|
เสน่ห์ตุรกี : 8-ฮิปโปโดรม สุเหร่าสีน้ำเงิน วิหารเซนต์โซเฟีย และอ่างเก็บน้ำใต้ดิน
สถานที่ท่องเที่ยวในวันนี้ ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน สามารถเดินไปถึงกันได้ทั้งหมด ดังนั้นรถโค้ชจึงนำคณะของเรามาส่งที่จุดเริ่มต้น และนัดหมายจะมารับในตอนเย็น ภาคเช้าเราไปชมพระราชวังทอปกาปิมาแล้ว ภาคบ่ายยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีก 4 แห่งครับ

หลังอาหารกลางวันแบบพื้นเมืองจากร้านที่ตั้งอยู่ในบริเวณนั้น เราจะเดินไปที่ฮิปโปโดรม

ฮิปโปโดรม ( Hippodrome ) หรือจัตุรัสสุลต่านอาห์เม็ต เดิมเป็นสถานที่แข่งม้าและแข่งกรีฑาในสมัยโรมัน ปัจจุบันมีอนุสาวรีย์เหลืออยู่ 3 ส่วนคือ (1)เสาโอเบลิสก์แห่งกษัตริย์เธโอโดเซียส เป็นเสาทรงสี่เหลี่ยมยอดแหลมที่เก่าแก่ที่สุด สร้างด้วยหินแกรนิต เดิมอยู่ที่โฮลิโอโปสิล ต่อมาจักรพรรดิเธโอโดเซียสย้ายมาตั้งไว้ที่อิสตันบูล มีความสูง 20 เมตร ยอดเสาแกะเป็นภาพฟาโรห์คุกเข่าถวายสักการะแด่สุริยเทพ และการรบชนะสงคราม

(2)เสาบรอนซ์รูปงู เดิมสูง 8 เมตร ชำรุดเสียหายคงเหลือในปัจจุบันแค่ 5 เมตร เป็นเสาแบบกรีกที่เก่าแก่ที่สุดในอิสตันบูล ตัวเสาเป็นงู 3 ตัวเกี่ยวกระหวัดรัดกันอยู่ ยอดที่หักเป็นส่วนของสามขาที่รองรับอ่างทองคำ ปัจจุบันตั้งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์โบราณคดี (3)เสาคอนสแตนตินได้ชื่อมาจากพระเจ้าคอนสแตนติน จักรพรรดิแห่งโรมัน เป็นเสาหินสูงประมาณ 32 เมตร สร้างในปี ค.ศ. 940 เดิมเป็นรูปเกษตรกรและชาวประมง

มัสยิดสุลต่านอาห์เมตหรือสุเหร่าสีน้ำเงิน (Blue Mosque - บลูมอสก์) เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองอิสตันบูล สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1609 - 1616 มีแรงบันดาลใจการสร้างมาจากการต้องการเอาชนะหรือสร้างมัสยิดที่มีขนาดใหญ่กว่าวิหารเซนต์โซเฟียของคริสต์ เพราะแต่เดิมนั้น วิหารเซนต์โซเฟียได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ทำให้สุลต่านแห่งออตโตมันหลายพระองค์ต้องการสร้างมัสยิดขนาดใหญ่ให้เทียบเท่าหรือใหญ่กว่าวิหารเซนต์โซเฟียมาแทบทุกยุคทุกสมัย แต่ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จ จนมาถึงในสมัยสุลต่านอาห์เมตที่ 1 มีสถาปนิกคนหนึ่งชื่อ เมห์เมต อาอา (Mehmet ) ผู้สร้างมัสยิดแห่งนี้ ต้องการแสดงให้โลกรู้ว่าเขามีความสามารถเหนืออาจารย์และสถาปนิกที่ออกแบบวิหารเซนต์โซเฟีย จึงบรรจงออกแบบจนอลังการ

เหตุที่ผู้คนเรียกมัสยิดสุลต่านอาห์เมตที่ 1 (Sultan Ahmet I) ว่า บลูมอสก์ จนกลายเป็นชื่อจริงไปแล้วนั้น เนื่องมาจากสีของกระเบื้องอิซนิคบนกำแพงชั้นในที่มีสีฟ้าสดใส ตกแต่งเป็นลายดอกไม้ต่างๆ เช่น กุหลาบ ทิวลิป คาร์เนชั่น ฯลฯ

