|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
เสน่ห์เยอรมนี : 9-เมืองเดรสเดน (Dresden)
สวัสดีครับ เรายังคงเดินทางท่องเที่ยวประเทศเยอรมันกันต่อ ตอนนี้ขึ้นมาทางตะวันออกแล้ว ไปถึงเมืองที่สวยงามอีกเมืองหนึ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด นั่นก็คือเมืองเดรสเดน เชิญติดตามไปด้วยกันครับ
เมืองเดรสเดน (Dresden) เป็นเมืองเก่าที่อยู่ทางตอนใต้ของกรุงเบอร์ลินตั้งอยู่บนแม่น้ำเอลเบ้ (Elbe River) มากกว่า 90% ของเมืองทั้งเมืองได้พังทลายจากการทิ้งระเบิดโดยฝ่ายพันธมิตร ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945 ประชากรมากกว่าสามหมื่นคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น เมืองเดรสเดนแต่เดิมเป็นเมืองที่มีความงดงามมาก ปัจจุบันได้มีการบูรณะเมืองและซ่อมแซมสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นมาใหม่ จัดเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญอีกเมืองหนึ่งของเยอรมนี ได้มีการเฉลิมฉลองการตั้งเมืองครบ 800 ปี เมื่อปี ค.ศ. 2006 ที่ผ่านมานี้เอง
เมืองเดรสเดน จะแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเป็นเขตเมืองเก่า หรือที่เรียกว่า Altstadt และส่วนที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นเมืองใหม่ สามารถเดินถึงกันได้ อาณาเขตของเมืองเก่ามีความน่าทึ่งมาก เพราะเราจะสามารถถ่ายรูปจากทุกๆ จุด ทั่วเขตเมืองเก่าได้อย่างสวยงามเสมอ
เข้ามาในเขตตัวเมืองเดรสเดนแล้ว
รถโค้ชมาส่งเราที่บริเวณหมายเลข 1 และจะมารับกลับที่หมายเลข 2 เราจะเดินชมเขตเมืองเก่ากันในบริเวณที่ล้อมรอบด้วยวงรีสีแดง ตามแผนที่นี้ครับ
เข้ามาในบริเวณที่เรียกว่า ตลาดใหม่ (Neumarkt) แล้ว
มองเห็นโบสถ์ใหญ่สวยงามอยู่ข้างหน้าชื่อ ฟราวเอนเคียเช่อ (Frauenkirche) เป็นโบสถ์ที่ได้รับการบูรณะกลับมาให้ดีเหมือนเดิมอีกครั้ง จากที่เหลือเป็นเพียงซากปรักหักพัง โบสถ์แห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งเรือง การกลับมา และความเป็นอมตะ
บริเวณภายในโบสถ์
อนุสาวรีย์ของมาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther) นักบวชผู้แปลพระคำภีร์บทใหม่จากภาษากรีกมาเป็นภาษาเยอรมัน บูรณะขึ้นมาใหม่ภายหลังสงคราม ทำด้วยบรอนซ์ ตั้งอยู่บริเวณหน้าโบสถ์ เป็นผลงานของ Adolf von Donndorf ในปี ค.ศ.1885
อาคารสวยงามในบริเวณนั้น ส่วนหนึ่งเป็นโรงแรม
เดินต่อไปก็พบศาลาว่าการเมืองอยู่ข้างหน้า เราจะเดินผ่านไปยังถนนที่อยู่ด้านหลังอาคารนี้
ถึงบริเวณที่เรียกว่า The Fürstenzug (Procession of Princes) เป็นกำแพงที่มีความยาวถึง 101 เมตร สูง 10.46 เมตร ถือได้ว่าเป็นกำแพงที่ได้รับการประดับประดาด้วยกระเบื้องที่ยาวที่สุดในโลก ในภาพบรรยายถึงขบวนเสด็จของเจ้าแห่งแซกโซนี(Saxony) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 จนองค์สุดท้ายในศตวรรษที่ 20 รวมไปถึงผู้สืบทอดราชวงศ์ของวงศ์ Wettins มีความงดงามมาก เพราะใช้กระเบื้องจากโรงงานเดิม ครั้งแรกทำเป็นภาพเขียนสีเมื่อปี ค.ศ. 1872 หลังจากที่แซกโซนีสูญเสียอำนาจให้แบรนเดนเบิร์กปรัสเซีย (Brandenburg-Prussia) สภาพอากาศที่เย็นชื้นทำให้เสียหายและไม่งดงาม จึงได้ใช้กระเบื้องเคลือบพอร์ชเลนกว่า 25,000 ชิ้น แล้วนำขึ้นไปปิดไว้แทนในปี ค.ศ. 1907 แม้ว่าแรงระเบิดจะทำให้กระเบื้องบางชิ้นหลุดหล่นไปบ้างก็ตาม แต่ความร้อนจากเปลวเพลิง ก็ไม่สามารถทำลายความเสียหายของภาพไปได้ ยังคงความงดงามอยู่ถึงปัจจุบัน
