เสน่ห์ญี่ปุ่น : 07-วัดอาซากุสะ
สวัสดีครับ เมื่อพูดถึงวัดดังในประเทศญี่ปุ่นแล้ว คงจะหนีไม่พ้นวัดอาซากุสะ หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่าเซนโซจิ ที่ว่ากันว่าถ้าไปโตเกียวแล้วไม่ได้ไปวัดนี้ถือว่าไปไม่ถึงโตเกียวกันเลยทีเดียว (อีกแล้ว) วันนี้จะไปชมด้วยกันครับ
วัดอาซากุสะ ชื่อจริงคือวัดเซนโซจิ (Sensoji Temple) เป็นวัดใหญ่ในย่านอาซากุสะ จนผู้คนนิยมเรียกว่าวัดอาซากุสะ หรือวัดโคมแดง (Asakusa Kannon Temple) เป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่และเป็นที่นิยมมากที่สุดวัดหนึ่งของเมืองโตเกียว ที่มีผู้คนเดินทางมาสักการะและเที่ยวชมได้ทั้งตัววัดและบริเวณภายนอก โดยจะมีถนนนากามิเสะที่เป็นถนนยาวเข้าสู่พื้นที่ภายในวัดที่เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย
วัดอาซากุสะ เป็นวัดในศาสนาพุทธที่นับถือเจ้าแม่กวนอิม วัดนี้เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในโตเกียว มีตำนานเล่าว่า เมื่อปี ค.ศ. 628 มีสองพี่น้องชาวประมง พบองค์เจ้าแม่กวนอิมขนาดเล็กที่แม่น้ำซูมิดะ (Sumida) แม่น้ำในย่านอาซากุสะ และได้นำกลับเข้าหมู่บ้านในอาซากุสะ แล้วที่หมู่บ้านนี้ก็ได้สร้างวัดจากบ้านหลังหนึ่งเพื่อเป็นที่เก็บรักษาองค์เจ้าแม่กวนอิม ในปี ค.ศ.645 ซึ่งก็คือวัดเซนโซจินั่นเอง
การเดินทางไปยังวัดนี้สะดวกสบายมากเพราะวัดตั้งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียว สามารถไปถึงได้ด้วยรถไฟฟ้าหลายสาย แต่สำหรับคณะของเราไปกับรถโคชโดยรถไปจอดที่ด้านข้างของวัดตามแผนที่ด้านล่าง (หมายเลข 1) ผมจะพาชมวัดไปตามลำดับหมายเลข และเนื่องจากเวลาที่ไปชมวัด คาบต่อระหว่างเวลาเย็นถึงเวลาค่ำ ภาพที่นำเสนอจึงมีทั้งสองช่วงเวลา และจะเรียงลำดับตามสถานที่ ไม่ใช่เรียงตามเวลานะครับ
มาถึงประตูทางเข้าวัดแล้ว
เดินตรงเข้าไปเลย
เข้ามาในบริเวณวัดแล้ว พบเจดีย์ 5 ชั้นสวยงามอยู่ด้านหน้า มีขนาดสูง 64 เมตร สร้างขึ้นใหม่แทนของเดิมในปี ค.ศ.1973
ซุ้มประตูวัดด้านใน
หอพระอวโลกิเตศวร เป็นศาลาหลังใหญ่ที่ประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิม
ในปี ค.ศ. 1923 ย่านการค้าอาซากุสะ ได้เกิดความเสียหายเล็กน้อยจากแผ่นดินไหวในโตเกียว แต่ว่าในปี ค.ศ. 1945 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 วัดอาซากุสะ กลับต้องสูญเสียเจดีย์ 5 ชั้นและหอพระอวโลกิเตศวรไป จากการถูกโจมตีทางอากาศ หลังจากนั้นประชาชนจึงร่วมแรงร่วมใจกันบูรณะและฟื้นฟูบริเวณรอบ ๆ วัดขึ้นมาใหม่ด้วยความศรัทธาในเจ้าแม่กวนอิม แล้วจึงพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวจนโด่งดังในปัจจุบัน
เราจะเดินออกไปยังบริเวณหน้าวัดก่อน แล้วเดินย้อนกลับเข้ามา
เดินผ่านประตูด้านในออกมาแล้ว
พบพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ในสวนกลางแจ้ง
ป้ายคำอธิษฐานของพุทธศาสนิกชน
เดินออกมาจนถึงหน้าวัดแล้ว นี่คือซุ้มประตูด้านหน้าวัดมีชื่อว่าคามินาริมง อยู่ติดกับถนนใหญ่ (หมายเลข 4 ในแผนที่) มีโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ที่มีตัวอักษรคันจิเขียนว่า 雷門 (Kaminari-Mon) โดยด้านข้างซ้ายขวานั้นจะมีเทพทวารบาล คือเทพแห่งลมและเทพสายฟ้าประทับอยู่ ส่วนทางด้านหลังของเทพทวารบาลทั้งสองจะมีรูปปั้นของมนุษย์ชายหญิงคู่หนึ่ง ว่ากันว่าเป็นมังกรจำแลงมา
คามินาริมง นั้นถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่มีหลักฐานปรากฏ มีแต่รายงานบันทึกความเสียหายจากการถูกไฟไหม้ในปี ค.ศ. 1865 หลังจากนั้นหนึ่งศตวรรษ (ประมาณปี 1960) ก็ได้ถูกบูรณะขึ้นมาอีกครั้งด้วยคอนกรีตเสริมใยเหล็ก ส่วนโคมสีแดงนั้นก็ได้รับมาจากประธานของบริษัทมัสซึชิตะเดงคิ นำมาถวายเพื่อแก้บนให้หายป่วยจากโรคภัย ในหนึ่งปีนั้นจะมีการยกโคมลูกนี้ไปเก็บด้วย 2 เหตุผลเท่านั้นคือ เนื่องในเทศกาลซานจะ กับเมื่อมีพายุไต้ฝุ่นเข้าเท่านั้น