เอกลักษณ์ของสุเหร่าสีน้ำเงิน โดดเด่นด้วยหอมินาเร็ต (หอสวดมนต์) 6 หอ ซึ่งปกติหอสวดมนต์ประจำมัสยิดทั่วไปจะมีหนึ่งถึงสองหอและลานด้านหน้าที่ใหญ่ที่สุดในบรรดามัสยิดของออตโตมัน ส่วนการตกแต่งภายในก็ดูยิ่งใหญ่ด้วยหน้าต่างทั้งหมด 260 บาน สลับสล้างด้วยหน้าต่างกระจกสีอันวิจิตรและพื้นที่สำหรับละหมาดขนาดกว้าง ภายในบริเวณมัสยิดมีโรงเรียนสอนศาสนา โรงพยาบาล ที่พักแรกของขบวนคาราวานและโรงครัวต้มน้ำซุป (เรียกว่าคุลลีเย)

เมื่อเริ่มสร้าง องค์สุลต่านมีกระแสรับสั่งให้สร้างหอสวดมนต์เป็นทองคำ ซึ่งคำว่าทองคำในภาษาตุรกี เรียกว่า อัลทึ่น (Altin) สถาปนิกพยายามคิดหาทางออกที่ดี เพราะการสร้างหอทองคำต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากและเป็นการไม่สมควร แต่ก็ต้องให้สุลต่านอาห์เม็ตพอพระทัยด้วย จึงสร้างหอสวดมนต์ 6 หอ สร้างความพอพระทัยในความฉลาดของสถาปนิก จึงไม่ลงทัณฑ์แต่อย่างใด แต่ว่าเมื่อสร้างบลูมอสเสร็จแล้วกลับกลายเป็นว่ามีหอสวดมนต์เท่ากับสุเหร่าในนครเมกกะ ซึ่งเป็นการไม่สมควร จึงต้องเพิ่มหอขึ้นอีกหนึ่งแห่งกลายเป็น 7 หอ สุลต่านอาห์เมตได้ชื่นชมบลูมอสก์อยู่เพียงปีเดียว ก่อนสิ้นพระชนม์ด้วยวัยเพียง 27 พรรษา


การเยี่ยมสุเหร่าสีน้ำเงินต้องถอดรองเท้า ช่วงที่อากาศเย็นควรที่จะเตรียมถุงเท้าไปด้วย อนุญาตให้คนเข้าไปทำละหมาดได้ 24 ชั่วโมง ช่วงกลางคืนจะมีการแสดงแสงสีเสียงด้วย


แปลงดอกไม้รอบ ๆ ต้นไม้ใหญ่ หลังบลูมอสก์

วิหารเซนต์ โซเฟีย (Saint Sophia) หรือวิหารซันตาโซเฟีย เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง เดิมเป็นโบสถ์ในศาสนาคริสต์ สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิ คอนสแตนติน แห่งอาณาจักรโรมันตะวันออก เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่13 ใช้เวลาสร้าง 17 ปี จึงแล้วเสร็จ ต่อมาถูกพวกเตอร์กบุกทำลาย พระจักรพรรดิจัสติเนียนจึงได้สร้างขึ้นใหม่ โดยใช้เวลาอีก 20 ปี จึงแล้วเสร็จ และได้นำสิ่งของมีค่าต่างๆ มาประดับเอาไว้มากมาย เมื่อสร้างเสร็จกลับเกิดแผ่นดินไหว ทำให้เกิดการแตกร้าว จึงต้องซ่อมแซมอีกครั้ง จนอยู่ในสภาพเดิม

พระเจ้าโมฮัมเหม็ดที่2 เข้ามาสู่อำนาจเหนือตุรกี ต่อจากพระเจ้าจัสติเนียน พระองค์ทรงนับถือศาสนาอิสลาม จึงได้ดัดแปลงเป็นสุเหร่า แต่ยังคงรักษาความงามทางด้านศิลปกรรม เอาไว้เช่นเดิม

วิหารเซนต์ โซเฟีย แห่งนี้ เป็นงานสถาปัตยกรรมแบบ ไบแซนไทน์ คือมีลักษณะผสมผสาน ระหว่างศิลปวัฒนธรรมกรีก และโรมัน กับศิลปวัฒนธรรมเปอร์เซีย จุดเด่นคือ มียอดโดมใหญ่อยู่กลางวิหาร ภายในวิหารใช้กระจกสีประดับ เหนือประตูหน้าต่างอย่างงดงาม

มีพื้นที่ประมาณ 700 ตารางเมตร ภายในมีเสาค้ำสลักและประดับประดาอย่างงดงามถึง 108 ต้น ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่ยังคงความงดงามมาจนทุกวันนี้