ใกล้ ๆ กันเป็นพิพิธภัณฑ์ของบริษัทเครื่องเคลือบดินเผาไมเซิน (Meissen porcelain) ซึ่งมีโรงงานตั้งอยู่ที่เมืองไมเซิน รัฐซัคเซิน ประเทศเยอรมนี ได้เริ่มผลิตเป็นอุตสาหกรรมตั้งแต่ ค.ศ. 1710 ซึ่งถือว่าเป็นยุคเริ่มแรกของอุตสาหกรรมเซรามิกของยุโรป และปัจจุบันยังคงรักษาความเป็นผลงานหัตถกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เครื่องเคลือบดินเผาไมเซินไม่ได้เป็นเพียงแค่ภาชนะ หรือเครื่องประดับ แต่เป็นผลงานทางศิลปะที่ถูกออกแบบมาอย่างประณีต ปัจจุบันนอกจากบริษัทจะดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องเคลือบดินเผาแล้ว ยังได้จัดทำพิพิธภัณฑ์เพื่อจัดแสดงผลงานเครื่องเคลือบดินเผา ที่มีเอกลักษณ์อันลือชื่อระดับโลก และแน่นอนราคาสูงมาก
ผลิตภัณฑ์อย่างอื่น ๆ (ภาพจากอินเทอร์เน็ต)
ดูราคาตุ๊กตาไมเซินเหล่านี้สิครับ คุณแม่อุ้มลูกราคาถึง 3,200 ยูโร (ประมาณ 144,000 บาท)
ตรงหัวมุมถนนมีร้านขายของที่ระลึกเกี่ยวกับเมืองเดรสเดน 1 ร้าน สังเกตที่ศีรษะคนขายสิครับ (เขารู้ได้อย่างไรว่าพวกเราคนไทยกำลังจะผ่านมา)
เดินมาถึงอาคารสวยงามหลังนี้ เป็นหนึ่งในกลุ่มอาคารที่เรียกว่า Bruhlsche Terrasse" มีชื่อเล่นว่า "The Balcony of Europe เป็นระเบียงทางเดินริมฝั่งแม่น้ำที่มีอาคารสวยงามเรียงรายเต็มไปหมด
ด้านหน้ามีรูปปั้นของ Friedrich August
ภาพด้านข้างอาคารหลังนี้ จะเห็นเป็นระเบียงยาวไปตลอดริมฝั่งแม่น้ำ
มีงานประติมากรรมสวยงามอยู่ในบริเวณนี้ ชื่อ Four Seasons โดย Johannes Schilling
ทิวทัศน์ริมฝั่งน้ำของกลุ่มอาคาร Bruhlsche Terrasse ภาพนี้ถ่ายบนสะพานครับ อาคารหลังซ้ายมือสุดคือสถาบันศิลปะ ถัดมาคือโบสถ์ฟราวเอนเคียเช่อ
อาคารสถาบันศิลปะแห่งเดรสเดน (Kunstakademie) ทำหน้าที่ผลิตช่างศิลป์ชั้นเลิศ สถาปัตยกรรมที่โดดเด่นของอาคารแห่งนี้คือโดมยอดทองคำ และมีเทพธิดามีปีกกำลังโบยบินโดยถือช่อมะกอกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จอยู่ในมือซ้าย
โบสถ์ฟราวเอนเคียเช่อ ที่มองเห็นจากริมฝั่งแม่น้ำ
ภาพนี้ผมยืนถ่ายภาพกลางสะพานในช่วงที่รถว่างครับ
หันไปทางขวามือมองเห็นกลุ่มอาคารสวยงามตั้งอยู่รอบ ๆ จัตุรัสโรงละคร (Theater Platz)
แม่น้ำเอลเบ้ (Elbe) ไหลผ่านกลางเมืองเดรสเดน ฝั่งตรงข้ามคือเขตเมืองไหม่
ผมเดินลงจากสะพานกำลังจะไปยังจัตุรัสโรงละครที่อยู่ด้านหน้า
บริเวณจัตุรัสโรงละคร (Theater Platz) ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในจัตุรัสที่สวยที่สุดในยุโรป บริเวณโดยรอบจัตุรัสยังเป็นที่ตั้งของโรงโอเปร่า (Semper Opera House) สร้างขึ้นเมื่อปี 1878 และตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบคือ Gottfried Semper สถาปัตยกรรมชิ้นนี้แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองในด้านดนตรีของศตวรรษที่ 19
โดยตรงกลางจัตุรัส จะมี พระบรมรูปทรงม้าของกษัตริย์ โยฮันนส์ แห่ง แซคโซนี่ (Statue of The Saxon King Johann)
โรงโอเปร่าแห่งเดรสเดน หน้าอาคารประดับด้วยรูปปั้นของเทพบุตรและเทพธิดาขี่รถเทียมเสือสี่ตัว สังเกตว่าผมของเทพธิดาจะยาวสลวยสวยกว่ารูปปั้นใด ๆ ในเยอรมัน ยอดของอาคารประดับด้วยเทพธิดาแห่งเสียงพิณ รอบ ๆ อาคารประดับด้วยรูปปั้นนักร้องโอเปร่าที่มีชื่อเสียง โคมไฟก็สวยแปลกตาและให้ความรู้สึกแห่งมนต์ขลัง
