|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
เสน่ห์อิตาลี : 3-ปอมเปอี (Pompeii)
หลังจากค้างคืนที่เมืองซอร์เรนโต้ เช้านี้ผมออกเดินทางไปกรุงโรม ระหว่างทางมีรายการแวะชมเมืองปอมเปอี เมืองที่เคยรุ่งเรื่องในอดีต แต่ถูกภูเขาไฟวิสุเวียส ปะทุ และพ่นเถ้าถ่านเข้าถล่มจนจมหายไปทั้งเมือง เชิญติดตามไปด้วยกันครับ
ปอมเปอี เป็นเมืองที่มั่งคั่งสมบูรณ์ในทุกด้าน ทั้งอารยธรรม และทรัพย์สิน เพชรนิลจินดา อุดมไปด้วยสถาปัตยกรรมอันวิจิตรงดงามมากมาย แต่เพียงแค่ชั่วข้ามคืน นครที่น่าหลงใหลแห่งนี้กลับล่มสลายและหายไปจากความทรงจำของชาวโลก กระทั่งผ่านพ้นไปกว่า 1,500 ปี เมืองที่เคยรุ่งเรืองอย่างสูงสุดในอดีตกาลจึงถูกค้นพบ
เมืองปอมเปอี (Pompeii) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของคาบสมุทรอิตาลี บริเวณริมอ่าวเนเปิลส์ เมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน ปอมเปอีเป็นเมืองเก่าที่เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ในยุคก่อนคริสต์ศักราชเมืองปอมเปอีนี้อยู่ภายใต้อิทธิพลของกรีกเรื่อยมา กระทั่งราว 80 ปีก่อนคริสต์ศักราชจึงถูกยึดครองเป็นอาณานิคมของอาณาจักรโรมัน
ปอมเปอีเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก มีการวางผังเมืองอย่างดี สร้างกำแพงล้อมรอบตัวเมืองอย่างแน่นหนา และอาคารบ้านเรือนก็สวยงามด้วยสถาปัตยกรรม และศิลปกรรมแบบโรมัน และนอกจากจะตั้งอยู่ริมอ่าวเนเปิ้ลส์แล้วฉากหลังของเมืองยังเป็นภูเขาใหญ่ที่มีต้นไม้เขียวขจี ซึ่งก็คือ "ภูเขาไฟวิสุเวียส" ที่หลับใหลอยู่มานานนับพันปี สภาพทั่วไปของเมืองจึงสวยงามคล้ายกับภาพวาด
แม้ว่าเมืองปอมเปอีจะเป็นเมืองที่แทบจะเรียกว่าเมืองในอุดมคติ แต่เมืองนี้ก็มีจุดบกพร่องอยู่เช่นกัน และเป็นจุดบกพร่องที่ร้ายแรงขนาดทำลายเมืองทั้งเมืองได้เลยทีเดียว นั่นก็คือบริเวณที่ตั้งของเมืองอยู่เชิงภูเขาไฟวิสุเวียส ที่ไม่รู้ว่าจะปะทุขึ้นเมื่อไหร่ และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ชาวเมืองปอมเปอีไม่มีใครล่วงรู้ว่าภูเขาลูกใหญ่ที่ตระหง่านอยู่ใกล้เมืองนั้นคือภูเขาไฟที่รอวันระเบิด อีกทั้งตัวเมืองยังเป็นจุดเดียวกับที่ตั้งของภูเขาไฟใต้น้ำชื่อว่า "ซอมมา" ซึ่งยังคงระอุอยู่เสมอ จึงทำให้บริเวณนี้เกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง โดยเฉพาะแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อปี ค.ศ.63 รุนแรงถึงขั้นทำให้เมืองปอมเปอีที่รุ่งเรืองกลายเป็นซากปรักหักพังได้
