดระคนกันไป""ลุงบุญมีระลึกชาติ" เล่าเรื่องราวของลุงบุญมีซึ่งเจ็บป่วยจากอาการไตล้มเหลว เขาตัดสินใจใช้เวลาในวันสุดท้ายของชีวิตกับบรรดาคนที่ตนเองรักในชนบทแห่งหนึ่ง ผีภรรยาของเขาปรากฏกายขึ้นเพื่อมาดูแลพยาบาลสามี ลูกชายที่ห่างหายไปนานกลับมาบ้านอีกครั้งในร่างที่ไม่ใช่มนุษย์ การพินิจพิเคราะห์ใคร่ครวญถึงอาการป่วยของตนเอง ทำให้ลุงบุญมีตัดสินใจเดินทางเข้าไปในป่าพร้อมกับสมาชิกในครอบครัว พวกเขาเดินเท้าไปยังถ้ำลึกลับบนยอดเขา ซึ่งเป็นสถานที่เกิดในชาติภพแรกของลุงบุญมี
ทั้งนี้ ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวถือเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่สามารถคว้ารางวัลสูงสุดจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติซึ่งมีความสำคัญในระดับโลก
นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทย ยังส่งผลให้อภิชาติพงศ์ต้องตอบคำถามเรื่องดังกล่าวกับสื่อมวลชนนานาชาติอย่างต่อเนื่อง
เมื่อหนังเข้าฉายในรอบสื่อมวลชนที่คานส์ และมีนักข่าวสอบถามถึงสถานการณ์ความรุนแรงในประเทศไทย อภิชาติพงศ์แสดงความเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสถานการณ์ความรุนแรงสาหัสที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ อย่างไรก็ตาม เขาคิดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จำเป็นจะต้องเกิดขึ้น อันเนื่องจากการมีช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนในประเทศไทย ทั้งนี้ เขายังกล่าวยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า
"ประเทศไทยเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความรุนแรง และถูกปกครองโดยกลุ่มมาเฟีย" ในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังได้รับรางวัลปาล์มทองคำ อภิชาติพงศ์ได้กล่าวถึงสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองไทยอีกครั้งหนึ่งว่า
"ประเทศไทยกำลังต้องการความหวังในวิถีทางอื่น ๆ เนื่องจากทุกคนกำลังโศกเศร้าเสียใจอย่างหนักกับเหตุการณ์การเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์แตกต่างกัน ผมจึงหวังว่าข่าวคราวเกี่ยวกับรางวัลทางวัฒนธรรมที่ผมได้รับคงจะสามารถทำให้อุณหภูมิร้อนแรงของสถานการณ์ดังกล่าวเย็นลงได้บ้างไม่มากก็น้อย"ก่อนหน้านั้น ผู้กำกับไทยรายนี้ได้เคยแสดงความเห็นกับผู้สื่อข่าวของเว็บไซต์ "ฮอลลีวู้ด รีพอร์ทเตอร์" ว่า เหตุการณ์ความขัดแย้งในประเทศไทยขณะนี้ คือ
"สงครามชนชั้น" ซึ่งเกิดจากการมีชนชั้นที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด และประชาชนได้ถูกกดขี่ข่มเหงตลอดมาไม่ทางด้านเศรษฐกิจก็ทางด้านสังคม
ไทยรัฐออนไลน์