พอเดินผ่านประตูคามินาริมงเข้ามาก็จะพบถนนการค้านากามิเสะ (Nakamise) ถนนนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยเอโดะตอนปลาย เพื่อเป็นย่านไว้สำหรับขายของที่ระลึกของเมืองเอโดะ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาพื้นที่บริเวณรอบๆวัดให้เป็นย่านการแสดงศิลปวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นโรงละคร สถานแสดงศิลปะต่างๆ ต่อมาในสมัยเมจิ จึงมีการปรับปรุงย่านการค้าให้เป็นระเบียบมากขึ้น โดยใช้วัสดุก่อสร้างที่มีความคงทน และในสมัยไทโชจึงได้มีการสร้างโรงละครโอเปร่าของอาซากุสะขึ้น ซึ่งเป็นที่สำหรับแสดงละครสมัยใหม่แห่งแรกในญี่ปุ่น
ถนนเส้นนี้ยาวไปจนถึงวัดอาซากุสะ เป็นถนนชอปปิ้ง ขายขนม ของฝาก ของที่ระลึก ขนมที่ซื้อกลับบ้านจะใส่กล่องห่อสวยงาม ส่วนขนมแบบที่กินเลยเช่น ไอศกรีม มันอัดแท่ง ซาลาเปาทอด หรือข้าวพอง ทางร้านจะให้เรายืนกินที่หน้าร้านเท่านั้นไม่ให้เดินไปกินไป ถือว่าเป็นกฎเหล็กของร้านค้าย่านถนนนากามิเซะ อาซากุสะ เพื่อไม่ให้ขนมหกเลอะเทอะบนถนนนั่นเอง ดังนั้นถ้าเห็นนักท่องเที่ยวคนใดเดินกินอาหารจะรู้ทันทีว่าไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นอย่างแน่นอน
ถนนชอปปิ้งมีหลังคาคลุม (Shin-Nakamise) เป็นถนนที่ตัดกับถนนนากามิเสะ ขายของฝาก ของที่ระลึกคล้ายกับถนนนากามิเสะ แต่ที่แตกต่างคือมีร้านอาหาร เสื้อผ้า มินิมาร์ท เครื่องสำอาง
เมื่อเดินมาสุดถนนนากามิเสะ ก็จะพบกับซุ้มประตูใหญ่อีกหนึ่งซุ้ม คือซุ้มประตูโฮโซมอน (Hozomon)
มีโคมกระดาษสีแดงลูกใหญ่แขวนอยู่ตรงกลางหนึ่งลูกและซ้ายขวาเป็นโคมสีทองด้านละลูก ต่อจากนั้นจะเป็นรูปปั้นเทพทวารบาลคอยขับไล่สิ่งชั่วร้ายอีก 2 องค์
ส่วนด้านหลังซุ้มจะมีรองเท้าเชือกสานแบบโบราณขนาดยักษ์แขวนอยู่ฝั่งละข้าง เพื่อเป็นการข่มขู่สิ่งชั่วร้ายทั้งหลายว่านี่เป็นขนาดฝ่าเท้าของเทพทวารบาล
ผ่านซุ้มประตูเข้ามาก็ถึงหอพระอวโลกิเตศวรอยู่ตรงหน้า อาคารที่อยู่ทางด้านซ้ายและขวาจะจำหน่ายเครื่องรางของขลัง และเซียมซีแบบญี่ปุ่นให้เสี่ยงทายด้วย
เมื่อเข้ามาในบริเวณวัดจะเห็นกระถางธูปขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางแจ้ง โดยความเชื่อว่าถ้าได้รับควันจากกระถางธูปนี้ติดตัวมาจะมีความโชคดี เราจึงเห็นคนที่ไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมไปยืนกวักเอาควันธูปเข้าตัวกันเต็มพื้นที่กระถางธูปกันเลย
และส่วนที่ศาลเจ้าจะขาดไม่ได้เลยก็คือบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่มีความเชื่อว่าตั้งไว้สำหรับให้ผู้คนไว้ล้างชำระสิ่งสกปรก
พอเสร็จจากตรงนี้แล้วก็เดินเข้าไปภายในอาคารเพื่อสักการะเจ้าแม่กวนอิมได้เลย จะเห็นว่ามีคนต่อคิวกันหนาแน่นตลอดเวลา
รูปปั้นอ่างน้ำและถังน้ำขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ด้านขวามือของหอพระอวโลกิเตศวร
ทิวทัศน์ที่สวยงามภายในวัดขณะพลบค่ำ
ปิดท้ายด้วยภาพโตเกียวสกายทรี (Tokyo Sky Tree) ที่มองเห็นผ่านโคมไฟของวัดอาซากุสะ โตเกียวสกายทรี มีขนาดสูง 634 เมตร ปัจจุบันเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสูงที่สุดในญี่ปุ่น
ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชม แล้วพบกันใหม่ครั้งต่อไปครับ.
Create Date : 17 พฤษภาคม 2559 |
|
11 comments |
Last Update : 17 พฤษภาคม 2559 10:11:40 น. |
Counter : 3105 Pageviews. |
|
|
|