อาคารด้านหน้าคือ พระราชวังซวิงเกอร์ (Zwinger Palace)
และอาคารที่อยู่ตรงข้ามกับโรงละครคือโบสถ์ประจําราชวงศ์ หรือ ฮอฟเคียเช่อ (Hofkirche) จุดเด่นคือมีรูปปั้นของนักบุญและอัศวินผู้ปกป้องศาสนาตั้งไว้รายรอบอาคาร โบสถ์หลังนี้ได้รับการเสียหายไม่มากจากการทิ้งระเบิด สังเกตได้ว่ามีผนังเป็นสีดำอยู่มาก (คือเป็นของดั้งเดิม)
บริเวณแท่นบูชาภายในโบสถ์
อาคารที่อยู่ด้านหลังโบสถ์คือ วังเรสซิเด้นซ์ (Residence Palace)
ภาพพาโนรามาบริเวณจัตุรัสโรงละคร (คลิกที่ภาพจะขยายใหญ่ขึ้น)
เราจะเข้าไปชมบริเวณภายในพระราชวังซวิงเกอร์ (Zwinger Palace) ปราสาทของเจ้าผู้ครองนคร เป็นผลงานชิ้นเอกในรูปแบบบาร็อคที่ตั้งอยู่ริมฝั่ง แม่น้ําเอลเบ้ ที่สร้างขึ้นมาโดยฝีมือของสถาปนิกหลวง มาธฮอยส์ ดาเนียล ป็อปเปลมาน (Matthäus Daniel Pöppelmann) และช่างแกะสลัก บาลธาซาร์ เพอร์โมเซอร์ (Balthasar Permoser) จากแบบดั้งเดิมของเรือนกระจกในพระราชวังแวร์ซายส์ (Château de Versailles) ในปี ค.ศ. 1710 แล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1732
เดินผ่านประตูทางเข้าของอาคารนี้ เข้ามาภายในแล้วครับ
เป็นลานกว้าง มีอ่างน้ำพุสวยงามอยู่หลายแห่ง
มีอาคารหลักอยู่หนึ่งหลัง ล้อมรอบด้วยซุ้มประตูจำนวนสามซุ้ม แต่ละซุ้มมีทางเดินลอยฟ้าเชื่อมต่อถึงกัน แล้วมีสวนลอยยกขึ้นเหนือพื้นดินปกติ นัยว่าเป็นสวนที่อยู่ในระดับอาคารชั้นสอง มีน้ำพุและต้นไม้ประดับประดาในสวนลอยนี้อย่างร่มรื่น นอกจากนั้นยังมีการสร้างห้องโถงไว้ประจำสวนสองด้านอีกด้วย ด้านหน้าของปราสาทมีคูน้ำเพื่อกันการรุกรานของศัตรู
รูปปั้นที่ตั้งอยู่รายรอบทางเดินลอยฟ้าหากเป็นสีดำแสดงว่าเป็นของเดิมเพราะซึมซับเอาเขม่าควันจากการทิ้งระเบิดในสงครามโลกครั้งที่สองไว้ หากเป็นสีขาวแสดงว่าทำขึ้นใหม่ครับ
ปิดท้ายด้วยภาพซุ้มที่สร้างเป็นรูปมงกุฎขนาดใหญ่บนทางเดินลอยฟ้านี้ ดูโดดเด่นสวยงามจริง ๆ
ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชมครับ.
Create Date : 16 มิถุนายน 2557 |
Last Update : 23 มิถุนายน 2557 10:30:09 น. |
|
17 comments
|
Counter : 14438 Pageviews. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 16 มิถุนายน 2557 เวลา:10:22:56 น. |
|
|
|
โดย: wicsir วันที่: 16 มิถุนายน 2557 เวลา:14:12:01 น. |
|
|
|
โดย: Sai Eeuu วันที่: 16 มิถุนายน 2557 เวลา:22:31:12 น. |
|
|
|
โดย: schnuggy วันที่: 17 มิถุนายน 2557 เวลา:1:30:38 น. |
|
|
|
โดย: Maeboon วันที่: 17 มิถุนายน 2557 เวลา:1:46:51 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 17 มิถุนายน 2557 เวลา:8:27:05 น. |
|
|
|
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 17 มิถุนายน 2557 เวลา:9:43:16 น. |
|
|
|
โดย: pantawan วันที่: 17 มิถุนายน 2557 เวลา:23:18:43 น. |
|
|
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 18 มิถุนายน 2557 เวลา:22:25:10 น. |
|
|
|
โดย: Sai Eeuu วันที่: 22 มิถุนายน 2557 เวลา:12:40:30 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
ทองกาญจนา Travel Blog ดู Blog
เจิมเอาฤกษ์เอาชัยไว้ก่อน