24 พฤษภาคม 2553ผู้กำกับไทยต่างออกมาแสดงความเห็นถึงเจ้ยกันเพียบพร้อมยกย่องที่สามารถสร้างเกียรติประวัติให้แก่วงการได้..ล่่าสุดผู้กำกับภาพยนตร์ไทยต่างทะยอยออกมาแสดงความเห็นกันเพียบถึงความสำเร็จของเจ้ยบนเวทีโลก ต่างยกเจ้ยเป็นคนที่ทำให้ผู้กำกับภาพยนตร์ไทยเป็นที่รู้จักในโลกภาพยนตร์สายศิลปะ
บัณฑิต ทองดี ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังยก เจ้ย-อภิชาติพงศ์ ทำให้อาชีพผู้กำกับภาพยนตร์ไทยมีเกียรติในสังคมโลก รางวัลนี้ถือว่าเป็นรางวัลสูงสุดของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ จริงๆ ก่อนหน้านี้เขาเคยได้รับรางวัลจูรี่ไพรส์จากเทศกาลนี้ ถือว่าสูงสุดสำหรับคนทำหนังแล้วละครับ "
ผมอยากยินดีด้วยจริงๆ ที่ทำให้อาชีพผู้กำกับภาพยนตร์ของไทยมีเกียรติมากขึ้นในระดับสากล กับหนังของเขา ผมเคยดูทุกเรื่องอย่างสุดเสน่หาก็สะท้อนปัญหาเรื่องเซ็กส์ เรื่องสัตว์ประหลาดก็สะท้อนตัวตนของมนุษย์จริงๆ หรือเรื่องแสงศตวรรษนั้นก็ตีแผ่จิตใจด้านมืดของคน เช่น ในหนังเขาแสดงให้เห็นภาพพระสงฆ์เล่นกีต้าร์ กับเรื่องบุญมี ผมยังไม่ได้ดู แต่เข้าใจว่าจะสะท้อนเรื่องความเชื่อของคนไทยที่ติดยึดกันมานานว่ามีผลต่อชีวิตคนไทยอย่างไร"
ด้าน
มะเดี่ยว- ชูเกียรติ ศักด์ิวีรกุล ผู้กำกับภาพยนตร์รักแห่งสยาม และฮูอากง กล่าวว่า "
กับหนังของเจ้ยโดยมากเป็นหนังอาร์ตสุดๆ ผมได้ดูหนังของเขาหลายเรื่องนะ แต่เรื่องบุญมีนี่ยังไม่ได้ดู หนังของเขามีความบริสุทธิ์มากๆ คือสะท้อนตัวตนของความเป็นมนุษย์ออกมาแบบสุดๆ และเล่าเรื่องของคนธรรมดาๆ เร้าอารมณ์ให้เห็นถึงจิตวิญญาณที่แท้จริงใจตัวตน หนังของเขาเก่งที่จะสะท้อนภาพความทรงจำ และเล่าเรื่องได้อย่างมีชีวิต มันเป็นเรื่องน่ายินดีครับที่คนไทยสามารถทำให้หนังไทยไปยืนบนเวทีสากล จริงๆ หนังไทยในสากลนั้นก็มีคนรู้จักอยู่แล้วบ้าง แต่สำหรับวงการศิลปะล้วนๆ นั้นยังไม่มี แต่เจ้ยสามารถทำได้แล้ว เป็นความภูมิใจของคนไทยและผู้กำกับภาพยนตร์ไทยครับ "

ด้าน
ปิ๊ง-อดิสรณ์ ตรีศิริเกษม ผู้กำกับภาพยนตร์รถไฟฟ้ามาหานะเธอ กล่าวว่า "
ผมไม่ได้ดูหนังของเขาทุกเรื่องเพราะเข้าใจว่าบางเรื่องติดเรตติดเซนเซอร์ ต้องหาดูตามแผ่นวีซีดี แต่ผมได้ดูเรื่องแสงศตวรรษนะครับ คือวงการสากลมีเวทีรางวัลหนังสองรางวัลหนึ่งออสการ์ นี่ค่อนไปทางธุรกิจ สองรางวัลจากเมืองคานส์นี่ค่อนไปทางศิลปะ การที่หนังบุญมีได้รับรางวัล นี่ผมว่าหนังของเขาต้องสร้างความแปลกใหม่ให้แก่โลกภาพยนตร์ได้ ไม่เช่นนั้นหนังของเขาคงไม่ได้รับรางวัลสูงสุดในเวทีเมืองคานส์ สิ่งทีผมอยากเรียกร้องคืออยากให้หนังของเขาได้ฉายตามปกติในโรงภาพยนตร์ไทย คือเรียกร้องวุฒิภาวะการดูหนังให้เกิดขึ้น โอเคหนังเขาอาจจะดูยาก แต่มันเหมือนเป็นหลักไมล์ที่ทำให้ผู้กำกับหนังไทยอีกหลายๆ คนอยากเดินไปหลักไมล์นั้น"