แต่นั่นไม่ใช่จุดจบของนครแห่งนี้ การทำลายล้างโดยธรรมชาติครั้งรุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ.79 เมื่อภูเขาไฟวิสุเวียสที่หลับใหลมาเนิ่นนานได้ส่งเสียงคำรามกึกก้อง จนแผ่นดินไหวสะเทือน พร้อมกับพ่นฝุ่นควันออกมาบดบังดวงอาทิตย์ที่กำลังฉายแสงให้มืดมิดราวกับเป็นกลางคืน ฝุ่นควันเหล่านี้พุ่งทยานสู่ท้องฟ้าก่อนจะตกลงท่วมทับเมืองปอมเปอีทั้งเมือง และในเวลาดึกของคืนนั้น วิสุเวียสก็ระเบิดกึกก้อง กลุ่มเถ้าภูเขาไฟจำนวนมหาศาลถูกปล่อยออกมาทับถมเมืองปอมเปอี อันเป็นการลบภาพเมืองที่งดงามให้หายไปจากความทรงจำของชาวโลก
มิใช่แต่เพียงเมืองปอมเปอีเท่านั้นที่ต้องล่มสลายลงด้วยความพิโรธของภูเขาไฟวิสุเวียส ยังมีเมืองเฮอร์คูลาเนียม ที่เป็นเมืองคู่แฝดของปอมเปอี ซึ่งถูกฝังอยู่ใต้หินและเถ้าถ่านลึกถึง 25 เมตร ว่ากันว่า ปริมาณ แมกม่า ก๊าซ และเถ้าถ่านที่ภูเขาไฟวิสุเวียสพ่นออกมาในครั้งนั้น สามารถคิดเป็นปริมาตรได้มากกว่า 4 ลูกบาศก์กิโลเมตร และสามารถพบร่องรอยได้ไกลถึงแอฟริกา
หลังจากเมืองปอมเปอีจมอยู่ใต้เถ้าถ่านภูเขาไฟจนถูกลืมเลือนไปกว่า 1,500 ปี ได้มีการฟื้นฟูการศึกษาประวัติศาสตร์โบราณขึ้น และชื่อของเมืองปอมเปอีก็ถูกค้นพบ แต่ก็หามีใครทราบว่าเมืองโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ไหน กระทั่ง ค.ศ.1784 จึงได้พบร่องรอยของเมืองและมีการขุดค้นซากเมือง เมื่อขุดดินที่ทับถมออกจนหมดก็ได้พบกับซากเมืองขนาดใหญ่ ที่สร้างด้วยหินอย่างแข็งแรง บางแห่งพบซากชาวปอมเปอี และสัตว์เลี้ยงของพวกเขาที่ถูกฝังพร้อมกับเมืองจนกลายเป็นหิน ส่วนใหญ่จะอยู่ในสภาพเกือบเหมือนเดิมทุกประการ ท่วงท่าอาการและใบหน้าของซากเหล่านั้นแสดงความหวาดกลัวต่อความตายออกมาอย่างชัดเจน บางคนนั่งเอามือปิดหน้า บางคนซบหน้ากับกำแพงบ้าน บางคนนั่งกอดเข่าฟุบหน้า ปอมเปอีจึงถูกเรียกว่า "ซากเมืองแห่งความตาย"
ปัจจุบันเมืองปอมเปอี ได้รับการฟื้นฟู จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของอิตาลี และขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ เมื่อปี ค.ศ.1997
(ขอบคุณข้อมูลดี ๆ นี้ จาก คุณ moon828 //webboard.sanook.com/forum/?topic=3130108)
อ่านประวัติศาสตร์อันน่าสลดใจของชาวปอมเปอีมาแล้ว ตอนนี้พาไปชมของจริงบ้างครับ ตามผมมาเลย
เดินทางเข้าไปถึงบริเวณเมืองปอมเปอีแล้ว
ทางเข้าสำหรับนักท่องเที่ยว
เข้าไปถึงจะพบลานกว้าง มีสิ่งก่อสร้างอยู่โดยรอบ น่าจะเป็นจตุรัส
เราจะเดินตรงไปตามถนนเส้นนี้
ก็จะถึงสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อว่า Amphitheatre of Pompeii ที่ยังอยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์