บริเวณห้องโถงทางเดินภายในวิหาร จะสังเกตได้ถึงความใหญ่โต

ที่อาบน้ำของชาวโรมัน (Roman bath) อยู่ด้านนอกวิหารเซนต์โซเฟีย ตกแต่งด้วยไม้ดอกหลากสีสวยงาม

ออกจากวิหารเซนต์โซเฟีย เราเดินกันต่อเพื่อไปชมสิ่งมหัศจรรย์กลางเมืองอิสตันบูลอีก 1 อย่าง คืออ่างเก็บน้ำใต้ดินเยเรบาตัน (Yerebatan Underground Cistern ) ถึงบริเวณทางเข้าแล้ว

อ่างเก็บน้ำใต้ดินเยเรบาตัน หรือ อุโมงค์ส่งน้ำเยเรบาตัน เป็นอุโมงค์เก็บน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในนครอิสตันบูล เป็นอุโมงค์ส่งน้ำใต้ดินที่มีเสาแบบโครินเทียนค้ำยันถึง 336 ต้น แต่เดิมน้ำในอุโมงค์นี้เป็นน้ำใช้ในวังสมัยไบแซนไทน์ และใช้ในพระราชวังทอปคาปิ สมัยออตโตมัน
เมื่อเข้าไปภายในจะต้องเดินลงบันไดก่อน

ลักษณะเสาค้ำยันของอ่างเก็บน้ำใต้ดินมีความสวยงามและมีความแปลกตา จนได้รับการคัดเลือกให้เป็นฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องเจมส์บอนด์ ตอน From Russia With Love เมื่อปี พ.ศ.2506

ประดับไฟไว้ที่โคนเสาแต่ละต้นทำให้ได้ภาพที่สวยงาม และถึงแม้จะอยู่ใต้ดินแต่ก็มีการระบายอากาศที่ดี ผู้เข้าชมจึงไม่รู้สึกอึดอัดแต่ประการใด



ในบรรดาเสาเหล่านี้มีอยู่ 2 ต้น ที่มีลักษณะเด่นกว่าต้นอื่น ๆ เพราะมีรูปหัวเมดูซ่า (Medusa) ที่โคนเสา ต้นหนึ่งตะแคงอยู่เหนือน้ำ อีกต้นหนึ่งหัวคว่ำลงน้ำ

เมื่อสังเกตที่พื้นผิวน้ำพบว่ามีน้ำปุดขึ้นมาตลอดเวลา แสดงว่ายังใช้งานได้ถึงปัจจุบัน

และคุณภาพน้ำอยู่ในสภาพดี จึงเห็นฝูงปลาว่ายไปมาอยู่จำนวนหนึ่ง

ยุติการท่องเที่ยวประจำวันที่ห้าในตุรกีเพียงเท่านี้ ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีก แล้วพบกันใหม่ครับ.
Create Date : 25 เมษายน 2555 |
Last Update : 4 พฤษภาคม 2555 14:25:29 น. |
|
14 comments
|
Counter : 10276 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: pantawan วันที่: 25 เมษายน 2555 เวลา:10:24:44 น. |
|
|
|
โดย: ทองกาญจนา วันที่: 25 เมษายน 2555 เวลา:10:41:16 น. |
|
|
|
โดย: Maeboon วันที่: 25 เมษายน 2555 เวลา:12:28:56 น. |
|
|
|
โดย: ishi_imp วันที่: 25 เมษายน 2555 เวลา:13:01:34 น. |
|
|
|
โดย: phunsud วันที่: 25 เมษายน 2555 เวลา:17:08:59 น. |
|
|
|
โดย: pantawan วันที่: 27 เมษายน 2555 เวลา:21:09:57 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ตามมาดูนี่ตอนที่ 8 แล้ว ไม่น่าเชื่อ รายละเอียดเยอะมาก ๆ
นี่ถ้าไม่บันทึกไว้ นานเข้าคงจำอะไรไม่ได้แน่ ๆ
สนใจ 2-3 ภาพหลังนี่แหละค่ะ
เสาที่มีรูปหัวเมดูซ่าตะแคงอยู่เหนือน้ำ แหะ ๆ ตะแคงทำไม ...
ใช่ที่หัวมีงูเยอะ ๆ หรือเปล่าคะ จำรายละเอียดไม่ได้
น้ำที่ผุดขึ้นมาแค่นั้น มีปลาแหวกว่ายได้ด้วย น่าทึ่งจริง ๆ ^^