ปัจจุบัน
"อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล" มีอายุ 39 ปี เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และปริญญาโท ศิลปกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาภาพยนตร์ จากสถาบันศิลปะชิคาโก เป็นเจ้าของรางวัลศิลปาธรในปี พ.ศ.2548
อภิชาติพงศ์ถือเป็นผู้กำกับหนังชาวไทยที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในแวดวงศิลปะนานาชาติ เนื่องจากเคยได้รับรางวัลภาพยนตร์ที่น่าจับตามองในสายประกวดรองของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์เมื่อปี พ.ศ.2545 (จากหนังเรื่อง "สุดเสน่หา") และได้รับรางวัลภาพยนตร์ขวัญใจกรรมการเมื่อปี พ.ศ. 2547 (จากหนังเรื่อง "สัตว์ประหลาด") ในเทศกาลภาพยนตร์แห่งเดียวกัน นอกจากนี้ เขายังได้รับเกียรติให้เป็นกรรมการตัดสินรางวัลปาล์มทองคำของเทศกาลภาพยนตร์แห่งนี้ในปี พ.ศ. 2551 และในช่วงปลายปี พ.ศ. 2552 (ค.ศ.2009) ภาพยนตร์ของเขาได้ถูกคัดเลือกให้เป็นหนังแห่งทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 21 จากหลายสถาบัน
นอกจากกำกับภาพยนตร์ อภิชาติพงศ์ยังทำงานศิลปะประเภทวิดีโออาร์ต เขาได้รับรางวัลชนะเลิศ "ศิลปะแห่งเอเชีย" ของพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งประเทศเกาหลีใต้ จากผลงานหนังสั้นเรื่อง "ผีนาบัว" และถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล "ฮิวโก้ บอสส์ ไพรซ์" โดยมูลนิธิโซโลมอน อาร์. กุ๊กเก้นไฮม์ รวมทั้งเคยมีผลงานออกแบบปกหนังสือวิชาการทางสังคมศาสตร์เล่มสำคัญที่แปลจากภาษาอังกฤษชื่อ "ชุมชนจินตกรรม: บทสะท้อนว่าด้วยกำเนิดและการแพร่ขยายของชาตินิยม" ของ "เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน"
ทั้งนี้ "ลุงบุญมีระลึกชาติ" เป็นส่วนหนึ่งในผลงานศิลปะชุด "พริมิทีฟ" ของอภิชาติพงศ์ ที่มีแก่นเรื่องว่าด้วยความทรงจำของผู้คนในหมู่บ้านนาบัว ตำบลเรณูนคร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม หลังจากที่เขาได้เดินทางเข้าไปยังหมู่บ้านดังกล่าว และได้พบกับชาวนาที่ใช้ชีวิตผ่านความรุนแรงและการกดขี่ในรูปแบบต่าง ๆ ในยุคสมัยที่รัฐไทยทำสงครามประชาชนกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

===========================
คอลัมน์ที่แล้ว
V
Vภาพขึ้นรับรางวัล "ปาล์มทองคำ" ของคุณ "เจ้ย" อภิชาติพงศ์ และภาพ พ.ต.ท."ทักษิณ"ปรากฏตัว ที่เมืองคานส์//is.gd/cmZUq===========================
คอลัมน์ยอดฮิต
V
Vบทความที่คุณ "อ๊อฟ พงษ์พัฒน์" ควรอ่าน แล้วคิดตาม:
การพูดว่า "จงออกไปจากที่นี่" จะไม่ช่วยแก้ปัญหาให้เราเลยV
V
//is.gd/ckRwO