ต่อจากนั้นจะเดินไปตามถนนสายหลักที่ปูด้วยก้อนหิน (ถนนทุกสายในปอมเปอี มีลักษณะเดียวกัน) บนถนนมีร่องรอยว่าเคยมีรถม้าใช้สัญจรแล้ว เพราะพบร่องลึกของล้อรถบนพื้นหิน
ที่เห็นเป็นหลุมหลายๆหลุม ที่ส่วนผิวบนถูกปูด้วยหินอ่อน ใช้สำหรับอุ่นอาหารที่จำหน่ายแบบอาหารจานด่วนในสมัยอดีตของชาวปอมเปอี เป็นของร้านขายอาหารที่มักตั้งอยู่ตามมุมถนนซึ่งเป็นทำเลที่ดี สำหรับจำหน่ายอาหารนั่นเอง
พบถนนแยกไปทางขวามือ สังเกตว่าถนนค่อนข้างตรง แสดงว่ามีการวางผังเมืองไว้เป็นอย่างดี
ถนนที่แยกไปทางซ้ายมือก็เช่นเดียวกัน
Forum Bath หรือที่อาบน้ำสาธารณะของชาวโรมันในสมัยก่อน ในเมืองปอมเปอีจะมี Forum Bath อยู่ 2 แห่งคือ the Suburban baths ใกล้กับ Porta Marina และอีกแห่งคือ the Stabian baths อยู่ใกล้กับ the Forum
มุ่งหน้าเดินกันต่อไป
ส่วนนี้น่าจะเป็นบริเวณเตาผิง
จุดบริการน้ำดื่มมีหลายจุด ติดตั้งไว้ตามหัวถนน รูปแกะสลักหินที่ตรงส่วนปากก๊อกน้ำ จะมีรูปร่างที่แตกต่างกันไป
ลักษณะถนน ตรอก ซอย ที่มองเห็นโดยทั่วไป
ถึงบริเวณอาคารที่จัดแสดงสิ่งที่ขุดค้นพบ
ร่องรอยบนผนังอาคารยังพอมองเห็นความสวยงามในอดีต
ภายในจะแสดงหุ่นลักษณะของร่างกายมนุษย์ ที่เสียชีวิตในวันเกิดเหตุ
ท่านี้นอนคว่ำหน้า
ภาพผนังแบบจำลองภูมิทัศน์ที่วาดด้วยเทคนิคแบบ Fresco บนกำแพงของอาคาร
กำลังจะเดินไปยังจุดท่องเที่ยวที่สำคัญอีกจุดหนึ่ง
ก็คือ " LUPANARE " หรือ " WHORE HOUSE " คือสถานบริการทางเพศ หรือ "ซ่องโสเภณี" นั่นเอง ที่เราเคยได้ยินมาว่าโสเภณีเป็นอาชีพที่เก่าแก่และมีอยู่ทั่วโลกพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง ไม่เว้นแม้แต่ที่เมืองปอมเปอีตั้งแต่สองพันปีก่อน และยังค้นพบว่าที่เมืองปอมเปอี มีสถานบริการแบบนี้มากถึง 25 แห่ง !!!
ภายใน LUPANARE หรือ ซ่องโสเภณีโบราณนี้ถูกแบ่งเป็นห้องเล็ก ๆ หลายห้องไว้สำหรับให้ชายหนุ่มใช้บริการ และมีภาพอิโรติกบนฝาผนังเป็นเมนูที่ลูกค้าเลือกที่จะใช้บริการ ไม่น่าเชื่อว่าภาพอิโรติกเหล่านี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่สองพันปีที่แล้ว
ชมและฟังไกด์ท้องถิ่นบรรยายเรื่องนี้อย่างน่าสนใจอยู่ครู่หนึ่ง ก็ออกเดินทางกันต่อไป
ผ่านถนนบางจุดสังเกตว่ามีเชือกกั้นไว้ไม่ให้เข้าไปยังบริเวณนั้น เพราะกำลังปรับปรุง
บันไดขึ้นไปยังบ้านคหบดีหลังหนึ่ง
ทางเดินเข้าบ้านอีกหลังหนึ่ง มองเห็นลวดลายโมเสคที่จัดทำอย่างสวยงาม
มาถึงวิหารแห่งเทพจูปีเตอร์ (Temple of Jupiter)
The Forum Square เป็นพื้นที่โล่งแจ้งที่เป็นศูนย์กลางของการค้า ศาสนา และการเมืองของเมืองปอมเปอี ตั้งอยู่ตรงสี่แยกของถนนสายหลัก 2 สาย มีขนาด 124 ฟุต x 482 ฟุต ในอดีตจะมีรูปปั้นสลักตั้งเรียงรายอยู่มากมาย แต่ปัจจุบันจะถูกนำไปเก็บตั้งไว้ที่พิพิธภัณฑ์เมืองเนเปิลส์เป็นส่วนใหญ่ มองเห็นภูเขาไฟวิสุเวียสอยู่เบื้องหลัง
มองไปอีกด้านหนึ่ง
รูปปั้นที่ยังหลงเหลืออยู่
วิหารแห่งเทพอพอลโล (Temple of Apollo) ถูกสร้างมาเพื่อบูชาเทพอพอลโล ตั้งแต่ 300 ปีก่อนคริสตกาล จากภาพเราจะเห็นซากบันได ซึ่งในอดีตจะเป็นบันไดขึ้นวิหารที่จะมีเสาโรมันสูงๆ และหลังคาสามเหลี่ยมหน้าจั่วอยู่ และรอบๆวิหารจะรายล้อมด้วยเสาโรมันที่มีคานประดับลวดลายแบบโกธิก พาดวางบนหัวเสา
เดินมาถึงอาคารที่เก็บสิ่งของที่ค้นพบจากเมืองปอมเปอี เป็นห้องโล่งที่ล้อมรอบด้วยกรงเหล็ก มองลอดผ่านไปได้
สิ่งของเครื่องใช้ภายในที่ขุดค้นพบจากซากปรักหักพัง
ท่าของผู้เสียชีวิตที่นั่งด้วยความกลัวและกำลังปิดหน้าปิดจมูกจากควันพิษ จากภูเขาไฟวิสุเวียส
ท่านี้นอนคว่ำหน้า จริง ๆ แล้วทราบว่าไม่ใช่ร่างกายมนุษย์จริง ๆ แต่ทำจำลองขึ้นมา จากการหล่อโพรงภายในซากปรักหักพังที่มีซากมนุษย์นอนเสียชีวิตอยู่ครับ
รูปปั้นพระแม่มารี ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ และสิ่งของเครื่องใช้ในโบสถ์
หลับให้สบายเถิดชาวปอมเปอี
มาถึงทางออกแล้วครับ
หันกลับไปมองเห็นภูเขาไฟวิสุเวียสที่นิ่งสงบ สูงตระหง่าน มั่นคง และไม่รู้ว่าจะเกิดพิโรธขึ้นมาเมื่อไรอีก
ขอยุติการพาไปชมเมืองปอมเปอีเพียงเท่านี้ แล้วพบกันตอนหน้า หลังสงกรานต์ครับ.
Create Date : 09 เมษายน 2556 |
Last Update : 9 เมษายน 2556 11:31:11 น. |
|
20 comments
|
Counter : 11844 Pageviews. |
|
|
|
โดย: d__d (มัชชาร ) วันที่: 9 เมษายน 2556 เวลา:17:09:53 น. |
|
|
|
โดย: ฝากเธอ2 วันที่: 9 เมษายน 2556 เวลา:20:37:14 น. |
|
|
|
โดย: Maeboon วันที่: 10 เมษายน 2556 เวลา:11:12:07 น. |
|
|
|
โดย: ฝากเธอ วันที่: 10 เมษายน 2556 เวลา:21:20:53 น. |
|
|
|
โดย: Maeboon วันที่: 13 เมษายน 2556 เวลา:13:14:04 น. |
|
|
|
โดย: ฝากเธอ2 วันที่: 13 เมษายน 2556 เวลา:14:08:07 น. |
|
|
|
โดย: พิรุณร่ำ วันที่: 14 เมษายน 2556 เวลา:6:20:38 น. |
|
|
|
โดย: pantawan วันที่: 14 เมษายน 2556 เวลา:22:40:10 น. |
|
|
|
โดย: jewelmoda วันที่: 16 เมษายน 2556 เวลา:12:47:04 น. |
|
|
|
โดย: hi hacky วันที่: 8 ตุลาคม 2556 เวลา:12:07:50 น. |
|
|
|
|
|
|
|
วางผังเมืองได้ดี แต่ลืมดูฮวงจุ้ย หรือไม่ได้ปรึกษานักธรณีวิทยา
ไปสร้างบ้านสร้างเมืองอยู่ใกล้ภูเขาไฟ ...
ขนาดเป็นซากปรักหักพังอย่างนี้ก็ยังเห็นร่องรอยว่าเคยสวยงามอลังการแค่ไหน
แอบทึ่งอาชีพที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ขนาดมีเมนูให้เลือกด้วย
โหวตให้ด้วยความยินดีค่ะ